.
Group Blog
 
 
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
9 เมษายน 2551
 
All Blogs
 

อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา 6 บริษัท (ยาวแต่น่าอ่าน)



คงขึ้นอยู่กับลักษณะงานด้วยแหละนะ เนื้อเรื่องยาวหน่อย แต่น่าสนใจดี
จบวิศวะ เครื่องกล พระจอมเกล้า พระนครเหนือ ตอนนี้อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา ทั้งหมดก็ 6 บริษัท เสต็ปเงินเดือนนะครับ
- 8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) 10 เดือน
- 15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) 4 เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
- 30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) 1 ปี เงินเดือนขึ้นสองรอบ
- 35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) 3 เดือน
- 40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) 4 เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
- 6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) 3 เดือน
- 1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน

อยากจะบอกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ทำงาน
จะต้องคอยสังเกตและศึกษาอยู่ตลอดว่า งานที่
เรารับมาทำนั้น มันมาจากไหน มาจากใคร และ ไปไหนต่อ ไปยังไง ใครตรวจสอบ
เพื่อดูว่าตำแหน่งที่สูงกว่าเรานั้น เค้ารับผิดชอบเรื่องอะไร พยายามเรียนรู้ให้ได้ว่าเรายังขาดอะไรอีก
ในการเลื่อนตำแหน่ง มันไม่ยากอย่างที่หลายๆคนเข้าใจนะครับ

เหมือนคนจีนว่า อย่าถามว่าเมื่อไรจึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ให้ถามว่า หากได้เลื่อนตำแหน่งวันนี้
เรามีความสามารถพร้อมกับตำแหน่งนั้นๆหรือยัง

ผมเองก็ทำตามที่กล่าวมาข้างต้น พอมีโอกาสให้รีบเสนอตัวทันทีไม่ต้องรอ ถ้าคิดว่าพร้อม โดยส่วนมาก
จะได้ตามที่เสนอ แต่ต้องย้ำว่าพร้อมจริงๆนะครับ
คิดว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ สำหรับคนจบใหม่ หรือ กำลังทำงานอยู่

อธิบายเพิ่มเติมให้แล้วกันนะครับ เผื่อเป็นแนวทาง

- 8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) 10 เดือน
อันนี้ไม่มีอะไร ปรกติ เพิ่งจบ กำลังเรียนรู้ระบบ ลาออกเพราะเงินเดือนน้อย
- 15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) 4 เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
เดินเข้าไปคุยกับญี่ปุ่น ว่าผมทำงานตำแหน่ง senior design engineer
ได้ เพราะว่า พร้อม และอธิบายเค้าว่า พร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะได้ที่ใหม่
เงินเดือนเยอะกว่า ที่สำคัญ เป็น บริษัทฝรั่ง
- 30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) 1 ปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ
ขึ้นรอบแรกตอนผ่านโปรสามเดือน
หลังจากนั้นอีกหกเดือนเงินเดือนขึ้นอีกรอบ เพราะว่า
เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้า เสนอตัวเองรับหน้าที่เพิ่มเติมจาก job description
และอธิบายอีกครั้งว่า
พร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะหัวหน้างานเริ่มงี่เง่ามาก ทนไม่ไหว
- 35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) 3 เดือน
อันนี้ปกติ ออกเพราะว่ามันไกลบ้านมาก เดินทางไม่ไหว

- 40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) 4 เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง> อันนี้เข้ามาเป็นตำแหน่งใหม่เป็นครั้งแรก

หลังจากทำงานในตำแหน่ง design engineerมาหลายที่แล้ว

เลยสมัครเป็น project engineer เพื่อดูภาพรวมของ project หลังจากนั้น บังเอิญที่
บริษัทมี project นึง ที่ติดค้างส่งมอบให้ลูกค้ามานานมาก และไม่มีใครอยากรับไปทำต่อ ลูกค้า โกรธมากๆ

ผมก็เลยเสนอตัวเองรับงานนี้ไปดู พร้อมกับข้อเสนอ (ตำแหน่งใหม่ เป็น Project manager
แต่เงินเดือนเท่าเดิม เพราะว่าต้องการ referent ในตำแหน่ง project manager ไว้หางานใหม่)

ลาออกเพราะว่าหัวหน้าเป็นฝรั่ง ลูกค้าเป็นคนไทย ลูกน้องก็เป็นคนไทย น่าเบื่อมาก

- 6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) 3 เดือน
งานที่นี่มันส์มาก ลุยกันสุดๆ ลูกค้าส่วนากอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องเดินทางไปประกอบและ> ติดตั้ง setup โรงงานตามไซด์งานต่างๆ

- 1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน
เช่นเคยมีงานใหม่เข้ามา project ใหญ่พอสมควร แต่ว่างานล้นมือกันทุกคน PM ที่มีอยู่ก็ติดงานอื่น
เลยคุยกับเจ้าของบริษัท บอกว่าเราทำได้ ขอทำ เค้าก็คุยกับ PM ที่เหลือ ทุกคนOK ก็เลยเพิ่งเลื่อนนี่ แหละครับ



คนไม่เชื่อ ทำยังไงก็ไม่เชื่อ ลองมองดูรอบๆที่ทำงานสิครับ
เห็นคนอายุน้อยตำแหน่งสูงบ้างมั้ย
ลองไปถามดูสิครับว่าเค้าทำยังไง ดีกว่าคอยนั่งนินทา แล้วก็อิจฉาเค้าไปวันๆ

ที่ผมอยู่ที่แรก เงินเดือน 8,000 ได้ตั้งปี เพราะว่าผมได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกับผู้จัดการโรงงาน เห็น เค้าว่างเมื่อไรผมถามแหลก

ว่าแกขึ้นตำแหน่งนี้มาได้ยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง บุคลิคจำเป็นมั้ย บลา บลา บลา
แล้วสุดท้ายผมก็ได้แกเป็นต้นแบบ ทำตามที่แกแนะนำทุกอย่าง
ทุกวันนี้ยังโทรคุยกับแกอยู่แลยครับ

ที่บริษัทญี่ปุ่นนั้น เสต็ปมันจะไม่เหมือนกันครับ ผมทำได้สองเดือนแรก
ผมยื่นใบลาออก ทนไม่ไหว
กลับดึกเงินเดือนน้อย ตามสไตล์ญี่ปุ่น
หัวหน้าคนไทยกับคนญี่ปุ่นเรียกมาคุยบอกว่าไม่อยากให้ออก
ยูทำงานเร็วมาก ผมบอกไอ้คนที่เข้ามาพร้อม กัน มันทำช้า ไม่เห็นใครว่าไร
เงินเดือนเท่ากัน ไม่แฟร์
เค้าบอกทนๆไปก่อนเดี๋ยวสิ้นปีจะเลื่อนให้เป็น senoir เค้าจะ support ให้
ผมบอกไม่ไหว นานไป ก็เลยถามเค้า senior เงินเดือนเท่าไร เค้าบอกมา ผมก็ว่าใช้ได้ 2x,xxx
ก็เลยถามเค้าว่า senior ต้องทำอะไรได้บ้าง เขียนมาเลยเป็นข้อๆ แล้วผมจะรีบศึกษา ถ้าทำได้ตามนี้ เมื่อไร
ยูต้องปรับไอขึ้นนะ เค้าโอเค

หลังจากนั้น หัวหน้าญี่ปุ่นเค้าก็เริมโยนงานของ senior มาให้ทำมากขึ้นเรื่อยๆ
ครบสองเดือนก็เลื่อน ครับ
แต่พอดีที่ใหม่เค้ายื่นมา 30,000 เลยออกทันทีเลยครับผมถือว่าทำงานเพื่อเงิน
เวลาของผมมีค่าที่สุด
เรื่องความภักดีต่อองค์กรมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมเลือกเงินไว้ก่อน เป็นฐานเงินเดือนดีกว่า

วิศวกร หลายๆคน คงรู้ว่า เวลาหางานใหม่ ขอเงินเดือนเยอะไม่ได้
มันติดฐานเงินเดือนเก่า ใช่ มั้ยครับ
นั่นแหละครับ เหตุผลที่ผมเปลี่ยนงานบ่อยๆ

งานที่สุดท้ายเป็นลักษณะงานแบบเป็น project ๆ ไป แล้วแต่ลูกค้า
ส่วนมากจะอยู่ที่ต่างประเทศ
ระยะเวลาก็แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี คนที่คุมงานโดยรวม Project Manager
ท่านอื่นๆ ก็จะรับงานไปดูแลส่วนมากไม่เกิน 3 งาน ในเวลาเดียวกัน ทีนี้
โดยนิสัยฝรั่ง ถ้าเรากล้าขอ มันก็กล้าให้ (ถ้าไม่เสี่ยงมาก) ถ้าทำได้ก็ทำต่อไป
ถ้าขอแล้วทำไม่ได้อันนี้ลาออกสถานเดียวนะครับ

พอดีจังหวะงานใหม่ที่เข้ามา ผมเป็นคนไปประชุมพร้อมกับเจ้าของมาแล้วหลายๆครั้ง
รู้ที่มา ที่ไปเกือบทั้ง หมด

งานในส่วนที่ผมรับผิดชอบมันเริ่มล้าช้า ผมเลยถามว่าทำไมช้อมูลมันมาช้า
ผมทำงานต่อไม่ได้ เจ้าของก็
บอกว่าคนอื่นๆเค้างานยุ่งกันหมด ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพงานนี้เลย
ผมเลยกลับมาคิด ดูรอบๆได้แล้วน่า จะเอาอยู่เลยเข้าไปคุยกับเจ้าของ อธิบายว่า ถ้าให้เราคุม เราจะทำอย่างไร
ขั้นตอน แผนงาน เป็น ยังไง
เค้าขอเวลาคุยกับ Project Manager ท่านอื่นๆก่อน (มีอีก 2 คน)
ระหว่างนั้นผมก็รีบโทรหาทั้งสอง ท่านทันที บอกเค้าว่าเราทำได้ อยากให้ช่วยสนับสนุนหน่อย
ทั้งสองท่านก็บอกว่ามันเหนื่อยนะ แต่ถ้ายูอยากลอง ไอคิดว่ายูพอได้
แล้วเจ้าของเค้าก็บอกว่าโอเค ลุยได้เลย แล้วก็ยื่นเงินเดือนใหม่มาให้ เท่านี้อ่ะครับ

ตอนนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน. ใครทำงานกับฝรั่ง ลองดูก็ได้ครับ

มีอยู่คนนึง ผมนั่งสัมภาษณ์เค้าเข้าทำงาน นั่งกับ PM อีกคน คุยไปคุยมา
พอถามเรื่องเงินเดือน พี่แกหันมาพูดไทยกับผมเฉยเลย ถามว่าผมได้เท่าไร
ประมาณว่า กะว่าฝรั่งมันคงฟังไทยไม่รู้เรื่องมั้ง ผมก็บอก คุณอยากได้เท่าไรล่ะครับ
ว่ามาเลย เค้าก็ย้ำอีก ถามว่าผมได้เท่าไรล่ะ กะว่าจะได้เรียกให้ใกล้เคียงกันมั้ง

เลยบอกเค้าว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้คุณ 1 ล้าน

คุณเอามั้ยเค้าบอกเอาครับ พี่ล้อเล่นรึเปล่า
ผมบอกเปล่า พูดจริงๆ แต่ต้องตอบคำถามพี่ข้อนึงนะเค้าบอก ถามมาเลยครับผมถาม
'ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อย ว่าคุณจะทำเงินให้บริษัท มากกว่าเดือนละ 1 ล้าน
ได้ยังไง'
เค้าบอก งั้นผมขอเงินเดือน 17,000 พอคับ ผมเข้าใจแล้ว

ผมทำ EPCM ครับ แนว ปรึกษา , ออกแบบ , วางระบบ , สร้าง , Setup ระบบ เกี่ยวกับ Gas ทุกชนิด เพื่อปั่นไฟฟ้า ตามไซด์งานลูกค้าครับ

แถมให้หน่อย
เจ้าของบริษัทเค้าเคยบอกผมว่าคุณรู้มั้ย มืออาชีพ ต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน ?
ผมบอกไม่รู้ครับ
เค้าบอกว่า มือสมัครเล่น จะทำงานไม่สำเร็จ
แม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมี
เหตุผลร้อยพัน ว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ

ส่วนมืออาชีพนั้น จะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆเลยก็ตาม
ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ
แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน



น่าจะมีประโยชน์ครับ เอามาแชร์

ตอนทำงานที่แรก (8,000) จริงๆแล้วเป็นบริษัทคนไทยร่วมทุนกับญี่ปุ่น
เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่ง
ให้กับโรงประกอบรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ มีตั้งแต่ อีซูซุ ไปถึง เบนซ์ เยอะแยะไปหมด
แต่ว่าที่โรงงานนี้เค้าเน้นการสร้างเครื่องจักรใช้เองมากกว่าซื้อมาจากต่างประเทศ
เพราะมันแพงมาก
ผมเองเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ครับ แต่น แตน แต้น

'ออกแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต'

ว่าแล้วทั่นหัวหน้าก็โยนชิ้นงานมาให้ดู เป็นตัวอย่างจากลูกค้า เราต้องผลิต
xx,xxx ชิ้นต่อเดือน
ออกแบบเครื่องให้หน่อย ให้เวลา 1 เดือน เอาล่ะสิครับทั่น ความระทึกมาเยือน
เพราะต้องทำคนเดียว

วิศวกรท่านอื่นๆก็ออกแบบเครื่องของแต่ละคน แยกจากกัน ไม่ได้ทำงานกันเป็นทีม
ประมาณว่า All in one เหมือนรีจอยส์ น่ะครับ ฮา>
ก่อนอื่น ก็ไปนั่งอ่านแคทตาลอกอุปกรณ์ไฟฟ้า เซ็นเซอร์ นิวเมติกส์ และอื่นๆ 2 วันเต็มๆ ในห้องเก็บ เอกสาร

เพื่อดูว่าโลกนี้เค้าใช้อะไรกันมั่ง ตอนนั้นรู้น้อยมากครับ
อาศัยอ่านแคทตาลอกเอา รู้เรื่องบ้าง
ไม่รู้บ้าง อ่านๆไปก่อน ฮา

หลังจากนั้น ก็มานั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องประชุม เขียนไวท์บอร์ดไปเรื่อยๆ
ว่าเครื่องมันหน้าตาควรจะ เป็นยังไง
จนได้ข้อสรุปที่คิดว่า นี่แหละ คำตอบสุดท้าย ( Conceptual Design )
เพื่อสรุปให้หัวหน้าเค้าฟังก่อน เริ่มลงมือทำ

ต่อมาก็คือขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดของตัวเครื่องในแต่ละชิ้น
ขั้นตอนนี้หินที่สุด ปวดหัวมาก เพราะ โจทย์ มันครอบจักรวาล เครื่องนี้จะต้อง
- ราคาไม่แพง
- ทำงานได้ดี
- ทนทาน
- ปลอดภัย
- ดูแลรักษาง่าย
- ประกอบง่าย
- มีความรวดเร้วในการทำงานสูง
- ประหยัดเนื้อที่ (ขนาดเล็ก)
เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ในไลน์การผลิต
- และ อื่นๆ อีกมากมาย

เอาล่ะสิครับ หัวฟูเลย คิดแล้วคิดอีก
เพราะว่ามันต้องตอบโจทย์ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน คิดอยู่สองวัน
งานไม่เดิน จนทนไม่ไหว ขอลาช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อกลับสถาบัน เตรง เตร่ง เตร๊ง (ลิเกไปมั้ยวะเนี่ย)

พอเจอทั่นอาจารย์ที่เคารพ (อ.ที่ปรึกษา) ก็เค้าไปคุยเพื่อขอคำชี้แนะ
ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าเราไปไม่ถูก

ตัวแปรมันเยอะเกิน คิดพร้อมกันมันปวดหัว ไปไม่เป็นเลยครับทั่น
อาจารย์ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ส่ายหัว
(เราก็นึกในใจ สงสัยเราจะโง่มากเลยใช่มั้ยครับ ) แล้วพูดด้วย น้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ ว่า

'คุณรู้มั้ย ว่า textbook ที่คุณเรียนน่ะ ไอ้ที่มันหนาๆเป็นร้อยๆหน้าอ่ะนะ เวลาเค้าเขียนขึ้นมา
เค้าเขียนยังไง' ผมตอบทันควันด้วยความมั่นใจ 'ไม่ทราบครับ'
ท่านกล่าวต่อ (ประโยคอมตะสำหรับผมเลยครับ จะจำจนวันตาย)

'เวลาเค้าเขียนน่ะ เค้าเขียนทีละตัวอักษร ทีละตัว ทีละตัว จนเป็นคำ'
'จากคำ เป็นประโยค เป็นย่อหน้า เป็นหน้า หลายๆหน้า ก็เป็นเล่ม'
'คุณกำลังทำอะไรอยู่ เขียนทีละคำ หรือเขียนทีละเล่ม ?'

วาบ วาบ แปล๊บ แปล๊บ (เอ็ฟเฟ็กส์) เหมือนมีแสงวาบๆ ในหัวทันที มันโล่งบอกไม่ถูก
พูดแล้วน้ำตาซึม
เรามีอาจารย์ดีอย่างนี้ เป็นบุญจริงๆ แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า
'เราเป็นวิศวกรแล้วนะ วิศวกรที่ดี จะต้องไม่ทำอะไรที่ดูแล้ว ไม่ฉลาด
เข้าใจมั้ย'
หลังจากนั้นมา ก็ลื่นเลยคับ คิดทีละเรื่อง อย่างอื่นช่างมัน ดูน็อตทีละตัว
ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ แก้ไขปรับ
แต่งไปเรื่อยๆ ไม่เครียดแล้วคราวนี้รู้สึกสนุกมาก เครื่องเสร็จเรียบร้อย
ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา

คิดว่าคำสอนของท่านอาจารย์ผมน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆคน


เล่าสู่กันฟังครับ


กระผมเองมีจุดประสงค์ที่จะแบ่งปันประสบการณ์ผ่านพบมากับตัวเอง แน่นอนว่า
พื้นฐานของแต่ละคน
เติบโตมาไม่เหมือนกัน ผมเองนั้น
ทำงานที่บริษัทใหญ่ๆมาแค่สองที่แรกเท่านั้นเองครับ ที่เหลือเป็นบริษัท
ขนาดกลาง ถึง เล็ก ด้วยซ้ำ เพราะผมรู้ว่า บริษัทใหญ่ มันเงินเดือนน้อย โตยาก
(จากที่กล่าวไปข้างบนแล้ว)ผมรู้สึกว่ามันช้าไม่ทันใจ
เลยออกมาเข้าบริษัทเล็กๆดีกว่า

เริ่มตั้งแต่บริษัทที่สาม ที่ทำงานมา ถึงรู้ว่า บริษัทเล็กๆนั้น ส่วนมาก
ไม่ค่อยมี HR หรอกครับ คนที่
สัมภาษณ์เรา เป็นหัวหน้าเราโดยตรง ไม่ก็เจ้าของบริษัทเลย ดังนั้น
คนเหล่านี้จะไม่เหมือน HRที่มา
นั่งดูว่าคุณเคยทำอะไรมา แต่คนเหล่านี้จะถามซ้ำไป-ซ้ำมา
ว่าคุณทำอะไรได้บ้างนับจากนี้เป็นต้นไป

ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ พร้อมกับสร้างความมั่นใจในเชิงบวกได้แล้ว
เงินเดือนที่เราเรียกร้องย่อมเป็นไปได้
ตราบเท่าที่ยังอยู่ในจุดคุ้มของบริษัท ผมย้ำไว้ข้างบนสุด ละ หลายๆที ว่า
ต้องพร้อมจริงๆ ถึงจะทำได้

ความพร้อมที่ว่านี้ หมายถึงความพร้อมที่จะรับทั้งผิด และ ชอบ
ต้องยอมรับงานที่หนัก กดดันเหมือนขึ้นที่สูง
และพร้อมยอมรับ ถ้าถูกไล่ออกเมื่อทำไม่ได้ (แน่นอนว่า บริษัทใหญ่ๆ
จะใช้ระบบเป็นตัวรับผิดชอบแทน
คุณไม่ต้องมารับความเสี่ยงตรงนี้ ดังนั้น การอยู่บริษัทใหญ่ๆ จะมั่นคงกว่า )

ใครก็ตามที่คิดจะเลียนแบบวิธีการของผม
ผมกลับคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่เค้า/เธอ ทำงาน
อยู่ ณ. ปัจจุบันนี้ซะอีก เพราะนั่นหมายความว่า เขา/เธอ เหล่านั้น
จะไม่ทำงานแบบซังกะตายอีกต่อไป
หากแต่จะรีบทำงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอย่างรวดเร็ว
เพื่อจะได้มีเวลาเหลือสำหรับการของาน
ที่นอกเหนือหน้าที่ตนเองมาทำ เพื่อศึกษา มันย่อมส่งผลให้
ประสิทธิถาพการทำงานของเขา/เธอสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน หลังเลิกงาน กลับไปที่บ้าน แทนที่จะไปนั่งดูละคร หรืออะไรก็ตาม ที่มันไร้สาระ
กลับใช้เวลาที่ยังพอมี ก่อนนอน มานั่งศึกษา หาหาความรู้ใส่ตัว
เพื่อทำให้ตัวเองพร้อมมากที่สุด สำหรับตำแหน่ง - เงินเดือน ที่ต้องการ

ในที่ทำงาน เมื่อเจอเจ้านาย/หัวหน้า/ลูกค้า/เพื่อนร่วมงาน งี่เง่า
เขา/เธอ จะไม่บ่น หรือ อารมย์เสียอีกต่อไป หากแต่จะคิดทันทีว่า
เมื่อใดที่เธอได้ทำงาน
ใน ตำแหน่ง-เงินเดือน (ที่วางเป้าหมายไว้) เขา/เธอ จะแก้ปัญหาเหล่านั้น ได้อย่างไร

เสต็ปถัดไป
เขา/เธอ เริ่มศึกษาหาโอกาสทันที โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง
เริ่มมาดูโครงสร้างบริษัท
รายได้ รายจ่าย รายชื่อลูกค้า กำไรต่อปี นโยบาย ภาพรวมตลาด

เมื่อ เขา/เธอ พร้อมแล้วที่จะท้าลองก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น
ความมั่นใจตรงนี้มาจากการทำการ บ้านมาดี

ว่าแล้วก็เริ่มคิดแผนการณ์ อัพตัวเองทันที
บ้างก็วางแผนจะเสนอตัวเป็นหัวหน้าแผนกใหม่
บ้างก็เสนอให้บริษัทเจาะตลาดใหม่ๆ โดยให้ เขา/เธอ เป็นหัวหน้าทีมบุกเบิก
บ้างก็รอจังหวะงานเข้ามากๆ แล้วรีบเข้าไปเสนอตัว
บ้างก็เสนอตัวเข้าแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานขององค์กร

เมื่อโอกาสมาถึง + ดวงสักเล็กน้อย ย่อมเป็นไปได้ครับ

ผมไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหน ที่จะเสี่ยง ถึงแม้มันไม่ได้ตามที่ เขา/เธอ คาดหวัง
แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ เขา/เธอ พร้อมมากขึ้นในการยื่นข้อเสนอครั้งต่อไป

ในเมื่อคนเรามีเวลาจำกัด ทำงานไม่กี่ปีก็แก่ ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ เลยมาแบ่งปัน

หลายๆคนที่เข้ามาอ่าน อาจจะพร้อมมากกว่าผมก็ได้ แต่ไม่มีเส้นสาย
หรือไม่กล้าเข้าไปคุย ผมก็ แนะนำ หรือบางคนทำงานไปแกนๆ งั้นๆ สิ้นปีก็มานั่งบ่น เงินเดือนน้อย โบนัสน้อย
ผมก็แนะนำ ให้แก้ปัญหาให้ตรงจุด




 

Create Date : 09 เมษายน 2551
6 comments
Last Update : 7 พฤษภาคม 2551 13:48:46 น.
Counter : 2475 Pageviews.

 

ดีมากๆๆทำให้มีกำลังใจและตั้งใจทำงาน
ให้มากขึ้นเพื่อตัวเองครับ...

 

โดย: คนทำงาน IP: 125.25.163.204 9 เมษายน 2551 15:20:30 น.  

 

ชอบมาก จะทำให้ได้บ้าง

 

โดย: nat IP: 58.9.95.164 29 เมษายน 2551 15:24:54 น.  

 

น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จอย่างคุณ บางครั้งมันขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาศของชีวิตด้วย... ถือว่าคุณได้รับโอกาสดีดีหลายครั้งค่ะ...

 

โดย: kanyong1 IP: 124.120.10.172 30 เมษายน 2551 11:54:38 น.  

 

Thanks for sharing!
It`s very good experience u have!

 

โดย: Mam IP: 222.123.28.139 6 กรกฎาคม 2551 21:19:39 น.  

 

เจ๋งไปเลย...ว่าแต่ยังเป็นลูกจ้างอยู่เปล่าค่ะ...

 

โดย: ked (สวนเงินสวนทอง ) 24 มิถุนายน 2552 14:08:19 น.  

 

great job!

 

โดย: puffy IP: 125.25.249.233 20 พฤษภาคม 2554 13:14:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ออราเล่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ออราเล่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.