10 คำถามยอดฮิต สำหรับคนรักกล้วยไม้ (ภาค 2)

มาต่อกับคำถามที่ 6 กันค่ะ
คำถามที่ 6. ทำไมแวนด้าไม่มีเครื่องปลูก? และรากยาวๆ ของแวนด้าจะตัดทิ้งบ้างได้หรือไม่?
นี่เป็นอีกคำถามหนึ่งซึ่งผู้ซื้อนิยมถาม เพราะแปลกใจว่าแวนด้าหรือกล้วยไม้สกุลรากอากาศเจริญเติบโตอยู่ได้อย่างไร ในกระเช้าซึ่งไม่มีเครื่องปลูกเลย
จะมีเพียงแต่รากยาวๆ จำนวนมาก บางต้นรากยาวละพื้นเลย มีแวนด้าหรือกล้วยไม้รากอากาศนั้น เป็นกล้วยไม้ประเภทอิงอาศัย ซึ่งเกาะบนคบไม้ ตอไม้หรือกระเช้าพลาสติกที่ปลูก เพื่อให้มีที่เกาะหรืออาศัยเท่านั้น และรากจะดูดความชื้นในอากาศและน้ำที่รดมัน รากของกล้วยไม้อากาศจะพยายามเจริญงอกงาม (วิ่งเข้าหา) เข้าหาความชื้น ซึ่งตามสถานที่ปลูกอาทิ พื้นดิน พื้นทราย ดังนั้นรากของกล้วยไม้อากาศจึงไม่ควรใส่เครื่องปลูกใดๆเพราะจะทำให้อับชื้นและเกิดอาการเน่าเสียได้ และรากของแวนด้าจะดูดความชื้น น้ำ ปุ๋ยหรือยา โดยตรงได้เลย โดยไม่ต้องใส่เครื่องปลูก รากของแวนด้าสามารถตัดได้ หากเจริญงอกงามไปละกับพื้นดิน เพราะถ้าเช่นนั้นรากอาจติดเชื้อจากพื้นได้ โดยการตัดรากนั้นไม่ควรตัดเกินครึ่งของความยาวราก เพราะถ้าตัดสั้นเกินไป อาจทำให้แวนด้าเจริญเติบโตแบบชะงักงันได้ ที่สำคัญเราไม่ควรตัดรากขณะที่เขายังมีดอก เพราะอาจทำให้ระบบการลำเลียงอาหารทำงานได้ไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้ดอกส่วนปลายฝ่อ หรือฝ่อไปทั้งหมด



คำถามที่ 7. จำเป็นต้องให้ปุ๋ยกล้วยไม้หรือไม่? และให้ปุ๋ยอะไรดี
ปุ๋ย คือ อาหารของกล้วยไม้ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และให้ดอกสมบูรณ์ หากเราไม่ให้ปุ๋ยมีเพียงแต่ให้น้ำฝนในฤดูฝน กล้วยไม้อาจอยู่ได้ และให้ดอกบ้าง แต่ความสมบูรณ์จะค่อยๆ ลดลงเนื่องจากในน้ำฝนมีธาตุหลักของปุ๋ย คือ ไนโตรเจน (N) ซึ่งจะช่วยบำรุงต้นและใบ ดังนั้นน้ำฝนอย่างเดียวคงไม่พอ จึงควรให้ปุ๋ยสม่ำเสมอ โดยทั่วไปใช้ปุ๋ยเกร็ดละลายน้ำ (N-P-K) โดยใช้สูตรเสมอ น่าจะเหมาะสมที่สุด 21-21-21 ฉีดให้ชุ่มทั้งรากและต้นทุกๆ 7-10 วันตอนเช้า กล้วยไม้จะได้อาหารที่สมบูรณ์



คำถามที่ 8. มักมีปัญหายอดเน่า และใบเป็นโรคจะทำอย่างไร?
เป็นธรรมดาเชื้อรามักเกิดกับกล้วยไม้เสมอ หากการป้องกันไม่ดีพอ เพราะเชื้อราอาจมาจากสภาพแวดล้อม เช่น น้ำฝนที่ไม่สะอาด ความอับทึบของสภาพแวดล้อมในการเลี้ยง หรืออาจติดจากกล้วยไม้ที่เป็นโรคข้างเคียง
เป็นต้น ดังนั้นหากเราไม่อยากให้กล้วยไม้เป็นโรค ควรป้องกันไว้ก่อน โดยการฉีดยาป้องกันเชื้อราแบบพื้นๆ เช่น แคปแทน แนโคแซป คาเบนดาซิม เป็นต้น โดยฉีดให้ชุ่ม ทั้งต้นและราก โดยหากเราไม่แคร์เรื่องดอกก็ฉีดให้โดนดอกด้วย เพื่อให้กล้วยไม้สัมผัสยาทุกส่วน และควรฉีดในเวลาที่แดดไม่จัด ทุกๆ 10 วัน จะถือเป็นมาตรฐาน ในกรณีเกิดโรคแล้วต้องวิเคราะห์ว่าเป็นโรคอะไร แล้วให้ยาให้ตรงประเด็น ซึ่งในจุดนี้โรคอาจไม่หายขาด
ดังนั้นเราอาจถามผู้รู้ หรือร้านขายยาการเกษตร หรืออ่านจากตำรากล้วยไม้ต่างๆ ก็ได้ ส่วนยอดเน่าหากใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจทดลองใช้ปูนแดงละลายน้ำให้ข้นพอประมาณ แล้วนำมาหยอดบนยอดที่เน่าเพียงเล็กน้อย ปูนซึ่งมีความเป็นด่าง อาจฆ่าเชื้อราที่อยู่ในยอดกล้วยไม้



คำถามที่ 9. ทำไมกล้วยไม้ต้นต่างๆ ราคาจึงต่างกัน ดูอย่างไร?
เหมือนกับหลักทางเศรษฐศาสตร์ทั่วไป คือ กล้วยไม้ชนิดที่หาง่าย มีจำนวนมาก จะมีราคาถูกกว่าขณะที่ชนิดที่หายาก และมีจำนวนน้อย ก็มีราคาแพงกว่า ทั้งนี้กล้วยไม้นั้นต้องให้ดอกที่สมบูรณ์ด้วย ถ้าเป็นกล้วยไม้ชนิดเดียวกัน ต้นใหญ่มักแพงกว่าต้นเล็ก และต้นที่มีดอกขนาดใหญ่ ระเบียบช่อดี สีดี และต้นไม่เป็นโรค ก็จะมีราคาสูงกว่าเช่นกัน



คำถามที่ 10. ผสมพันธุ์กล้วยไม้ทำอย่างไร?
การผสมพันธุ์กล้วยไม้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะการคาดคะเนผลที่จะตามมาว่า แม่ต้นนั้น พ่อต้นนี้จะให้ลูกดีตามเป้าหรือไม่ แต่โดยคร่าวๆ คือ การผสมกล้วยไม้ที่ได้ผลดี ควรเป็นการผสมกล้วยไม้สกุลเดียวกัน
ใช้เกสรตัวผู้ของต้นพ่อ เข้าไปในโพรงเกสรตัวเมียของต้นแม่ โดยดอกที่ได้รับการผสมจะค่อยๆ เหี่ยวและเปลี่ยนเป็นฝัก ซึ่งฝักนั้นจะอยู่บนต้นจนสุก ซึ่งเราทราบได้จากการนับเวลาจากวันที่ผสมว่ากี่เดือน ตามสกุลของกล้วยไม้นั้นๆ จากนั้นจึงนำฝักที่สุก ไปเพาะที่แลปกล้วยไม้ หากเมล็ดในฝักสมบูรณ์ดี ก็จะได้ลูกไม้จำนวนมาก ซึ่งจะเลี้ยงอนุบาลไว้ในขวด ที่มีอาหารวุ้น และต่อจากนั้นทำการนำลูกไม้ออกจากขวด อนึ่งการผสมพันธ์กล้วยไม้นี้มีรายละเอียดมาก และอาจไม่ง่ายนัก ซึ่งคู่ผสมเด่นๆ นับสิบคู่ แต่อาจประสบความสำเร็จขั้นต้น คือ สามารถเพาะลูกไม้ได้เพียง 2-3 คู่ผสมเท่านั้นเอง



ดูภาค 1
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=orchidneverdie&month=26-06-2009&group=4&gblog=7

สุดท้ายนี้ขอบคุณ นิตยสาร ไม้ดอกไม้ประดับ ฉบับที่52/2549 และคุณปิยวิทย์ จินดาวัฒน์ สำหรับข้อมูลดีๆ อีกครั้งค่ะ

 

Create Date : 26 มิถุนายน 2552		3 comments
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 14:43:13 น.
Counter : 6867 Pageviews.
Share Tweet