|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
แค่ไหนถึงจะเรียกว่าทำทานพอดีแล้ว? ต้องให้ไปเรื่อยๆงั้นเหรอ
ถาม - ถามตัวเองเสมอว่าแค่ไหนจึงเรียกว่าทำทานพอดีแล้ว ในเมื่อเราให้ไปแล้ว ยังต้องให้อีกเรื่อยๆอย่างนั้นหรือ? ใจจริงไม่ใช่คนชอบให้อะไรใคร ที่เคยให้ๆไปก็เพราะหันมาเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป แต่ก็ยังเป็นความเชื่อที่ไม่หมดความสงสัย ไม่ได้เห็นผลของการให้แบบทันตาทันใจ
ตอบ - เพื่อให้รู้ว่าพอดีแล้วหรือยัง เราต้องมาดูเป้าหมายของการทำทานตามอุดมคติของพระพุทธศาสนากันก่อนนะครับ จุดใหญ่ใจความของทานคือเพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน มีความสุขในอนาคต และมีความสุขที่ยั่งยืน แจกแจงได้ดังนี้
๑) เพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน คือการทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว พุทธเราถือว่าความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นก้อนกรวดหรือก้อนหินโสโครกที่ขวางกระแสความสุข ความสุขอันประเสริฐนั้นรินมาจากใจซึ่งเปี่ยมความเมตตากรุณา หากเจอสิ่งอุดตันอย่างความตระหนี่ขวางทาง ก็หมดสิทธิ์หลั่งรินมาทำความชุ่มฉ่ำให้ใจเราเป็นแน่ คุณลองนึกถึงตอนจะเอาแล้วไม่ได้อย่างใจ หรือนึกถึงตอนตัวเองเถียงหน้าดำหน้าแดงเพื่อแย่งสมบัติกับใคร ใจมันเปิดโล่งหรือคับแคบ อึดอัดหรือสบาย หายใจเข้าออกด้วยความทุกข์หรือความสุข แล้วถ้าตลอดทั้งชาติเกิดมาเพียงเพื่อได้รู้จักกับรสชาติของความหวงแหน ชีวิตจะแร้นแค้นความสุขสักขนาดไหน
๒) เพื่อให้มีความสุขในอนาคต คือการสั่งสมบุญ สั่งสมกรรมดี อันจะก่อให้เกิดผลหรือที่เรียก วิบาก ในอนาคตกาล ซึ่งอาจเป็นระยะใกล้ชนิดเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน หรืออาจเป็นระยะไกลที่ต้องรอดูกันยาวๆด้วยดวงตาของคุณในชีวิตถัดไป ไม่ใช่ด้วยดวงตาในชีวิตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่าผู้ให้ทานเป็นนิตย์ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์และโลกมนุษย์อันมั่งคั่ง ห่างไกลจากความอดอยากและความอัตคัดขัดสน เนื่องจากบุญเป็นความสว่าง เป็นเหตุแห่งความสุขความเจริญ เป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ตกแต่งรูปสมบัติและคุณสมบัติอันน่าใคร่ น่าพอใจ คุณสามารถเห็นลางดีบอกอนาคตอันรุ่งเรืองได้จากหน้าตาและผิวพรรณในปัจจุบัน ยิ่งคิดเสียสละมากขึ้นเพียงใด ความผ่องใสก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเพียงนั้น
๓) เพื่อให้มีความสุขที่ยั่งยืน คือการสร้างปัจจัยเกื้อกูลให้พบทางสู่นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพานคือบรมสุข คือนอกจากมีรสอันเยี่ยมเกินรสใดๆแล้ว ยังไม่กลับไม่เปลี่ยนมาเป็นทุกข์อีกเลย การหมั่นให้ทานทำให้เราลดความหวงแหน ลดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรๆเป็นสมบัติของเรา อะไรๆเป็นของที่จะเอาติดตัวไปได้ เมื่ออุปาทานเบาบางลงระดับหนึ่ง บวกกับการรักษาศีลและเจริญสติให้ถูกต้องตรงทาง ในที่สุดอุปาทานอันหนาเตอะก็ถูกกะเทาะให้ร่วงกราวลงได้หมด จิตเบ่งบานถึงขีดสุดด้วยการเปิดไปพบมหาอิสรภาพคือนิพพาน ไม่ต้องเวียนกลับมาทนทุกข์ทนร้อนกันอีก
จาก ๓ เหตุผลของการให้ทานตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้น ทำให้พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญทานอันเกิดจากการฝืนใจทำชั่วครั้งชั่วคราว แต่พระองค์จะสรรเสริญผู้ที่มีความ ตั้งมั่นในทาน หมายถึงการ มีแก่ใจคิดให้ ไปเรื่อยๆ เป็นนิสัย เป็นความเคยชิน เป็นธรรมชาติแท้จริงที่ไม่ได้เกิดจากการฝืนใจหรือเล็งโลภหวังผลต่างๆนานา
เมื่อรู้จักฝึกเป็นฝ่ายให้ได้ตลอดชีวิต นั่นแหละจะก่อนิสัยใหม่ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า พูดง่ายๆให้รวบรัดคือเปลี่ยนแปลงตนเองจากความเป็นคน ไม่ได้มีใจจริงที่คิดจะให้ เป็นคน มีใจจริงที่จะให้
อย่างไรก็ตาม การทำทานที่ พอดี คือทำแต่ละครั้งไม่รู้สึกว่าตนต้องเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง ไม่ได้กู้ยืมใครเขามาทำทาน แต่ทำบ่อยๆจนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องให้อย่างสมควรแก่ฐานะ คือไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ให้แล้วยังมีกินมีใช้อย่างสบาย
การทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตาจน เกินพอดี นั้น คือทำด้วยจิตที่เล็งโลภอยู่ว่าจะได้ผลตอบแทนมากมาย ยิ่งทำเกินตัว จ่ายทรัพย์มากหวังผลมากแบบนักลงทุน อย่างนั้นแทนที่จะได้ดีอาจกลับกลายเป็นได้ร้าย สวนทางเหตุผลของการให้ทาน คือ
๑) เป็นผู้ไม่มีความสุขในปัจจุบัน คือสะสมความโลภ วันๆคิดแต่เรื่องการ ลงทุนทำทาน เพื่อให้รวยเร็ว หรือเพื่อให้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงส่ง เมื่อกระวนกระวายเล็งรับผลอยู่ ใจย่อมไม่เป็นสุข ความตระหนี่ย่อมไม่หายไปไหน ซ้ำร้ายอาจพอกพูนขึ้นกว่าเดิม เห็นได้จากการที่บางคนทำบุญด้วยการกะเกณฑ์ว่าบุญกองนี้เป็นส่วนของฉันเท่านั้น ห้ามใครยุ่งเกี่ยว ห้ามใครมามีส่วนร่วม นั่นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ายังขาดความเข้าใจเรื่องการแบ่งปัน การมีน้ำใจต่อส่วนรวม อันเป็นเป้าหมายแท้จริงของการเสียสละเป็นทาน
๒) เป็นผู้ไม่มีความสุขในอนาคต คือสั่งสมบุญอันเจือด้วยความโลภ แม้อนาคตกาลเมื่อเกิดใหม่ในตระกูลร่ำรวย หรือได้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว ความร่ำรวยนั้นย่อมกระตุ้นให้ละโมบโลภมาก เนื่องจากเคยเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งทำบุญในอดีตชาติ ว่าขอให้รวย ขอให้มีมาก หาใช่ด้วยน้ำใจสละออก เมื่อรวยและมีมากสมใจ จึงไม่คิดแบ่งปันใคร คิดเป็นแต่จะเอาเข้าตัว พอกพูนให้มากยิ่งๆขึ้นไป คุณลองหามาเถอะ เศรษฐีโลภมากคนไหนบ้างที่เป็นสุขทางใจ ไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่ล้าน ความตระหนี่และความละโมบโลภมากย่อมเป็นของหนัก ของดำ ของน่าเกลียดน่าอึดอัด ติดจิตติดใจเขาไปทุกฝีก้าว เขาได้ชื่อว่าครอบครองสมบัติเพื่อเป็นทุกข์ทางใจโดยแท้
๓) เป็นผู้ไม่มีความสุขที่ยั่งยืน คือสวนทางกับการสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้พบนิพพาน เพราะจะพบนิพพานได้นั้น จิตต้องบริสุทธิ์จากกิเลส แต่นี่ทำบุญเพื่อบำรุงกิเลส ผลแห่งบุญก็ย่อมมีความขัดแย้ง มีความขัดขืนฝืนต้าน ไม่ยอมให้เข้าสู่ทางไปนิพพานได้เต็มตัว
สรุปสั้นๆนะครับ ผลอันทันตาทันใจของ การให้ทานที่พอดี คือความรู้สึกสบายใจในวันนี้ และอบอุ่นใจกับวันหน้า ตราบใดยังไม่สบายใจในวันนี้ และยังไม่อบอุ่นใจกับวันหน้า ก็แปลว่าคุณยังมีความไม่พอดีกับการทำทานนั่นเอง
Create Date : 02 กรกฎาคม 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2550 9:48:08 น. |
Counter : 561 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: แม่น้องบรุ๊ค (คุณหนูขา ) 23 กันยายน 2551 8:24:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

|
รองเท้าใหม่ ใครๆก็อยากมี และเสียใจที่ไม่มี
จน....
ได้เห็น
คนไม่มี...
.....แม้กระทั่งเท้า..
**คิดถึงเมย์จัง เมย์จ๋า...เกดแต่งตัวสวยๆลงบลอค แล้วไม่มีเมย์มาดู เหงาจังเลย
|
|
|
|
|
|
|
|