|
หลักการสอน การถ่ายทอดความรู้
สำหรับ web log page นี้ จะขอพูดเทคนิคการสอนให้ดีนะครับ คิดว่าคงเป็นประโยชน์ต่อหลายๆคน เพราะโดยทั่วไปคงมีโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้งที่เราต้องถ่ายทอดความรู้ที่มี ให้กับคนอื่น แล้วบางทีอาจไม่ได้ดั่งใจ
การจะสอนให้ดีนั้นต้อง
0. มีจิตใจพร้อมที่จะสอน - ต้องรู้ว่าการสอนเป็นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะช่วยย่นระยะเวลาการศึกษาของผู้เรียนได้อย่างมาก เช่นถ้าศึกษาด้วยการอ่านเองถ้าใช้เวลา 4 ชั่วโมง ผู้สอนเก่งๆสามารถให้ความรู้ที่เท่ากันหรือมากกว่า ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมงได้ ดังนั้นนับเป็นการเกิดประโยชน์ โดยเฉพาะการสอนเป็นกลุ่มละหลายๆคน เสียเวลาของผู้สอนคนเดียว แต่ย่นระยะเวลาของผู้เรียนได้หลายๆคน เมื่อเห็นประโยชน์เช่นนี้จะทำให้จิตใจเกิดความอยากสอน - มีจิตเมตตาผู้เรียน อยากให้ผู้เรียนได้ประโยชน์ ได้ความรู้ - มีความใจเย็นในการสอน หากผู้เรียนไม่เข้าใจ ต้องคิดหาสาเหตุว่าเกิดจากวิธีการสอนไม่เหมาะสมตรงไหน แล้วปรับปรุงให้ถูกจุด ไม่ต้องโมโหที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
1. มีความรู้ในเรื่องที่สอน การจะสอนคนอื่นได้ เราต้องรู้ลึกมากกว่าที่ตั้งใจจะสอนด้วยซ้ำ ต้องพยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไม" อยู่ตลอดเวลา นั่นจะทำให้การสอนของเราเป็นเหตุเป็นผล และสามารถตอบผู้เรียนได้ เมื่อผู้เรียนสงสัยว่าทำไมต้องอย่างนั้นอย่างนี้
2. เรียงลำดับเรื่องที่จะพูดให้ดี สำคัญถัดมา วิธีเรียงลำดับสิ่งที่จะพูดนั้น ใช้เกณฑ์ว่า เรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรู้ก่อน ต้องพูดก่อน คำศัพท์คำไหนที่จำเป็นต้องใช้ในการอธิบาย ต้องพูดความหมายของคำนั้นๆให้ชัดเจนก่อน
3. มีเทคนิคการสอน สิ่งสำคัญถัดมาคือเทคนิคการสอน ซึ่งแบ่งย่อยได้หลากหลายมากๆ แต่ทั้งหมดสามารถใช้สามัญสำนึกในการทำความเข้าใจได้ สิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้เมื่อสอนไปนานๆ ในที่นี้จะขอพูดหลักๆ - หลักการพูดแต่ละประโยคให้เข้าใจง่าย คำทุกคำที่ใช้ในประโยคต้องเป็นคำที่ผู้เรียนรู้ความหมายอยู่แล้ว (เว้นแต่เป็นคำที่กำลังจะอธิบายความหมาย) ต้องมีจังหวะการพูดทั้งประโยคที่ราบรื่น เว้นระยะในจุดที่ควรเว้นให้คิด ระยะเวลาในการเว้น ยาวไปก็ไม่ดีทำให้ขาดช่วง สั้นไปก็ไม่ดี ผู้เรียนยังคิดตามไม่ทันก็พูดประโยคใหม่ซะแล้ว การเว้นระยะสั้นยาว ขึ้นกับความยากง่ายของประโยคนั้น ให้คะเนเอาเองว่าควรเว้นเท่าไรจึงจะดี - การตรวจดูว่าผู้เรียนเข้าใจหรือไม่ ใช้การมองหน้า อ่านสีหน้าได้ไม่ยากเลย หากผู้เรียนไม่เข้าใจจุดใด จำเป็นต้องหยุด แล้วไปอธิบายขยายความจนเข้าใจ เพราะคนที่ไม่เข้าใจจุดหนึ่งมักไม่มีใจจะฟังเรื่องต่อๆไป - ในการพูดเรื่องที่แบ่งเป็นหัวข้อย่อยๆหลายๆอัน ควรพูดทุกๆหัวข้อออกมาให้เห็นก่อนว่า เรื่องนี้แบ่งเป็นอะไรบ้างและแต่ละหัวข้อจะกล่าวถึงอะไรคร่าวๆ ก่อนที่จะเจาะลึกพูดรายละเอียดแต่ละอัน วิธีนี้นักเรียนจะเห็นภาพรวมของสิ่งที่จะพูด แล้วไม่สับสนว่าเรากำลังพูดถึงส่วนไหนของวิชาอยู่ - กรณีที่จะพูด list แจกแจงรายการยาวๆ ควรเขียนกระดานประกอบ เพราะผู้เรียนไม่สามารถฟังได้ทัน การใช้กระดานนั้นมีข้อดีที่สำคัญกว่าการพูดอยู่อย่างหนึ่งคือ สามารถอ่านทวนได้เรื่อยๆ แต่การพูดนั้น พูดแล้วถ้าฟังไม่ทันก็ผ่านเลยหายไปทันที - เมื่อเราพูดอะไรแล้วมีภาพอยู่ในหัว ให้วาดภาพนั้นออกมาบนกระดาน เพราะนักเรียนไม่เห็นภาพอย่างที่เราเห็น - ใช้วิธีตั้งคำถามว่าทำไม แล้วรอให้คิด แล้วพูดเฉลย พร้อมอธิบายออกไป จะดีกว่าการบรรยายไปเรื่อยๆ วิธีนี้มีประสิทธิภาพมากในการทำให้นักเรียนคิดตาม แทนที่จะฟังไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างสถานการณ์การสอน เดินเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนยังคุยๆกันอยู่บ้าง บางคนก็เริ่มหันมาสนใจอาจารย์ บางคนก็คุยอยู่ เรา เดินไปที่โต๊ะกลางหน้าห้อง พูดคุยทักทายนักเรียนนิดหน่อย "เป็นไง คาบที่แล้วเรียนอังกฤษยากไหม" พอนักเรียนเริ่มสนใจแล้ว "เอาล่ะ จากคราวที่แล้วที่ให้โจทย์การเคลื่อนที่แนวเส้นตรงไป ทำกันได้ไหม มีใครสงสัยตรงไหน" มองหน้านักเรียนแต่ละคนไปด้วย จะรู้ว่าเข้าใจแค่ไหน ทวนของเก่าพอสมควร เพราะนักเรียนมักจำไม่ได้หรอกว่าคราวที่แล้วพูดไว้ถึงไหน มักต้องทวนให้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เรื่องที่จะสอนต่อเนื่องกับครั้งก่อน ทีนี้สมมุติจะขึ้นเรื่องใหม่ "เอาล่ะ เรื่องการเคลื่อนที่แนวเส้นตรงจบแล้ว วันนี้จะขึ้นเรื่องกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน" พร้อมเขียนกระดานขึ้นหัวข้อ พออธิบายเนื้อหาของกฎไปสักพัก (ต้องแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่สอนไปจากครั้งที่แล้ว เช่นคำว่าความเร็ว ความเร่งคืออะไร อาจต้องทวนอีกที สังเกตจากสีหน้านักเรียนจะรู้ ว่าจำได้หรือไม่) เริ่มใช้เทคนิคการตั้งคำถาม "กฎข้อที่สองของนิวตันบอกว่า ซิกม่า F=ma แรงลัพธ์เท่ากับมวลคูณความเร่ง แล้วทำไมครูออกแรงดันโต๊ะไปแล้ว (ใช้นิ้วดันข้างๆของโต๊ะ) ทำไมโต๊ะยังคงหยุดนิ่งอยู่ไม่มีความเร่ง จะสรุปว่ายังไง" นักเรียนจะเริ่มคิด สักพักเราพูด "หรือจะสรุปว่ามวลโต๊ะ m เป็น 0 เหรอ ก็ไม่ใช่ โต๊ะมีมวลอยู่แล้ว โต๊ะนี้ก็สัก 10 กิโลกรัม" นักเรียนคิด สักพักเราพูดเฉลย "ที่แท้เป็นเพราะแรงที่เราออก ไม่ได้เป็นแรงลัพธ์ไง แรงที่เราออก เป็นแค่แรงแรงหนึ่งที่กระทำต่อโต๊ะ ในที่นี้พอเราออกแรงกระทำต่อโต๊ะ จะเกิดแรงเสียดทานต้านกับแรงที่เราออกพอดี ในขนาดที่เท่ากัน ทำให้พอรวมแรงแล้วแรงลัพธ์เป็น 0 ดังนั้นความเร่งของโต๊ะ (a) จึงเป็น 0 ตามไปด้วย" ....
การกล่าวปิดท้ายตอนจบ "เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมทบทวนตรง... มาด้วยนะ มีอะไรสงสัยมาถามได้"
<ยังไม่สมบูรณ์ โอกาสหน้าจะมาต่อนะครับ>
Create Date : 13 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 5 มกราคม 2551 11:47:26 น. |
Counter : 1434 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรียนหนังสือไปทำไม
เด็กๆหลายคนอาจคิดว่า เรียนหนังสือไปเพื่ออะไร ไม่มีแรงจูงใจเลย ทำให้ไม่นึกอยากเรียน ขอให้คิดอย่างนี้ครับ เรียนไปเพื่อมาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญสืบต่อไป แต่ละคนมักมีพรสวรรค์ของตัวอยู่แล้ว เมื่อมาเรียน เราจะได้นำพรสวรรค์ที่มีนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในบางวิชา อาจไม่มีใครเลยจะถนัดมากเท่าเราก็ได้ จึงไม่ควรปล่อยให้พรสวรรค์สูญเปล่าครับ
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2548 | | |
Last Update : 5 มกราคม 2551 11:46:38 น. |
Counter : 451 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|