I Don't Want to Talk About It
Photo by MM
เพลงประกอบ I Don't Want to Talk About It
ในเอนทรีหลังๆของฉันที่เขียนเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของประชาคมกลุ่มอาเซียน (AEC - ASEAN Economic Community) แล้วมีคนเขาอยากให้ฉันเขียนต่อ..
บอกตรงๆว่าไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้นัก ยิ่งเขาอยากอ่านเรื่องการบริหารการเงินด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งไม่อยากเขียน เพราะว่า นอกจากบางคนจะไม่เข้าใจแล้ว จะพาหมั่นใส้เข้าไปอีก
แต่ไหนๆเขาอยากอ่านแล้ว ฉันก็จะเขียนสักเล็กน้อยพอเป็นพิธี แต่ทั้งนี้ ก็อยากเห็นคนอ่านได้ทำการบ้านส่งด้วยนะ
จากเอนทรีก่อน ...
"ปลาใหญ่กำลังกินปลาเล็ก"
เรื่อง AEC - ASEAN Economic Community
อยากจะบอกสั้นๆว่า "คนรู้จริง เขาไม่พูด" ส่วน "คนพูด ไม่รู้จริง" แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ คงทำนองว่า รู้แต่พูดไม่หมด
เอ...ทำไม? คุณMM ถึงกล่าวเช่นนั้น??
พูดถึง AEC แล้ว กลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือ กลุ่มที่มีความพร้อมทางด้าน เงิน และ สมอง
ในบรรดา10ชาติของอาเซียน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คงหนี้ไม่พ้นสิงคโปร์
ต่อไป คนสิงคโปร์จะไปตั้งบริษัทหรือถือหุ้นใหญ่ในประเทศต่างๆได้เกิน50%อย่างสบายขึ้น โดยไม่ต้องติดข้อกฎหมายเรื่อง nominee
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึง นั้นก็คือ...
กลุ่มทุนจากทั่วโลกจะแปลงร่างในคาบสิงคโปร์ แล้วเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนรวมถึงการเทคโอเวอร์กิจการที่มีชื่อและมีอนาคตต่างๆ
ที่หนีไม่พ้นก็คือจะเกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในธุรกิจแต่ละประเภท เข้าทำนองใครดีใครอยู่ ใครเงินหนา ใครฉลาดกว่า ก็จะกุมตลาดได้มากกว่า
ถึงแม้สิงคโปร์เขามีคนน้อย แต่เขาไม่ได้ส่งคนไปทำงานเหมือนกับที่คนในอาเซียนคิด เขาจะส่งระดับผู้บริหารไปกำหนดนโยบายแทน
ถ้าถามว่า ดีมั๊ย?แบบนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า มันควรจะเกิดขึ้นและเป็นมาตั้งนานแล้ว
นี้ขอพูดในฐานะของนักลงทุน ไม่ใช่ในฐานะคนเป็นลูกจ้างในทุกระดับนะ
เมื่อหันมามองไทยเรา จากตลาด60ล้านคนก็จะกลายเป็น600ล้านคน
กลุ่มที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน นั้นคือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะได่รับผลประโยชน์เฉพาะกับคนที่มีมุมมองในหลายมิติเท่านั้น
ในอีก2ปีข้างหน้า ถ้ายังไม่เตรียมตัวรับมือกับคู่แข่งที่เขามีความพร้อมทุกอย่าง ก็อย่าหวังว่าจะทำมาหากินกันสบายเหมือนแต่ก่อนเลย
ไอ้โฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย คงจะใช่ไม่ได้ผลอีกต่อไป ซึ่งถ้าไม่ดีจริงหรือเก่งจริงด้วยแล้ว... ไม่นานเดี๊ยวก็ไป
สุดท้าย...ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำว่า "โอกาสย่อมเป็นของผู้ฉลาดกว่าเท่านั้น" และอยากสารภาพตามตรงว่า ฉันนั้นรอเวลานี้มานานแล้ว
มาวันนี้... ขอเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย จะเห็นด้วยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยุ่กับสติปัญญาบวกกับความสามารถของแต่ละท่าน
คือ ... นับจากนี้เป็นต้นไป จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนไทยที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักลงทุน นักธุรกิจหรือมือปืนรับจ้างที่มีความสามารถ มากประสบการณ์
นั้นเพราะอะไร???? จขบ.ก็ไม่อยากระบุลงลึกหรือบรรยายโดยละเอียด เอาเป็นว่า คนที่เห็นโอกาสก็คงทราบดีแก่ใจ และก็คงรีบเตรียมการก่อนล่วงหน้าแล้ว
ส่วนคนที่มองไม่เห็นโอกาส อันนี้จขบ.ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน??
นอกจากนี้ ยังมีคนเขาอยากอ่านเรื่องวิธีคิดการบริหารการเงินที่ฉันเขียนไว้
ก็อยากฝากคำถามไว้ดังนี้คือ ถ้าคุณจะแบ่งเงินออมสัก1ล้านบาท ไปบริหารจัดการ คุณจะทำอย่างไรให้เงินพอกพูนจำนวนมาก โดยที่ต้องไม่นำเงินทั้งหมดไปลงทุนกับความเสี่ยง เช่นการไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือเข้าไปเล่นหุ้นฯ ..และถ้าคุณฝากธนาคารกินดอกเบี้ย คุณก็ได้รับเพียง1%สำหรับเงินฝากออมทรัพย์ และราวๆ3%สำหรับเงินฝากประจำ หรือถ้าไปซื้อพันธบัตรก็ได้ไม่เกิน5%ต่อปี แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมคิดคำนวนอัตราเงินเฟ้อด้วยนะ
นักลงทุน นักธุรกิจบางคนมีความสามารถ เขาต่อเงินจาก1เป็น2 จาก2เป็น3 จาก3เป็น4 คือปีที่หนึ่ง ลงทุนไป1ล้านบาท ปีที่2 ได้เงินรวมเป้น2ล้านบาท ปีที่3 ได้เงินรวมเป็น3ล้านบาท ปีที่4 ได้เงินรวมเป้น4ล้านบาท ปีที่5 ได้เงินรวมเป็น5ล้านบาท ปีที่6 ได้เงินรวมเป็น6ล้านบาท ปีที่7 ได้เงินรวมเป็น7ล้านบาท ปีที่8 ได้เงินรวมเป็น8ล้านบาท ปีที่9 ได้เงินรวมเป้น9ล้านบาท ปีที่10 ได้เงินรวมเป้น10ล้านบาท 35ปีก็จะมีเงิน35ล้านบาท
1-2-3-4-5-6-7-8-9-10 อย่างนี้เขาเรียกว่าโตแบบเลขคณิต
แต่นักธุรกิจนักลงทุนบางคน เขามีความสามรถต่อเงินได้มากกว่านี้ สมมุติว่า โตขึ้นปีละ20% ก็จะได้ตัวเลขดังนี้
เงินต้น .. 1,000,000 บาท ปีที่1 ... 1,200,000 บาท ปีที่2 ... 1,440,000 บาท ปีที่3 ... 1,728,000 บาท ปีที่4 ... 2,073,600 บาท ปีที่5 ... 2,488,320 บาท ปีที่6 ... 2,985,984 บาท ปีที่7 ... 3,583,180 บาท ปี่ที่8 ... 4,299,816 บาท ปีที่9 ... 5,159,780 บาท ปีที่10 .. 6,191,736 บาท
ปีที่11 .. 7,430,083 บาท ปีที่12 .. 8,916,099 บาท ปีที่13 . 10,699,319 บาท ปีที่14 . 12,839,183 บาท ปีที่15 . 15,407,020 บาท
ปีที่16 . 18,488,424 บาท ปีที่17 . 22,186,108 บาท ปีที่18 . 26,623,330 บาท ปีที่19 . 31,947,996 บาท ปีที่20 . 38,337,596 บาท
ปีที่21 ... 46,005,115 บาท ปีที่22 ... 55,206,138 บาท ปีที่23 ... 66,247,365 บาท ปีที่24 ... 79,496,839 บาท ปีที่25 ... 95,396,206 บาท
ปีที่26 ... 114,475,447 บาท ปีที่27 ... 137,370,536 บาท ปีที่28 ... 164,844,643 บาท ปีที่29 ... 197,813,572 บาท ปีที่30 ... 237,376,287 บาท
ปีที่31 ... 284,851,544 บาท ปีที่32 ... 341,821,853 บาท ปีที่33 ... 410,186,223 บาท ปีที่34 ... 492,223,468 บาท ปีที่35 ... 590,668,162 บาท
ถามว่าทำได้อย่างไร??? ถามใครละ? ถ้าถามนักธุรกิจสมองไส มีไอเดียอะไรใหม่ๆที่ดีๆ เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก
ท่านรู้หรือไม่ว่า ... ถ้าคนเป็นนักธุรกิจเก่งๆมาเห็นตัวเลขตามข้างบนนี้ เขาจะบอกได้ทันทีว่า มันน้อยไป
บางคนเริ่มจาก1ล้านบาท เวลาผ่านไป20ปี มีเงินเป็นหลายพันล้านแล้ว
และถ้าคิดแบบนักธุรกิจที่ชาญฉลาดมากด้วยแล้ว สิ่งที่คิดไว้และต้องทำให้ได้คือโตแบบเรขาคณิต 1-2-4-8-16-32-64-128-256-512-1,024
จาก1เป็น2 จาก2เป็น4 จาก4เป็น8 จาก8เป็น16 จะเห็นว่าโตขึ้น100%ในทุกๆปี ฯลฯ นั้นก็คือ
ปีที่1 เริ่มที่1ล้าน ปีที่2 เป็น 2ล้าน ปีที่3 เป็น 4ล้าน ปีที่4 เป็น 8ล้าน ปีที่5 เป็น 16ล้าน
ปีที่6 เป็น 32ล้าน ปีที่7 เป็น 64ล้าน ปีที่8 เป็น 128ล้าน ปีที่9 เป็น 256ล้าน ปีที่10 เป็น 512ล้าน ปีที่11 เป็น 1,024ล้าน
แต่วันหนึ่งก็จะถึงจุดอิ่มตัว และอัตราการเติบโตก็จะลดลงเรื่อยๆ (ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง) และนั้นเราจะได้เห็นการเคลื่อนย้ายทุนหรือการนำเงินไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ
วันนี้เท่านี้ก่อน ... การบ้านคือ คุณมีวิธีคิดอย่างไรที่จะทำให้เงินงอกเงยขึ้นปีละ20% ...
ท่านใดขยันทำการบ้าน ผลประโยชน์ก็จะตกแก่ตัวท่านเอง อิอิ!
Create Date : 27 กันยายน 2555 |
|
10 comments |
Last Update : 28 กันยายน 2555 1:08:07 น. |
Counter : 1360 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Ooy1_chan IP: 123.198.32.133 28 กันยายน 2555 11:00:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อย่างนั้นลองใข้วิธีลัดคิดดู
เงิน1ล้านบาท จะต้องทำให้งอกเงยปีละ20% ก็เท่ากับ 200,000บาท/365วัน หรือเพิ่มขึ้นวันละ 548บาท
แล้วคุณจะมีวิธีใดบ้าง????