ความกังวลคือจินตนาการที่ถูกใช้ผิดทาง
แอบเอาเรื่องคนอื่นมาเขียน ----ไม่รู้ว่าเลวไหม
กลางวันวันนี้ น้องสาวคนหนึ่งทักทางเอ็มเอสเอ็นว่าขอยืมประโยคที่ฉันพิมพ์ใต้ชื่อไปใช้ Worry is a misuse of imagination เธอต้องกังวลกับอะไรอยู่แน่เลยเนอะ
ตกเย็นฉันพักจากงานดูหน้าจอเอ็มเอสเอ็นของตัวเองว่ามีใครออนไลน์บ้าง ประโยคใต้ชื่อของน้องคนเดิมเป็นภาษาอังกฤษได้ความประมาณว่า ฉันไม่รู้จะทำไงกับตัวเองดี ฉันเลยเจ๋อไปคุยด้วย น้องบอกว่าที่แท้เป็นชื่อเพลงป้าๆ เพลงหนึ่ง
เราคุยกันพอควร น้องเขากังวลเรื่องเพื่อนอยู่ล่ะ เขาเล่าว่า เพื่อนเขาตกลงจะแต่งงานปลายปีกับหนุ่มต่างชาติที่เพิ่งเจอกันได้สิบวัน แต่คิดว่าคนนี้ล่ะใช่เลยทุกอย่าง แล้วจะย้ายไปอยู่เมืองนอกเมืองนา ไปอยู่บ้านที่แม่ของฝ่ายชายเป็นโรคอะไรสักอย่างที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ ประหนึ่งว่าน้องเขาต้องไปดูแลนั่นล่ะ
สถานการณ์นี้คนเป็นเพื่อนก็ต้อง เป็นห่วง เพื่อนเป็นธรรมดา ยิ่งเพื่อนไม่เคยมีความรักมาก่อน และอาจโหยหาช่วงเวลาอิ่มเอิบใจจากความรักมานานแล้วด้วย
ฉันว่าความเป็นห่วงเป็นเรื่องดี เพราะมันดูผิดส่วนจริงๆ นั่นล่ะ อาจเป็นเพราะเราไม่เชื่อในปาฏิหาริย์รักแบบนั้นมั้ง และตามหลักสังคมศาสตร์ คนที่จะรักกันอยู่กันอย่างมีความสุขไปจนตายในสถานการณ์ความรักดังเช่นเพื่อนของน้องคนนั้นก็ต้องเป็นคู่รักที่ไม่ค่อยมีปัญหากับใคร ไม่ค่อยมีปัญหากับโลก มีความเหมือนกันเป็นพื้นฐาน ไม่มีปัญหาระดับตัวตนที่ชัดเจน ฝ่ายหนึ่งหรือสองฝ่ายต้องอดทน ประนีประนอม ไม่เชื่อในการแสดงความรู้สึกโกรธเพื่อเอาชนะปัญหา ไม่มีแนวโน้มในการประชดประชัน รักและรู้คุณค่าในตัวเอง มีความเชื่อมั่นในคุณค่าของผู้อื่น รู้สึกหาวิธีผ่อนคลายที่มีประสิทธิผล (ตรงข้ามกับวิธีผ่อนคลายแบบเฉื่อยชาน่ะ) เชื่อในคุณค่าของความรักและสถานบันครอบครัว หรือถ้ามีความต่างกัน ฝ่ายที่เป็นเบี้ยรองกว่าก็ต้องไม่รู้สึกเจ็บช้ำกับการถูกกดขี่ทางตัวตนและความคิด นี่มันแค่องค์ประกอบเบาะๆ สำหรับคนที่อยากมีความรักแบบปาฏิหาริย์
เรามันคนธรรมดาไม่ได้เชื่อในปาฏิหาริย์แห่งความรัก และไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ไปเจอใครสักคนเพียงไม่กี่วันแล้วมั่นใจอย่างเบิกบานราบคาบทันทีว่า ฉันจะใช้ชีวิตกับคนนี้อย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต ผิดสูตรชีวิตสามัญธรรมดาอย่างเราๆ ไม่กี่วันไม่อาจเปิดเผยตัวตนด้านดีและร้ายที่สะสมมาตลอดทางเดินในชีวิต และว่ากันว่า เมื่อแรกรักเรามักพยายามเลือกสรรหันด้านดีของแต่ละคนใส่กันอย่างเต็มกำลัง และความใหม่บวกกับสปาร์กระหว่างคนสองคนมันก็ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ด้านแย่โผล่ออกมาซะด้วย
แต่เราก็ตัดสินไม่ได้หรอกนะว่า คนที่เชื่อและเจอ ความรักแบบนั้น คิดผิด
เป็นห่วงน่ะควร ฉันว่า แต่ความคิดกับความกังวลไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกันนะ มันอาจเป็นญาติห่างๆ ต่อกัน แต่ผลที่เกิดในใจเรามันช่างต่างกันราวฟ้ากับหุบเหว
อีกอย่างถ้าเราเจอกับตัว เราก็อาจไม่ต่างกัน ความรักก็อาจบังตาให้ความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่อเห็นภาพรวมเสื่อมไป ใครมาห้ามก็คงไม่ได้ รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธไง โบราณท่านว่าไว้ คนรุ่นเราเองก็ฟังมาบ่อยๆ จากละครย้อนยุคที่สร้างกันมาไม่รู้กี่เวอร์ชั่น รีรันไม่รู้กี่หน
ฉันว่าดีที่สุดคือ ถ้าเราคิดว่า เพื่อนอาจคิดไม่รอบคอบ ให้บอกเขาว่าเราเป็นห่วงด้วยเหตุผลนี้ๆๆๆ (ต้องแจกแจงเหตุผลให้ได้) คิดไปด้วยกันอย่างห่วงใยกัน ถ้าเขาไม่ฟังหรือไม่เห็นด้วย เราก็ทำดีที่สุดโดยการให้โอกาสเขาทบทวนความคิดตัวเอง และเราก็ต้องไม่กังวล ความกังวลของเราทำอะไรได้ ต่อให้เพื่อนคิดผิด ความกังวลของเราจะทำอะไรได้ นอกจากไม่กังวลโดยไร้ประโยคแล้ว ก็ต้องรักษา ระยะใกล้ ไว้ให้ดี (คนเรามักรักษาระยะห่าง แต่ฉันว่าแท้จริงสิ่งที่ทำให้คนเราดีต่อกันได้อย่างจริงจังคือระยะใกล้ต่างหากใกล้แค่ไหนที่จะยังดูแลคนที่เรารักในยามที่เขาอาจทำผิดพลาดหรือมีปัญหานั่นล่ะสำคัญกว่าระยะห่าง จริงไหม)
น้องหัวใจสีชมพูอาจไม่ได้คิดผิดก็ได้ เขาอาจจะเจอกับปาฏิหาริย์รักอย่างจริงจัง ถ้าตรวจสอบความคิดกันแล้วน้องเขายังมองทุกอย่างบนโลกเป็นสีชมพูก็ควรดีใจไปกับเขา และถ้าเวลาพิสูจน์ว่าเขาอาจตัดสินใจผิด ก็แค่ปลอบใจและเกื้อหนุนให้เขาผ่านวันร้ายๆ ไปได้อย่างมีสติ
ไม่เห็นมีอะไรแย่เพราะอย่างน้อยน้องหัวใจเพิ่งชมพูก็จะได้เรียนรู้บทเรียนของความรักที่เขาไม่เคยผ่านถ้าไม่เอาชีวิตเข้าไปทดลอง
Create Date : 27 สิงหาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 27 สิงหาคม 2550 21:23:08 น. |
Counter : 486 Pageviews. |
|
|
|