Home is Where the Heart is
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
8 กันยายน 2553
 
All Blogs
 

วิบากกรรมของ 'หัวกะทิ'






Check e-mail เช้านี้ เจอเมล์จากน้องหมอที่น่ารักคนหนึ่ง
เน้นมาว่า "เรื่องดีที่น่าสนใจ....อ่านให้จบนะคะ"
หลังจาก dowload PDF file มาอ่านแล้ว
ก็อยากจะนำมาแบ่งปันให้หลายๆ คน
โดยเฉพาะผู้ปกครอง ที่อาจจะยังไม่เคยได้อ่าน
ลองมาอ่านแล้วพิจารณาดูว่า ตัวเรา รึเปล่า
.. ที่มีส่วนทำให้ลูกของตัวเองนั้นเป็นทุกข์หนัก
จาก(สิ่งที่เราคิดเอาเองว่าเป็น) ความรัก .. ความปรารถนาดี



ชายคนหนึ่งมอง ปรากฏการณ์ "เผาโรงเรียน" อย่างเข้าใจ
เพราะเคยโดนความเป็นที่ 1 หวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วันนี้เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบในผ้าเหลือง


การที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาวางแผนและเผาโรงเรียนนั้น
สำหรับเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องร่วมสถาบัน
มันอาจเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยคำว่า ทำไม ,
สำหรับสังคมและคนอื่นๆ  มันคือ ความเครียด กดดัน
ที่เกิดจากระบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กหัวกะทิ
และสำหรับพ่อแม่ คือ การย้อนกลับไปถามตัวเองว่า
ยังอยากจะให้ลูกเรียนเก่งอยู่หรือเปล่า...


เราคงไม่กล้าไปสรุปหรือหาคำตอบใดๆ ในเรื่องนี้
หากมี "พระ" อยู่รูปหนึ่ง ที่หลายปีก่อน เคยสอบเอนทรานซ์
คะแนนเป็นอันดับ 1 ของประเทศ  ได้ 2 เหรียญทองแดง
จากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิค
เป็นวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากรั้วจามจุรี
และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ  ก่อนจะกลับมาทำงาน
และตัดสินใจก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนเข้าปีที่ 4 ปีนี้
และยังไม่มีโครงการลาสิกขาในอนาคตอันใกล้




 หลังจากรับรู้ข่าวไม่ค่อยสู้ดี
อดีตนักเรียนห้อง king ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษารูปนี้
บอกว่า เหมือนกลับไปเห็นตัวเองสมัยก่อน
และบอกสั้นๆ ว่า "อาตมาเข้าใจ อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนี้"

 ตลอดการสนทนา  ครูบาป๋อง สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา
หรือ นายกรกฎ เชาววะวนิช ใน อดีต
เจ้าของคะแนนเอนทรานซ์สูงสุด  ปี 2537
ไม่เคยบอกว่าตัวเองโชคดี ที่ผ่านความเครียดเหล่านี้มาได้
แต่ความเครียดที่พัดเข้ามาหาหลายระลอกต่างหาก
ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ผ่านช่วงวิกฤติ
โดยเฉพาะทุกข์ครั้งสาหัสที่สุด ที่ฉุดตัวเองให้พ้นจากหลุมดำมาได้




ตำรา A  ความสัมพันธ์ F

 ประวัติการเรียนของ ด.ช.กรกฎ ดีเด่นมาตลอด
ตั้งแต่มัธยม1และ 2 ที่โรงเรียนจิตรลดา
จากนั้นสอบเทียบข้าม ม.3 มาอยู่ห้องคิง แผนกวิทย์-คอมพิวเตอร์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา


 แต่ความเครียดก็ก่อเค้ามาตั้งแต่ ม.2 ด้วยซ้ำ...

 "ตอนนั้นทำตัวเพี้ยนๆ กับเพื่อนที่เป็นเด็กเรียน
เขาชอบอ่านสามก๊ก ก็เอามุขตลกสามก๊กมาเล่น ซึ่งมันเกินวัย
คนอื่นไม่เข้าใจเป็นตลกเชิงวิชาการ เป็นมุขเด็กเรียน
เราขำกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คน เพื่อนคนอื่นก็คิดว่าเราบ้า
หลายคนไม่ชอบเรา แกล้งล้อ พูดจาไม่ดีด้วย
แต่ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย" เพียงเท่านี้ก็ทำให้ ด.ช.กรกฎเริ่มเครียดขึ้นมา
พ่อแม่เองก็ไม่รู้เพราะลูกชายไม่ได้เล่า




  แต่อาการขณะนั้นยังไม่มาก เพราะยังมีเพื่อนแบบเดียวกันให้คบ
ซึ่งแต่ละคนนิสัยจะคล้ายๆ กันคือ จิตใจและอารมณ์ไม่ค่อยเข้มแข็ง
มีปัญหาด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่เรียนเก่ง

 ดีกรีความเครียดมาเพิ่มมากขึ้น เมื่อย้ายมาเป็นน้องใหม่ในรั้วเตรียมอุดมฯ
แวดล้อมไปด้วยเพื่อนๆ ที่เก่งพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แถมอายุมากกว่า
เพราะเด็กชายจากจิตรลดามาแบบสอบเทียบข้าม ม.3

 "สมัยก่อนเพื่อนๆ ยังพึ่งเรา แกล้งกันยังไงก็ยังต้องพึ่งเรา
เพราะเราเก่ง แต่ที่เตรียมฯ ทุกคนเก่งถ้วนหน้า
เลยไม่มีจุดเชื่อมระหว่างกับเรากับเพื่อนๆ ที่ไม่เก่ง
มนุษย์สัมพันธ์ไม่เกิด ไม่มีใครต้องพึ่งพาเรา"
ครูบาป๋อง เสริมอีกด้วยว่า ถ้าเด็กยิ่งไม่มีทักษะทางอารมณ์
ก็ไม่สามารถหาเพื่อนใหม่ได้




 สำหรับเด็กสอบเทียบ อย่างเขา นอกจากจะเจอแต่เพื่อนเก่งๆ แล้ว
ความที่เรียนมัธยมต้นแค่ 2 ปี จึงมีหลายวิชาที่ตามไม่ทัน
หรือบางวิชาก็ไม่ได้เรียนมาก่อน แต่อาศัยว่าในห้องมีเพื่อน
ที่สอบเทียบมาอีก 2 คน กลุ่มนายกรกฎก็เลยคบกันอยู่แค่นี้

 การแกล้ง ล้อเลียน ไม่เป็นปัญหาในหมู่เด็กโตชั้นมัธยมปลาย
แต่เรื่องน่าหนักใจกลับไปตกอยู่ที่ "ความสัมพันธ์"

 "ปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เราแสดงออกกับคนอื่นไม่ดี
คิดอย่างไรทำอย่างนั้น ไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น อยากทำอะไรก็ทำ

อาจจะติดจากสมัยเด็กๆ เพื่อนต้องเกรงใจเพราะเราเก่ง
หลายคนมองเราไม่ดี ไม่คุยกับเรา ต่อต้านเรา
กับอาจารย์เองก็เคย ครั้งหนึ่งเขาสอนข้ามไปข้ามมา
เราก็ยกมือแย้งถึง 2 รอบ บอกว่า ทำไมอาจารย์ไม่สอนบทนั้น บทนี้
จนอาจารย์เสียใจ เดินออกจากห้อง เพื่อนๆ ต้องพาเราเอาพวงมาลัย
ไปขอโทษ ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกผิด และรู้ว่าตัวเองมีปัญหา
เรื่องความสัมพันธ์จริงๆ"




 ความตระหนักรู้มาเพิ่มขึ้นเมื่อตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อน
ก่อนขึ้นม.5 กรกฎได้ไปบวชเรียน กับท่านปัญญานันทะ
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เด็กหนุ่มใช้เวลาศึกษาธรรมมะ
สุภาษิตบทสั้นๆ ที่กล่อมเกลาให้นึกถึง เห็นใจคนอื่น อ่อนน้อม

 “เปิดเทอมใหม่ เพื่อนบอกว่า เรานิสัยดีขึ้นเยอะ
ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหายไปเยอะเลย”
ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น แต่เรื่องความเครียดในการเรียน
ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหลังการสอบแต่ละครั้ง
จะมีทั้งความตื่นเต้น กดดัน

 จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ ม.4
กรกฎก็อัดเรียนพิเศษเต็มวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
เพื่อเรียนเนื้อหา ม.5 ม. 6 ล่วงหน้า แล้วพอขึ้นมา ม.5
คอร์สนอกห้องเรียนยิ่งเข้มข้นขึ้น

 “เสาร์-อาทิตย์เรียนประมาณ 11 ชั่วโมง
เน้นวิชาเอนท์หนักๆ 3-4 วิชา เหนื่อยมาก”




ติดบ่วงโอลิมปิค

 ระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 กรกฎได้เป็นตัวแทนประเทศไทย
ไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิคที่ประเทศตุรกี ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่
 เพราะในห้องเดียวกัน มีเพื่อนๆ ร่วมไปแข่งโอลิมปิควิชาการถึง 19 คน

 แล้วกรกฎกับเพื่อน ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าเหรียญทองแดงกลับมา

 “ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ฉลาดมาก คนให้การต้อนรับยกย่องเยอะ”
ครูบาป๋อง ย้อนวัยกลับไปดูสภาวะจิตใจตัวเอง และนั่นก็เป็น
"ทุกข์ก้อนที่ 2 ของอาตมา..."

 เพราะสำเร็จมาตลอด เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิค
จึงบอกกับตัวเองว่า จะต้องสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนความผิดพลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น



 แต่ความผิดพลาดก็มาเยือนเร็วกว่าที่คิด 
ช่วงสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง หรือ "ทุนคิง" ในภาษาเด็กเตรียมฯ
กรกฎไม่พลาดและไปพร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อย

 ปรากฎว่าเขาผ่านรอบสอบข้อเขียน 10 คนสุดท้าย
แต่กลับไปตกในช่วงสอบสัมภาษณ์ 5 คน


"เราก็รู้สึก อาย เครียด" ตามมาติดๆ
ด้วยการเป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิคเป็นปีที่ 2
ผลก็คือ คะแนนไปอยู่ในช่วงตรงกลางค่อนไปทางครึ่งหลัง
เลยชวดเหรียญทองแดงไป

 "ทั้งอาย ทั้งทุกข์ กลุ้มใจ"  แต่ 2 สัปดาห์ต่อมา
เจ้าภาพครั้งนั้นคือ ฮ่องกง มีการเลื่อนเกณฑ์ลงมา
เพื่อเอื้อให้ตัวแทนจากประเทศตัวเอง อานิสงส์ตกถึงกรกฎ
เหรียญทองแดงที่ตอนแรกพลาด ก็ได้มาคล้องคอจนได้


ความทุกข์ที่กัดกินใจอยู่หลายวัน แล้วจู่ๆ ก็พลิกผันกลับมาสมหวัง
ทำให้กรกฎเริ่มเห็นว่า "ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด"


 "ถ้าไม่เคยได้เหรียญมาก่อนก็ไม่กดดัน
ความสำเร็จสร้างความทุกข์ให้เราจากความยึดมั่น ถือมั่น"
เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่า ความทุกข์ต้องมีเข้ามาเรื่อยๆ
แต่ถ้ารู้จักทำใจยอมรับความล้มเหลวได้ ก็จะไม่เป็นอะไร

 ขนาดว่าเริ่มคิดได้ แต่เมื่อ "ทุกข์ก้อนหนักที่สุด"
แวะเข้ามา เขาก็แทบจะล้มทั้งยืน




 เมื่อเรียนจบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
เขาคว้าทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ
เรื่องเรียน เรื่องวิชาการไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่
แต่พอมาเจอ "ธีซิส" ก่อนจบ ที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที
นักศึกษาหนุ่มท้อมาก จนเคยคิดว่า ถ้าหลับไป
แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นมาอีกเลย...ก็คงดี


"เพราะไม่อยากเจอความทุกข์อย่างนี้"
สภาพจิตใจที่อ่อนแอตอนนั้น ทำให้กรกฎตัดสินใจ
โทรหาพ่อแม่ที่เมืองไทย บอกว่า ถ้าเรียนไม่จบ จะเป็นอะไรไหม
คนฟังอีกซีกโลกก็ตกใจ แต่หลังจากนั้น คนเป็นพ่อลงทุนลางาน
มาอยู่เป็นเพื่อน 2 เดือน มาดูแล ทำกับข้าวให้
คอยเป็นกำลังใจ จนจบปริญญาโทมาได้อย่างเฉียดฉิว

 "สุดท้าย คนที่เราพึ่งได้ก็คือคนที่รักเราที่สุด คือ พ่อกับแม่
หรือ เพื่อนดีๆ เราก็พึ่งได้" ซึ่งตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน
นักเรียนไทยอาศัยอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว
ไม่มีใครให้คำปรึกษา เวลาทุกข์จึงยิ่งดิ่งลึก




 สิ่งหนึ่งที่ครูบาป๋องตั้ง ข้อสังเกต โดยอิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
คือ เมื่อความผิดพลาดหรือความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว
จะมีการแสดงออก 2 อย่างคือ คิดว่าตัวเองผิด
ก็จะแสดงออกผ่านทางการฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง
กับอีกอย่างคือ คิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น
ก็จะระบายออกอย่างโกรธแค้น ยกตัวอย่างเช่น กราดยิงเพื่อน
(ในสหรัฐอเมริกา) ทำร้ายหรือ ทำลายสถานที่ด้วยวิธีการต่างๆ
ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็เป็นความรุนแรง

"คนภายนอกมองว่าอาตมาเก่ง ไม่เคยรู้ว่าอาตมาก็เคยทุกข์
เคยล้มเหลว" ครูบาป๋อง กำลังจะบอกว่า ไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้น
ที่เจอปัญหา "คนเราก็มองแต่ภายนอก
จะมีใครไหมที่ทุกข์แล้วเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง"

 อาจฟังดูยากแต่อดีตนักเรียนทุนในผ้าเหลืองรูปนี้
อยากให้ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เข้าใจธรรมชาติของปัญหา ว่า มันอาจจะรุนแรงแค่เฉพาะหน้า
แต่พอเวลาผ่าน จะค่อยๆ ทุเลา จนเราเองก็อาจจะลืม






 "มีชาดกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่พระราชาสั่งให้คนคิดทำ
แหวน ที่ใส่แล้วฉลาด เข้าใจโลก รู้ทุกเรื่อง
ช่างคนหนึ่งเลือกเขียนไว้บนตัวแหวนว่า 'เดี๋ยวมันก็ผ่านไป'
ฉะนั้นไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าอดทน เราก็แข็งแรงได้"

 ทุกวันนี้ ครูบาป๋อง ยังพากเพียรตั้งใจศึกษาธรรมะต่อไป
เนื้อหาอาจไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชาอย่างทางโลก
แต่ทางธรรม มุ่งศึกษาว่าร่างกายและจิตใจทำงานอย่างไร
หาสาเหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัย เพื่อพาจิตใจให้อิสระจากทุกข์
แล้วนำเอาสิ่งที่ศึกษาไปให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้

 "ความรู้และจิตใจต้องไปควบคู่กัน โดยเฉพาะเด็กที่เก่ง
มีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประเทศในอนาคต"
หลวงพี่สอนน้อง 






'รุ่นพี่' ถึง 'รุ่นน้อง'


 มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ถึงการเรียนการสอนของ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

 แต่  ไกร (นามสมมติ) นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารรุ่นน้อง
คนดังกล่าว เพื่อนๆ ในกลุ่มของเขาก็รู้สึกเช่นนั้น
แต่ก็อยากชวนให้สังคมมองพวกเขาและโรงเรียนของพวกเขาในอีกมุม

 ไกรเองย้ายมาจากโรงเรียนสาธิตฯ ปทุมวัน เมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
พร้อมกับความถนัดด้านคณิตศาสตร์ เขายอมรับว่า บางวิชาที่มหิดลฯ
เข้มข้นกว่าโรงเรียนอื่นจริงๆ (จากการคุยกับเพื่อนต่างสถาบัน)






 "เข้มข้นจริง แต่เราไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เราเรียนเพื่อวิจัยองค์ความรู้ เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ
ถ้าไม่เข้มข้นแล้ว จะไปช่วยประเทศได้อย่างไร
ถ้าคนที่มีอุดมการณ์อย่างนี้ เขาก็จะเข้าใจ ว่าเขาทำอะไรอยู่

 เด็กที่เรียนที่นี่ ไม่ได้สนใจว่า ต่อไปจะเอ็นท์คณะอะไร
แล้วพ่อแม่จะชอบไหม งานหาง่ายหรือเปล่า
แต่เราคิดว่าเราอยากเป็นอะไร อยากรู้อะไร
และอยากทำอะไรให้ประเทศ"

 ส่วนเรื่อง "ความเครียด" ที่เขาอยากสื่อสาร
ไกรยอมรับว่า มี ซึ่งอาจผสมปนเปกับโรคคิดถึงบ้าน (Homesick)
เพราะที่นี่ให้เด็กอยู่หอ ตั้งแต่อาทิตย์(เย็น)-ศุกร์

 และเขาก็ยืนยันว่า "สอบตก" ไม่ได้มีผลกับคะแนนภาพรวมมากนัก
ประมาณ ตก 2-3 ครั้งก็ยังได้เกรด 4 เพราะจะมีการสอบเล็กๆ น้อยๆ
อีกหลายครั้งคอยช่วยเสริมคะแนน

 "แต่ถ้าตกจริงๆ ครูก็จะช่วยเหลือ ให้เข้า 'คลินิกวิชาการตอนกลางคืน'
เพราะที่โรงเรียนไม่สนับสนุนให้เรียนพิเศษ
โดยเด็กๆ สามารถเข้าไปคุยกับอาจารย์ ถามเรื่องทั่วไป
เรื่องเรียน หรือบางทีผมขาดเรียน ตามไม่ทัน
ก็จะเข้าไปให้อาจารย์ช่วนสอนตั้งแต่แรก"
หลังเลิกเรียนก็จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น sportday

 เพื่อนในห้องอีก 23 คนของไกร มีหลายระดับ
ทั้งเครียดน้อย เครียดมาก ไปจนถึงเครียดมากที่สุด
ในทุกครั้งที่สอบ แต่หลายคนก็มีทางออกต่างกัน
เช่น ปรึกษาเพื่อน เล่นเกมคอมพิวเตอร์
เพื่อนหญิงบางคนเลือกตีสควอช เพราะช่วยระบายอารมณ์ได้ดีมาก

 สำหรับไกร อยู่โรงเรียนรู้สึกอิสระมากกว่าอยู่ที่บ้าน
และเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนเก่า มหิดลฯ เครียดน้อยกว่า
เพราะเขาได้เรียน ได้เจอกับคนแบบเดียวกัน ชอบแบบเดียวกัน
ผิดกับที่เก่าที่เพื่อนมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสอบเข้า ฝาก
เพื่อนจึงมีหลากหลายมาก จะไม่ค่อยเจอใครที่เหมือนกับตัวเอง

 "แต่นั่นก็ขึ้นกับว่าอยู่กับเพื่อนกลุ่มไหน
และอยู่ที่ว่าเราจะจัดการความเครียดยังไง
จัดลำดับความสำคัญอย่างไร ผมเองถ้าตั้งใจอ่าน
ตั้งใจทำสุดๆ แล้วก็ยังตก ก็จะปล่อยวาง ปล่อยมันไปบ้าง" 



ขอขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ ที่ทำให้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่
หรือแก้ไขไฟล์ PDF ที่คุณน้องหมอส่งมาให้ค่ะ

//www.bangkokbiznews.com/mobile/xhtml/news/detail/07/336766/





 

Create Date : 08 กันยายน 2553
2 comments
Last Update : 19 กันยายน 2553 17:11:41 น.
Counter : 975 Pageviews.

 

Change your thoughts
and you change your world.

Norman Vincent Peale

 

โดย: Elbereth 8 กันยายน 2553 12:44:22 น.  

 

คนเก่ง..ก็มิได้สมบูรณ์ทุกอย่าง

 

โดย: พระจันทร์สีน้ำเงิน (ฝักอ่อน ) 9 กันยายน 2553 11:10:38 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


iamnapa
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add iamnapa's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.