Group Blog
 
All blogs
 

พระธาตุพนมกับเรื่องที่ทุกคนลืม


"กปณคิริสฺมิ ปพฺพเต มหากสฺสเปน ฐาปิตํ พุทฺธอุรงฺคธาตุ สิรสา นมามิ"

แปลว่า "ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระบรมอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า นำมาฐาปนาไว้ ณ ภูกำพร้า ด้วยเศียรเกล้า"

วันนี้หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน... เป็นหนังสือท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม ซึ่งอ่านไปอ่านมาต่อมใต้สมองก็เกิดอาการกระตุกกับคำว่า "พระธาตุพนมล้ม" ... ก็เลยตัดสินใจขึ้นไปห้องเก็บหนังสือ ไปขุดหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาซึ่งบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับองค์พระธาตุพนม ซึ่งเลยพังทลายลงมาทั้งองค์เมื่อปี
พ.ศ.2518  โอ้แม่เจ้า!! ยังเกิดไม่ทันเลย แต่ก็พอรู้ว่าคงกระทบกระเทือนจิตใจของพี่น้องฝั่งไทยและลาวไม่น้อย วันนี้ด้วยความเครียด(อีกแล้ว) เลยจะมานำเสนอเหตุการณ์พระธาตุพนมล้มให้ทุกท่านได้ทราบกัน


การบูรณะ


พระธาตุพนมปัจจุบันก็มีอายุราว 1000 กว่าปีมาแล้ว วัสดุก่อสร้างต่างๆก็ย่อมแปรสภาพไปตามธรรมดา ประกอบกับการบูรณะโดยการต่อยอดพระธาตุหลายครั้ง โดยมิได้มีการแก้ไขโครงสร้างส่วนฐาน โดยเฉพาะการบูรณะเมื่อปีพ.ศ.2483-2484 ได้มีการเจาะรูระบายอากาศรอบด้านในส่วนยอดของพระธาตุ รูระบายอากาศนี้สันนิษฐานว่าอาจเป็นทางให้ฝนเข้า แต่ส่วนล่างเนียะไม่มีทางระบายน้ำออก ส่วนยอดองค์พระธาตุจึงกลายสภาพเป็นถังน้ำขนาดใหญ่ทำให้อิฐภายในซึ่งเป็นโครงสร้างหลักยุ่ย !!!!!!


ฝนตก แผ่นดินไหว นี่กระไร คือสาเหตุ


ครั้นเมื่อเดือนมีนาคม 2518 ได้เกิดแผ่นดินไหว องค์พระธาตุพนมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างมาก เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ขึ้นมากมาย ลามจากบริเวณส่วนยอดแล้วลงมายังฐาน ทำให้องค์พระธาตุเอียง อย่างเห็นได้ชัด


ต่อมาในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงฤดูฝน มีฝนตกชุกและลมกระหน่ำตลอดเวลา รอยร้าวที่มีแต่เดิมจึงเริ่มแยกออกมากขึ้น ในวันที่ 8 สิงหาคม พระเทพรัตนโมลี(แก้ว กนฺโตภาโส) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารจึงได้ทำหนังสือให้อธิบดีกรมศิลปากรทราบ


ในช่วงวันที่ 9-11 สิงหาคม ฝนตกตลอดวัน อีกทั้งมีลมพัดตลอดเวลส รอยร้าวที่มีแต่เดิมจึงเริ่มแยกออกมากขึ้น


พระธาตุพนมล้ม


วันที่ 11 สิงหาคม เวลาประมาณ 6.45 นาฬิกา ฐานพระธาตุพนมด้านเดียวกับที่มีรอยแตก คือ ด้านทิศตะวันออกนั้นผนังปูนตรงลวดลายประตูจำหลักซึ่งอยู่กึ่งกลางของด้าน ตลอดถึงส่วนที่เป็นซุ้มทรงบายศรี ปูนกระเทาะหลุดร่วงมาทั้งแผ่น รอยแตกแยกที่มีอยู่แต่เดิมขยายกว้างขึ้น แต่ในขณะนั้นยังไม่มีร่องรอยให้เห็นว่าพระธาตุพนมจะล้ม


ครั้งเวลา 17.45 นาฬิกา บริเวณที่อิฐร่วงหล่นลงมาในตอนเช้าก็ได้เริ่มหลุดอีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและมากขึ้น เมื่ออิฐร่วงหล่นก็ได้ยินเสียงครืดคราดออกมาจากองค์พระธาตุเป็นระยะ เสียงนี้อาจเป็นปรากฏการณ์แสดงอาการเป็นสัญญาณว่าพระธาตุพนมอาจล้มลงมาเวลาใดเวลาหนึ่ง ทั้งพระ เณร ผู้ดูแลวัด ผลัดเวียนกันมาเฝ้าสังเกตองค์พระธาตุอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าพระธาตุพนมที่สูงขนาดแหงนคอมองจะล้มลงมา


เมื่อมีปรากฏการณืว่าพระธาตุพนมจะพังลง พระเทพรัตนโมลี จึงได้สั่งให้ปิดประตูวัดห้ามบุคคลภายนอกเข้า เพื่อกันมิให้เกิดความสับสน และเพื่อรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในความเรียบร้อย ต่อมาเวลา 19.38 นาที เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคนที่อยู่ในวัดได้ยินเสียงกันอย่างชัดเจน และปรากฏเห็นบ้านเรือนสั่นสะเทือนผิดปกติ แต่ในขณะนั้นเข้าใจว่า แผ่นดินไหว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพระธาตุพนมจะพังทลายลงมา


ประมาณ 5 นาทีต่อมา เมื่อทางวัดทราบว่าองค์พะธาตุพนมได้พังทลายลงมาเเล้ว จึงสั่งให้พระเณรจำนวนหนึ่งออกไปดูที่ถนนหน้าวัด เพราะกลัวว่าฉัตรพระธาตุอาจหักไปอยู่ที่นั่น และได้นำสปอร์ตไลท์ฉายเขาไปที่องค์พระธาตุ เสร้จเเล้วปิดประตูวิหารทั้ง 4 ด้าน ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด ในคืนนั้นได้เเต่งตั้งพระเณรจำนวน 16 รูป เป้ารักษาอยู่รอบๆ


อีก 30 นาที ต่อมาชาวบ้านก็ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับองค์พระธาตุพนมที่ล้มลง ก็เริ่มทยอยแตกตื่นกันมาดูเป็นจำนวนมาก เสียงร้องไห้คร่ำครวญอื้ออึงอยู่ข้างนอกวิหารคดตลอดคืน ทั้งเศร้าสลดใจอาลัยถึงพระธาตุพนมซึ่งเขาเคารพบูชามาหลายชั่วอายุคน


BEFORE       @        AFTER



โห... คือถ้าไม่สะดุดนี่ก็ไม่รู้เลยนะเนียะว่าพระธาตุพนมที่เคยไปกราบไหว้เคยพังทลายแบบย่อยยับขนาดนี้ ไม่เชื่อสายตาตัวเอง อิอิ เห็นไหมละเรื่องราวของโบราณสถานยังมีอะไรให้น่าติดตามอีกเยอะมาก เรื่องที่เราไม่คิดว่าเคยจะเกิดยังเคยเกิดเลย ตอนไปนครพนมนี่แบบว่าพอใกล้ๆวัดพระธาตุพนมนี่ก็เห้นองค์พระธาตุมาก่อนวัดแล้วไม่น่าเชื่อจริงๆว่าจะเคยพังลงมา นี่แหละเรื่องที่เราไม่รู้เราก็ต้องพยามหาคำตอบ 


บก. บอกกล่าว 


ลืมบอกไปว่าทางวัดมีพิพิธภัณฑ์ที่เก้บของสำคัญๆหรือซากตอนพระธาตุพนมล้มด้วยนะ ยังงัยว่างๆก็ลองไปดูกัน แล้วก็... งานนมัสการองค์พระธาตุเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 10 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี ปีนี้รู้สึกจัดไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ๆ ไม่เป้นไรปีหน้ายังมี ที่สำคัญอีกอย่างเกือบลืม พระธาตุพนมเป็นพระธาตุประจำคนเกิด ปีวอก...ยังงัยพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอา ใครเกิดปีวอกอย่าลืมพาท่านไปนมัสการองค์พระธาตุพนมด้วย เเล้วก็ทางวัดมีพระธาตุพนมจำลองให้เช้าไปบูชากันด้วย 


สำหรับวันนี้ก็ต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้... ว่างๆจามาพาทุกท่านไปเที่ยวอีก
   






Free TextEditor




Free TextEditor




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2551    
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 15:58:07 น.
Counter : 1624 Pageviews.  

วัดไชยวัฒนาราม

สวัสดีผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog นี้ทุกท่าน  นี่เป็นครั้งที่... (นับไม่ถ้วน) ที่ตั้งใจจะเขียน Blog แต่ก็ไม่ได้เขียนซักที จนช่วงนี้ใกล้สอบตรง เกิดอาการเครียดเลยมาหาที่ระบายกับ Blog ก็ไม่มีอะไร คืออยากจะเขียน Blog เกี่ยวกับประวัติศาสตร์+โบราณสถาน ก็เลยอาศัยช่วงใกล้สอบมาเขียน555+ดูดีมาก พอดีเป็นคนสนใจเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวโบราณสถานของประเทศไทย อยู่แล้ว  แล้วก็เห็นว่ามันมีข้อมูลสถานที่เกี่ยวกับโบราณสถานน้อยไปนิดนึงตาม Internet คือพวกนี้มันก็กระจายไปอยู่ตาม WEB อารายก็ไม่รู้ เลยอยากเขียนให้มันมาอยู่ในที่เดียวกัน ก็จะเขียนเล่าเป็นบันทึกการเดินทางหรือประสบการณ์ คงไม่มานั่ง Copy ข้อมูลจากเว็บอื่นมาใว้ หรือบางทีก็มีข้อมูลจากหนังสือบางเล่มมารวมไว้ให้บ้าง เผื่อคนที่มีใจรักด้านนี้เหมือนกันจะได้เข้ามาชมเข้ามาศึกษาเข้ามาฝากความเห็น ก็ฝาก Blog นี้ไว้ในใจทุกคนด้วย หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย และหวังว่าผู้เยี่ยมชมจะมาช่วยกันแก้ไขและถ่ายทอดกันมากขึ้น ที่สำคัญอย่างที่ว่าไว้ สมัยนี้หาคนสนใจเรื่องโบราณสถานนี้ค่อนข้างยากอยากให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์โบราณสถาน ช่วยกันดูแลให้มันอยู่กับเราไปให้นานๆ ให้มันเป็นของคู่คนไทยไปทุกยุคทุกสมัย  ( -.- )


มาที่แรกกันดีกว่า... วันนี้จะพาไปที่ "วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา"



   เหตุที่เลือกสถานที่นี้มาเปิดประเด็นเป็นสถานที่แรกที่จะ บก. (บอกกล่าว) ให้ทราบกันก็เนื่องมาจาก เป็นวัดในอยุธยาที่ส่วนตัวแล้วชอบมากที่สุดแล้ว ทั้งบรรยากาศภายในวัด ทั้งรูปแบบศิลปะ ประวัติวัด มันช่างไปด้วยกันได้ อารายปานนั้น ครั้งแรกที่ไปวัดไชยวัฒนารามนี่ก็ตอน ม.2 ไปกับโรงเรียน ตอนนั้นไปก็แบบงงๆ วัดนี้ชื่ออะไรหว่า? คือส่วนตัวชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์มาก แต่ก็ไม่ได้ลงลึกไปถึงสถานที่สำคัญๆ จนได้มาเห็นวัดไชยวัฒนารามซึ่งภาพนั้นตราตรึง ถึงความอลังการ มาจนถึงทุกวันนี้ เลยตัดสินใจแล้วที่จะขอให้ที่บ้านขับรถมาเที่ยวอยุธยาทุกอาทิตย์เพื่อดูวัดต่างๆและก็หาหนังสือพวกนี้มาอ่าน WOW


ปล.***ก่อนอ่านคืออยากบอกผู้ที่จะเข้ามาอ่านนะว่าประวัตินี้หรืออะไรทั้งหลายนี้คือเป็นข้อมูลพื้นฐานที่คนทั่วๆไปทราบกันและอยากให้เป้นมูลเหตุที่อยากไปเที่ยวสถานที่นี้คงไม่มานั่งวิเคราะห์ลงถึงรากฐานศิลปะถ้าถึงขนาดนั้นคงเถียงกันไม่หยุดหย่อนแน่ๆเพราะมีหลายทฤษฎีเหลือเกิน หากใครอยากรู้ข้อมูลที่มันลึกซึ้งก็ลองหาหนังสืออ่านเพิ่มดูละกันคะ หากใครสงสัยอะไรถ้าหาข้อมูลมาบอกได้ก็จะพยามหามาให้ หรือผู้ชมคนใดมีข้อมูลก็ฝากตอบด้วยคะ


ประวัติ
วัดไชยวัมนารามสร้างเมื่อวันพุธ ขึ้น15ค่ำ เดือน 4 ปีจอ โทศก พ.ศ.2173 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (รู้สึกเราจะไปเอาข้อมูลมาจาก พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ..... ไม่แน่ใจ เดี๋ยวดูให้อีกที) ก้คือบริเวณนี้เห็นเค้าบอกมาว่าเป็นบริเวณบ้านเกิดของแม่ของพระเจ้าปราสาททองหลังจากพระองค์ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็ทรงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นตรงที่เดิมที่เป็นบ้านเดิมของพระราชมารดา เป็นวัดที่จำลองแผนผังการสร้างมาจากนรควัด-นครธมของเขมร (คือพระองค์ไปตีเขมรชนะมาด้วย) แต่ได้นำความเป็นไทยผสมเข้าไปโดยนำปรางค์แบบล้านนามาใช้(ปรางค์บริวารข้างใน 4 องค์อะนะ ในรูปไม่เห็น) โดยมีอาคารทรงปราสาทเนียะประจำ 8 ทิศ (ในรูปเห็นชัดมาก 8 ทิศลองดู) มีพระพุทธรูปอยู่ทั้ง 8 ซุ้ม  สันนิษฐานว่านอกระเบียงคดไปทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถแต่ปรักหักพังไปแล้ว อันนี้ก็คงถือตามคติของเชมรมั้งที่นิยมสร้างอุโบสถไว้ทางทิศตะวันออก ใครว่างๆลองไปนั่งนับพระพุทธรูปปางมารวิชัยดูนะว่ามี 120 องค์รึป่าว เรานับได้ 120 องค์ ไม่ตรงก็มาบอกด้วยเดี๋ยวจะไปนับใหม่
วัดไชยวัมนารามนี้ตอนเสียกรุงครั้งที่2 เคยเป็นที่ตั้งรับข้าศึกพม่าด้วย WOW


ทะเบียนโบราณสถาน
ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478

บรรยากาศ
หลังจากเดินชมวัดโดยทั่วเเล้วก็อยากจะแนะนำจะให้มาตอนเช้า หรือ ไม่ก็ตอนเย็น เพื่อมานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (มาตอนกลางวันเเล้วมานั่งริมน้ำสงสัยได้ดำกลับแน่นอน) บรรยากาศสุดยอดจริงๆนั่งริมน้ำไปฉับพลันก็แลไปฝั่งตรงข้ามพร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ฝั่งตรงข้ามนั่นบ้านใคร?" แล้วก็ต้องเก้บคำถามนั้นมาถึงบ้านพร้อมเปิด Internet Explorer ขึ้นมา แล้วก็ได้คำตอบซึ่งค้างคาใจมานาน 2 ชั่วโมงว่าฝั่งตรงข้ามคือ "พระตำหนักสิริยาลัย" ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โปรดเกล้าฯสร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนารถ เหอๆ อลังการมาก เวลานั่งก็นั่งดีดีนะคะระวังตกน้ำเดี๋ยวหาว่าไม่เตือน อิอิ (ช่วงนี้น้ำท่วมเป่าหว่า? ไม่ได้ไปนาน)


สุดท้าย
ยังไงก็ขอฝากคนไปเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่างๆก็อย่าลืมไปเยี่ยมชมวัดไชยวัฒนารามด้วย แล้วก็อย่าลืมนะงับว่าถ้าเป็นไปได้อย่าขึ้นไปบนปรางค์ประธานเลย (เดี๋ยวมันพัง) ดูอยู่ข้างล่างก็สามารถชื่นชมความงามได้แล้วหุหุ
อย่าลืมช่วยกันดูแลรักษาโบราณสถานด้วย



Free TextEditor




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2551    
Last Update : 23 ตุลาคม 2551 15:37:15 น.
Counter : 453 Pageviews.  


MsEnigma
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




< ♥ ~ ANCIENT REMAINS ~ ♥ >
......เรื่องโบราณสถานนั้น เป็นเกียรติของชาติ อิฐเก่า ๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรที่เราจะช่วยกันรักษาไว้ ถ้าเราขาดสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย......" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร พ.ศ. ๒๕๐๐)
Friends' blogs
[Add MsEnigma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.