เมื่อเอ่ยถึง ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล หลายคนอาจไม่คุ้นหู หรือแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าบอกเป็นชื่อของ "บุ๊คโกะ" เชื่อว่า หนึ่งในจำนวนหลาย ๆ คนคงรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาคือดีเจรุ่นใหม่ไฟแรง แถมแซ่บเวอร์บนหน้าปัดคลื่นวิทยุ 94 EFM แต่ใครจะไปรู้ว่า เบื้องหลังชีวิตที่แซบเวอร์ เขาเคยลำบาก และต้องทำงานเป็นเสาหลักของบ้านแทนพ่อที่จากเขาไปด้วยโรคร้ายตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ทว่าโชคดีที่มี "แม่" เป็นกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตมาโดยตลอด กล่าวสำหรับ ดีเจและพิธีกรอารมณ์ดีท่านนี้ เขาเติบโตในรั้วสีเขียว เป็นลูกชายคนโตของนายทหาร เขาต้องผ่านช่วงเวลาของการพิสูจน์ความต้องการของชีวิตและเพศที่ต้องการเลือกเอง ซึ่งขัดแย้งกับความต้องการของพ่อที่ไม่อยากให้ลูกชายคนโตของบ้านมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ "ชีวิตในวัยเด็ก บุ๊คโกะเติบโตในกรมทหาร เพราะมีพ่อเป็นทหาร พ่อเป็นคนค่อนข้างระเบียบจัดมาก ๆ ส่วนแม่ (ภาวนา บูรณาชีวาวิไล) รับราชการเหมือนกัน แต่ท่านจะเป็นคนใจเย็น และใจดี ซึ่งท่านจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ในขณะที่คุณพ่อ ท่านก็รู้ว่าเราเป็นแบบนี้ เพราะเราชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความหวังที่อยากให้เรากลับมาเป็นผู้ชาย คุณพ่อมักจะหาวิธีต่าง ๆ เพื่อฝึกให้เราเป็นผู้ชาย เช่น ส่งไปออกกำลังกาย หรือแม้แต่กีฬามวยพ่อก็เคยส่งให้ไปเรียน" แต่ไม่ว่าพ่อจะบังคับ หรือลงโทษด้วยวิธีใด ๆ ความเป็นผู้ชายของลูกชายคนนี้ก็ไม่มีวันกลับมา กระทั่งวันหนึ่งพ่อเป็นฝ่ายเข้ามาคุยเพื่อพบกันครึ่งทาง โดยให้ข้อตกว่า เวลาอยู่ที่บ้าน ขอแบบพอดี ๆ ซึ่งเขาก็ยอมรับในข้อตกลง และพยายามทำตัวให้ดีและอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดูเหมือนจะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขขึ้น แต่กลับต้องมาพบวิกฤตชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อคุณพ่อเริ่มป่วยด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ตอนนั้น บุ๊คโกะเล่าว่า ทั้งบ้านลำบากกันมาก เงินเก็บ หรือเงินที่หามาได้ต้องนำไปใช้เป็นค่ายารักษาอาการของพ่อ ทำให้บุ๊คโกะในฐานะพี่ใหญ่ต้องลุกขึ้นทำงานช่วยแม่ และเลี้ยงน้องอีก 2 คน เริ่มจากเป็นตัวประกอบ หรือแม้แต่เข้าไปแข่งขันในรายการ "คุณลิขิต" เพื่อค้นหาดาวตลกทางช่อง 7 ซึ่งเขาสามารถผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ จนได้ที่ 2 และนำเงินที่ได้จำนวน 50,000 บาท แบ่งให้แม่ส่วนหนึ่ง และเก็บไว้จ่ายค่าเทอมส่วนหนึ่ง และรายการนี้เอง ทำให้จาตุรงค์ มกจ๊กเห็นแวว และเรียกให้ไปแคสติ้งเรื่องตั๊ดสู้ฟุด จนได้เล่น และสร้างความฮือฮาให้แก่เขาอีกครั้ง "หลังจากคุณพ่อเสียไป ยอมรับว่าเหนื่อย และลำบากมาก เพราะเราต้องทำงานช่วยแบ่งเบาภาระแม่ และเลี้ยงดูน้องอีก 2 คน แต่สิ่งที่ประคับประคองให้ผ่านเรื่องร้าย ๆ ไปได้ก็ครอบครัว ที่บ้านเรารักกันมาก แม้ว่าเราจะเคยไม่มีกิน แต่เราก็ไม่เคยร้องขอ หรือบอกให้โลกรู้ว่า ฉันไม่มีเงิน และแม่ก็ไม่เคยสอนให้เราอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น แต่สอนให้พอใจในสิ่งที่เรามี ในจุดนี้ มันซึมซับและทำให้เราไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าทำไมเราถึงไม่มีเหมือนคนอื่นเขา" นี่คือสิ่งที่แม่ปลูกฝังบุ๊คโกะมาตั้งแต่เด็ก |