"แล้วเดรัจฉานการเมืองก็ยึดสนามบินนานาชาติ เพื่อเนรคุณแผ่นดินเกิดและทำลายประเทศให้สมใจอยาก" โดยมีพวกโง่ต่อเนื่องสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา จงตายโหงไปเสียเถิดพวกมึง
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
3 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 

พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ

สารานุกรมไทย ฉบับกาญจนาภิเษก

พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ

การพระราชทานอภัยโทษ หมายถึง การพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แก่ผู้ต้องโทษประเภทต่าง ๆ ให้ได้รับการปล่อยตัวหรือลดโทษ
โดยมีทั้งการพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลแก่ผู้ต้องโทษซึ่งทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานพระมหากรุณาขึ้นมาและในรูปของการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป
ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเสนอให้มีการพระราชทานอภัยโทษ




วิวัฒนาการพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ
พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษในระบอบประชาธิปไตย
วิวัฒนาการพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ

การพระราชทานอภัยโทษเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการปกครองของไทยนับตั้งแต่สมัยที่สุโขทัยเป็นราชอาณาจักร มีการปกครองที่เรียกกันว่า “พ่อปกครองลูก”
สมัยนั้นประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าถึงองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปกครองแผ่นดิน เพื่อร้องทุกข์และขอความเป็นธรรม โดยมีสิทธิที่จะไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าพระราชวังได้
และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงได้ยินก็จะเสด็จออกมาตรัสถามถึงความเดือดร้อนนั้นโดยตรง ดังความในศิลาจารึกว่า

“...ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางเมืองมันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ไปสั่นกระดิงอันท่านแขวนไว้
พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้ายซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม...”
สิทธิในการร้องทุกข์และขอความเป็นธรรมนี้เป็นที่มาของประเพณีถวายฎีการ้องทุกข์ และฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษโนสมัยต่อมา

เมื่อถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง “เจ้ากับข้า” พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจเป็นล้นพ้นเสมือนหนึ่งทรงเป็นเทวราช
ดังนั้น ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎร จึงยากที่จะเกิดขึ้นได้ซึ่งต่างจากสมัยสุโขทัย อีกทั้งสมัยกรุงศรีอยุธยามีการก่อกบฏเพื่อโค่นล้มราชบัลลังก์
แล้วจับพระมหากษัตริย์ปลงพระชนม์อยู่บ่อยๆ จึงทำให้พระมหากษัตริย์มิอาจไว้วางพระราชหฤทัยผู้ใดได้มากนัก การเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมดังเช่นสมัยสุโขทัยจึงกระทำได้ยาก
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการลงโทษข้าแผ่นดินทุกๆ คน ตั้งแต่โทษน้อยไปจนถึงโทษประหารชีวิต

องค์พระมหากษัตริย์ก็มีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษอนึ่ง การใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษนั้นก็เด็ดขาดเช่นเดียวกับพระราชอำนาจในการลงโทษ
กล่าวคือ การพระราชทานอภัยโทษหรือไม่นั้นสุดแล้วแต่พระบรมราชวินิจฉัย ถึงแม้จะมีการกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษพระองค์ก็อาจจะไม่พระราชทานอภัยโทษให้ก็ได้ซึ่งจะเห็นว่า
การใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษเป็นการใช้พระราชอำนาจในฐานะ "เจ้าชีวิต" มีข้อสังเกตว่า การใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยานั้น
ไม่ได้จำกัดเฉพาะการพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษเป็นรายบุคคลเท่านั้นแต่ยังมีการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปด้วยโดยถือเป็นโบราณราชประเพณีสำหรับองค์พระมหากษัตริย์
เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติจะทรงพระกรุณาแก่ประชาชนทั้งปวง ให้ลดส่วยสาอากรขนอนตลาด และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ปล่อยนักโทษจากการจองจำ

ต่อมา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีพระบรมราชโองการให้ชำระพระราชกำหนดบทพระอัยการในแผ่นดิน
อันมีอยู่ในหอหลวงตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไป โดยจัดเป็นหมวดหมู่และปรับปรุงตัวบทกฎหมายให้ถูกต้องตามครรลองของความยุติธรรม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “กฎหมายตราสามดวง”
ซึ่งในกฎหมายตราสามดวงมีบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการพระราชทานอภัยโทษปรากฏอยู่ด้วย โดยสรุปมีใจความว่าการพิจารณาพระราชทานอภัยโทษ แก่นักโทษนั้น
นอกจากจะพิจารณาความดีความชอบของนักโทษเป็นรายบุคคลไปแล้ว ยังต้องพิจารณาตามชั้นโทษของผู้กระทำผิด โดยแบ่งตามโทษที่ผู้กระทำผิดได้รับเป็นอุกฤฐ คะรุ และมชิมโทษ
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ได้มีการพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษที่ถูกจองจำ และเมื่อมีการสร้างหอพระไตรปิฎก
ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษซึ่งต้องโทษประหารชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเกิดอหิวาตกโรคในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชสมบัติก็ได้มีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยนักโทษนอกจากนั้น
ยังปรากฏว่า มีการพระราชทานอภัยโทษโดยมีเงื่อนไขขึ้น โดยพระราชทานอภัยโทษเก่ผู้ร้ายที่มาลุแก่โทษในความผิดของตนทั้งนี้ ได้มีการร่างพระบรมราโชวาท
สั่งสอนนักโทษเหล่านั้นตามแนวคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้นักโทษกลับตนยึดมั่นในความดี อันเป็นการสะท้อนให้เห็นกึงอิทธิพลของแนวคิดธรรมราชา
ที่มีต่อการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรากฏแนวความคิดพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ กล่าวคือ
ได้มีการร่างพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการปกครองประเทศขึ้นชุดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับรัฐธรรมนูญที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่างๆ ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โดยในมาตราหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินมีราชศักดานุภาพเป็นอาทิ คือ เป็นที่เกิดของความยุติธรรม ที่ระงับทุกข์ร้อน และทรงพระกรุณายกโทษให้คนที่กระทำผิดกฎหมาย
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้ไม่ได้มีการประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ดีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชทานอภัยโทษ
ในรูปของพระบรมราชวินิจฉัยในอรรถคดีต่างๆในฐานะที่ทรงเป็นที่มาของความยุติธรรม ในอันที่จะพระราชทานความยุติธรรมแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินโดยถ้วนหน้า
และยังมีการพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษซึ่งทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ตลอดจนมีการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป ซึ่งมักจะมีการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญของบ้านเมือง
เช่น การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตลอดจนพระราชพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา





พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช ๒๔๗๕ ในระยะแรก เมื่อคณะราษฎร์ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕
มีบทบัญญัติที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์ โดยมีการกำหนดให้การอภัยโทษเป็นอำนาจของคณะกรรมการราษฎร
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ แล้วรัฐธรรมนูญก็ได้บัญญัติรับรองอำนาจ
ในการอภัยโทษให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ดุจเดิม โดยถือว่าเป็นการใช้พระราชอำนาจในทางบริหาร ดังที่ปรากฏในมาตรา ๕๐ ว่า

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะพระราชทาน อภัยโทษ” ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์
มาบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์ในยุคสมบูรณา ญาสิทธิราชย์นั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็น
ระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ยังคงเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาด และเป็นพระราชอำนาจเฉพาะพระองค์โดยแท้

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทยฉบับต่อๆ มาก็ได้รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการอภัยโทษไว้ด้วยถ้อยคำทำนองเดียวกัน จนกระทั่งปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ ในมาตรา ๒๒๕ ก็ได้บัญญัติไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ้งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ”

ปัจจุบันนอกจากจะมีการกำหนดพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์ไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๗ ว่าด้วยการอภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาและลดโทษ ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็น ๒ กรณี ดังนี้

กรณีแรก การพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวาย
เรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นเรื่องราวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ได้ส่วนกรณีผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำจะ
ยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้เมื่อได้ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว
ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นเป็นการสมควรจะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษานั้นก็ได้

อนึ่ง เรื่องราวหรือคำแนะนำการขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ถวายได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกามาถึง
สำนักราชเลขาธิการกองนิติการจะเป็นผู้ประมวลเรื่องราวทั้งหมดและเสนอให้ที่ประชุมคณะองคมนตรีประชุมปรึกษา คณะองค มนตรีทั้งคณะก็จะได้พิจารณาทูลเกล้าฯ ถวายความเห็น
เพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง เมื่อนำความเห็นต่างๆ ของทุกฝ่าย ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะองคมนตรีที่นำขึ้น
ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพิจารณาฎีกานั้นประกอบข้อพิจารณาทั้งหมด แล้วพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยโดยพระราชอำนาจที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ
ในการนี้ก็มิใช่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยตามความเห็นที่เสนอมาเสมอไป แต่เป็นดุลยพินิจของพระองค์เองโดยเด็ดขาดในการที่จะพระราชทานอภัยโทษ

กรณีที่สอง การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป มีหลักเกณฑ์ว่า ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์
ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษที่มิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษกรณีดังกล่าวเมื่อได้มีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษนั้นแล้ว
จะต้องมีการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาขึ้นใช้เป็นการทั่วไป

อนึ่ง พึงสังเกตว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับกำหนดว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัย โทษ โดยไม่ระบุว่าเป็นโทษประเภทใด
ดังนั้น พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษจึงมีความหมายกว้างรวมทั้งโทษทางอาญา และโทษทางวินัย หรือทัณฑ์ตามกฎหมายอื่นด้วย
ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงอาจใช้พระราชอำนาจพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ เปลี่ยนโทษ แก่ผู้ถูกลงโทษทางวินัยหรือทัณฑ์อื่นใด

ผลของการพระราชทานอภัยโทษตามกฎหมาย อาจแยกพิจารณาได้เป็นสองกรณี คือ กรณีที่มีการพระราชทานอภัย โทษเด็ดขาดปราศจากเงื่อนไข
กฎหมายบัญญัติห้ามมิให้บังคับโทษนั้น กล่าวคือ ถึงแม้จะมีการบังคับโทษไปบ้างแล้ว ก็ต้องหยุดการบังคับโทษนั้นทันทีส่วนกรณีการอภัยโทษเป็นแต่เพียงเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา
หรือลดโทษเท่านั้น ถ้ายังมีโทษหลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เปลี่ยนเป็นเบา หรือลดโทษแล้วยังเหลืออยู่ ตามกฎหมายก็ให้บังคับเฉพาะโทษที่ยังเหลือนั้นต่อไป
จนกว่าจะครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาของศาล

กล่าวโดยสรุป แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษของพระมหากษัตริย์นี้
ก็ยังคงเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาดสมบูรณ์ทั้งตามโบราณราชนิติประเพณี และตามรัฐธรรมนูญ

บรรณานุกรม
• ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ อุวรรณโณ

//guru.sanook.com/encyclopedia
สนุก!ความรู้ > ห้องสมุดความรู้ > สารานุกรม > สารานุกรมไทย ฉบับกาญจนาภิเษก > พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ







 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551
0 comments
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 7:13:56 น.
Counter : 3732 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


the last เอ-กา
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เอ-กา อารมณ์ วิญญาณ การเมือง เพื่อชาติ และแผ่นดิน
Friends' blogs
[Add the last เอ-กา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.