|
เก็บหอมรอมริบประจำปีพ.ศ.2565
เป้าหมายการเก็บเงินประจำปีพ.ศ.2565

ฝากเงินในธนาคารเดือนละ180,000เยน แบ่งเป็น.. เงินออมเพื่อการลงทุนInvestments เดือนละ100,000เยน
-ธนาคารจะตัดเงินอัตโนมัติ ซื้อกองทุนรวมกับธนาคารเดือนละ30,000เยน ถึง 50,000เยน
-ฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารเผื่อไว้ เดือนละ50,000เยน(สำหรับให้ธนาคารตัดยอดการใช้จ่ายจากบัตรเครดิต)
-เงินออมเพื่อซื้อบ้านที่เมืองไทย เดือนละ80,000เยน
เลิกซื้อเครื่องประดับเงินSilverทุกชนิด(เพราะเบื่อ..ขี้เกียจเช็ด ทำความสะอาดเวลาเครื่องประดับเงินดำ ซื้อเครื่องประดับทองคำ96.5%ดีกว่าเยอะ ทองคำเป็นของที่มีมูลค่า มีราคา ที่สำคัญคือทองแท้จะไม่เปลี่ยนสี จึงไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องขัด ไม่ต้องทำความสะอาดอะไรมากมาย เวลาเอาทองไปขายก็ขายได้ราคาสูงกว่าบรรดาเครื่องประดับเงิน)
ปีนี้งดซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของแบรนด์เนม
งดซื้อของกระจุกกระจิก ของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
ปีนี้งดซื้อ-งดส่งของขวัญคริสต์มาส,ของขวัญวันเกิด,ของขวัญปีใหม่อีก1ปีนะคะ
เพราะสถานการณ์โควิดยังระบาดอย่างหนักในประเทศญี่ปุ่นค่ะ
พยายามโละสิ่งของภายในบ้านให้เหลือน้อยที่สุด มีแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ก็พอ ไม่เก็บสะสมสิ่งของ เตรียมตัวเกษียณ(ในอนาคตถ้าจะต้องย้ายบ้าน หรือย้ายที่อยู่อาศัย ยิ่งมีของน้อยๆก็จะยิ่งสะดวก และคล่องตัวมากขึ้น ไม่ต้องห่วงอะไรมากมาย..)
ฉันไม่มีลูก ไม่มีทายาท จึงไม่จำเป็นต้องเก็บสะสมสิ่งของอะไรเอาไว้มากมาย ถ้าเผื่อวันหนึ่งฉันตายของที่ฉันเก็บสะสมไว้ สิ่งของที่ฉันคิดว่ามันมีคุณค่าทางใจแต่ขายไม่ได้เป็นสิ่งของที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร คนอื่นเขาอาจจะมองเห็นว่ามันก็เป็นแค่ขยะ สุดท้ายก็จะเป็นภาระให้คนอื่นขนของเหล่านี้ไปทิ้งขยะอยู่ดี
คนเขาจะเข้ามาเพื่อค้นหาแต่ทรัพย์สินสิ่งของที่มีค่า สิ่งของที่มีราคาที่ฉันทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทอง สมุดบัญชีธนาคาร โฉนดที่ดิน ทะเบียนบ้าน และพินัยกรรม.. ทีวี ตู้เย็น หรือของอะไรที่เอาไปขายได้เขาก็จะขนเอาไปขาย ส่วนสิ่งของอื่นๆนอกนั้นเขามองว่ามันคือขยะ สุดท้ายก็ต้องทิ้งขยะอยู่ดี
คิดได้อย่างนี้ แล้วทำไมฉันจะต้องเสียเงินซื้อหาขยะมาเก็บสะสมมาสุมมากองไว้ให้รกบ้านเปล่าๆ สู้ฉันเก็บเป็นเงินสดไว้ไม่ดีกว่าหรือ?
เอาเงินไปซื้อของกินอร่อยๆให้ตัวเองและคนในครอบครัว ไปเที่ยวและพาคนในครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าเอาเงินไปซื้อสิ่งของมาเก็บสะสม สุดท้ายตายไปก็ต้องทิ้งไว้ เพราะเอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เพราะฉะนั้นตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ จะพยายามซื้อของเข้าบ้านให้น้อยที่สุด แล้วพยายามโละๆของออกจากบ้านเก็บของทิ้งขยะด้วย จัดระเบียบบ้านไปเรื่อยๆ จะได้ไม่เป็นภาระใครตอนที่ฉันตายจากโลกนี้ไปแล้ว

ทุกๆครึ่งปีฉันจะโละสิ่งของที่มีอยู่ในบ้าน บางอย่างฉันเอาไปทิ้งขยะ บางอย่างฉันเอาไปแจก-บริจาค บางอย่างฉันเอาไปขายที่ร้านรับซื้อของมือสอง ได้เงินสดกลับมาไว้ในมือแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี จัดระเบียบบ้านใหม่ ฉันชอบอยู่บ้านโล่งๆ ของน้อยๆ ดูแล้วสบายตา สบายใจ เก็บกวาด ทำความสะอาดก็ง่าย ไม่สะสมฝุ่นด้วย
(ฉันเป็นภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้ละอองจากลูกสน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี จึงเป็นช่วงเวลาที่ฉันทรมานที่สุดจากอาการของโรคภูมิแพ้)
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองหลายๆอย่าง จากที่เคยใช้เครื่องบำรุงผม ครีมหมักผม ครีมนวดผม ปัจจุบันฉันใช้แค่แชมพูอย่างเดียว
ฉันไม่ย้อมผมหงอกเลยกว่า10ปีแล้ว ปล่อยให้ผมหงอกขาวโพลนตามธรรมชาติ มีหลายคนเดินเข้ามาทักเรื่องสีผมของฉัน เขาชมว่าสีผมสวย เขาถามว่าฉันไปย้อมสีผมที่ไหน? ฉันบอกพวกเขาไปว่าฉันไม่ได้ย้อมค่ะ ที่เห็นสีผมขาวๆนี่แหล่ะคือหงอกตามธรรมชาติค่ะ ฮ่าๆๆ
ฉันไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใครนานๆ ไม่มีธุระด่วนก็จะไม่โทร ปกติฉันชอบใช้ไลน์เพราะฟรี แต่ส่วนใหญ่ชอบที่จะพิมพ์ข้อความมากกว่า ไม่ค่อยโทรไลน์หาใครเลย ฉันไม่ชอบส่ง-รับรูปและข้อความสวัสดีวันจันทร์ วันอังคาร ฯลฯด้วยค่ะ
ฉันไม่ได้ซื้อหนังสือนิตยสาร ไม่ซื้อหนังสือนวนิยายมานานมากแล้ว เทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวหน้าและพัฒนามาไกลมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากรู้หาอ่านได้จากเว็บไซต์ทางอินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือมาตั้งเรียงไว้จนเต็มชั้นหนังสือเหมือนแต่ก่อนแล้ว
กระปุกออมสินที่ว่างเปล่า ฉันไม่มีเหรียญมาหยอดกระปุกออมสินเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง ตัวฉันเองก็ต้องปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเช่นกัน
เลิกเก็บเหรียญหยอดกระปุกออมสิน เพราะสมัยนี้ถ้ามีเหรียญจำนวนมากๆเกิน50เหรียญ(คละชนิดราคา)เวลาเอาไปฝากที่ธนาคารของไปรษณีย์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการฝากเงินแล้วค่ะ ฝากเงินเหรียญหน้าเคาน์เตอร์ที่ไปรษณีย์ญี่ปุ่น คละชนิดราคาได้ นับเป็นจำนวนเหรียญไม่เกิน50เหรียญ ไม่เสียค่าธรรมเนียม)
สมัยก่อนฉันชอบฝากเหรียญที่ตู้เอทีเอ็มของที่ทำการไปรษณีย์ญี่ปุ่น เพราะฟรีค่าธรรมเนียม ฝากครั้งละไม่เกิน100เหรียญ แต่ปัจจุบันนี้ แม้จะฝากเงินเหรียญที่ตู้เอทีเอ็มของไปรษณีย์ญี่ปุ่นเพียงแค่1เหรียญ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม110เยน (ถ้าฝากเหรียญ1เยน แค่1เหรียญที่ตู้เอทีเอ็มของที่ทำการไปรษณีย์ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม110เยน มันก็ไม่คุ้มใช่ไหมคะ? เพราะฉะนั้นถ้าจะฝากเหรียญไม่เกินจำนวน50เหรียญเอาไปฝากหน้าเคาน์เตอร์ ยังฟรีค่าธรรมเนียมอยู่ค่ะ)
หาวิธีระบายเหรียญในกรณีที่มีเหรียญเหลืออยู่เยอะๆ เวลาไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ หรือซุเปอร์มาร์เก็ต เดินเข้าช่องจ่ายเงินอัตโนมัติ มีเครื่องรับชำระเงิน ก็จ่ายด้วยเหรียญและธนบัตรคละๆกันไป ทยอยๆใช้ไปเรื่อยๆจนกว่าเหรียญจะหมด
พวกเหรียญ10เยน 50เยน 100เยน และ500เยน ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะสามารถใช้เติมเงินใส่บัตรเติมเงินได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติตามสถานีรถไฟ หรือตามร้านสะดวกซื้อก็ได้
แต่ที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้ก็คือเหรียญ1เยน กับเหรียญ5เยน เพราะไม่สามารถใช้จ่ายชำระค่าโดยสารทั้งรถไฟและรถเมล์ เนื่องจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติจะรับแต่เหรียญ10เยน เหรียญ50เยน เหรียญ100เยน และเหรียญ500เยนเท่านั้น (เหรียญ500เยนรุ่นใหม่ที่เพิ่งผลิตออกมาล่าสุด ตอนนี้ยังมีตู้อัตโนมัติหลายๆตู้ที่ยังไม่รองรับเหรียญ500เยนรุ่นใหม่ค่ะ ตั้งแต่เขาผลิตเหรียญ500เยนรุ่นใหม่ออกมาฉันยังไม่เคยเห็นของจริงเลย เพราะในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ฉันใช้จ่ายชำระค่าสินค้า ค่าอาหารด้วยบัตรประเภทเติมเงินnanaco,PASMO,suica และบัตรเครดิตแทนการใช้เงินสด จึงไม่ค่อยได้รับเหรียญเป็นเงินทอนเหมือนแต่ก่อนแล้ว)
เหรียญ1เยน กับเหรียญ5เยน เก็บใส่กระเป๋าใส่เหรียญใบเล็กๆเอาไปใช้จ่ายตอนซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อ และตามซุเปอร์มาร์เก็ตดีที่สุดค่ะ อย่าเก็บเหรียญ1เยน เหรียญ5เยนไว้เยอะๆ ให้ทยอยใช้ไปเรื่อยๆจนหมดจะดีกว่า(ร้านค้ามีปัญหาเรื่องเหรียญขาดแคลน เหรียญไม่พอทอนให้ลูกค้า เพราะถ้าเอาธนบัตรไปแลกเป็นเหรียญที่ธนาคาร ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ยิ่งแลกเยอะค่าธรรมเนียมยิ่งแพง เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาเหรียญไปใช้จ่ายกับร้านค้า ร้านขายผัก-ผลไม้ ร้านขายของข้างทาง ร้านราเม็ง ร้านโซบะ ร้านอาหารข้างทางเขาจะดีใจมากเวลาได้รับเหรียญจากลูกค้าค่ะ
ประเทศญี่ปุ่นตอนนี้เริ่มผลักดันให้ประชาชนใช้จ่ายเงินสดให้น้อยลง CASHLESS อย่างเมืองหลวงโตเกียวและเมืองใหญ่ๆเช่นที่โอซาก้า, ชิซึโอกะ,นาฮา โอกินาว่า ร้านค้า,ร้านอาหารส่วนใหญ่ ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านขายยา โรงพยาบาลและคลีนิคหมอบางแห่งรับชำระค่าสินค้าและอาหารด้วยบัตรประเภทเติมเงิน บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรประเภทต่างๆที่สามารถใช้ชำระแทนการใช้เงินสดค่ะ แม้กระทั่งร้านค้าในสนามบินและที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้สามารถใช้บัตรPASMO,suicaชำระค่าบริการ ทั้งตอนซื้อแสตมป์และตอนส่งพัสดุไปรษณีย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้แล้วค่ะ
ถ้าญี่ปุ่นเปิดประเทศ ฉันขอแนะนำนักท่องเที่ยวชาวไทยว่า ถ้ามาเที่ยวญี่ปุ่นให้ซื้อบัตรประเภทเติมเงินPASMO,suicaดีกว่าค่ะ เติมเงินใส่ไว้ในบัตรได้มากสุด20,000เยน แล้วทีนี้คุณจะเดินทางโดยรถไฟ โดยรถเมล์และซื้อของกินของใช้ในญี่ปุ่นได้อย่างสะดวกมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องได้รับเงินทอนเป็นเหรียญให้หนักกระเป๋าอีกต่อไป ใช้จ่ายให้เหลือมูลค่าเงินในบัตรให้น้อยที่สุด แล้วคืนบัตรกับนายสถานีรถไฟก่อนเดินทางกลับไทย เจ้าหน้าที่จะคืนเงินที่เหลือค้างอยู่ในบัตรให้ ง่ายๆแค่นี้เองค่ะ
ถ้าอยู่ในเมืองหลวง เมืองใหญ่ๆ มีร้านค้าหลายๆร้านไม่ต้องใช้เงินสดแล้ว แถวๆบ้านฉัน ร้านค้า ร้านอาหาร ซุเปอร์มาร์เก็ต ร้านซักรีด เขารับชำระด้วยบัตรประเภทเติมเงินหมดแล้ว ฉันคิดว่าการใช้บัตรเติมเงินแทนการใช้เงินสดทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมากๆเลยล่ะค่ะ
จากที่เคยใช้กระเป๋าสตางค์ใบยาว(เพราะเป็นคนไม่ชอบพับธนบัตร) เดี๋ยวนี้ฉันเปลี่ยนมาถือกระเป๋าผ้าแบบ3ซิปของLesportsac กับกระเป๋าใส่การ์ดใบเล็กๆแทน ใช้กระเป๋าใบเล็กๆเป็นการดีที่ช่วยเพิ่มเนื้อที่ว่างๆในกระเป๋ามากขึ้น กระเป๋าน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกคล่องตัวมากขึ้นด้วยค่ะ ของใช้ที่จำเป็นต้องมีและต้องพกติดกระเป๋า พกติดตัวในยุคที่มีไวรัสโควิดระบาดหนักไปทั่วโลก นั่นก็คือ ขวดสเปรย์หรือเจลแอลกอฮอล์ ทิชชู่เปียกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และผ้าอนามัย(ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องพกติดกระเป๋าไว้เสมอๆ)
แต่ถ้าเดินทางไปต่างจังหวัด หลายๆจังหวัดในญี่ปุ่นโดยเฉพาะตามพื้นที่ชนบทยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดและเหรียญอยู่ค่ะ (เวลาไปออนเซ็น,ขึ้นรถเมล์,รถไฟตามต่างจังหวัด หรือซื้อของร้านค้าข้างทาง ฯลฯ)
แต่เงินสดก็ยังจำเป็นต้องมีติดกระเป๋าไว้ด้วย เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยๆ มีพายุไต้ฝุ่นปีละหลายสิบลูก ทุกๆครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรง(เหมือนเมื่อ11ปีที่แล้ว) ทำให้ระบบเน็ตล่ม ไฟฟ้าดับ เครื่องอ่านบัตรไม่ทำงานก็ต้องใช้เงินสดในการจับจ่ายซื้อของเหมือนเดิมอยู่ดี
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศญี่ปุ่นจะเปลี่ยนมาเป็นสังคมไร้เงินสด100% เพราะเป็นประเทศที่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
วิถีชีวิตกึ่งๆCASHLESSของฉันในทุกๆเดือน
(เงินออมเพื่อการลงทุน และหักค่าใช้จ่ายจากบัตรเครดิต เดือนละ180,000เยน)
เก็บเงินฝากธนาคาร ซื้อกองทุนรวม และเผื่อเหลือเผื่อขาดเดือนละ50,000เยน
ฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารเผื่อไว้สำหรับให้ธนาคารตัดยอดค่าใช้จ่ายจากบัตรเครดิต เดือนละ50,000เยน (ส่วนใหญ่ฉันจะใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของกิน-ของใช้ในซุเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ถ้าใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตขั้นต่ำเดือนละ15,000เยนขึ้นไป ทางซุเปอร์มาร์เก็ตจะส่งคูปองบัตรลดราคา5% สำหรับซื้อของกิน-ของใช้มาให้ทุกเดือนค่ะ และบัตรเครดิตใบนี้สะสมพ้อยส์ได้ด้วย สามารถเอาพ้อยส์มาใช้จ่ายแทนการใช้เงินสดในการซื้อสินค้า ของกิน-ของใช้ในซุเปอร์มาร์เก็ตได้ด้วย ถ้าใช้บัตรเครดิตรูดชำระค่าสินค้าเกิน50,000เยนต่อปี จะฟรีค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรเครดิตด้วยค่ะ)
เก็บเงินฝากธนาคาร สำหรับซื้อบ้านที่เมืองไทย เดือนละ80,000เยน
(เงินสด70,000เยนแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้...)
เติมเงินใส่บัตรnanacoเดือนละ20,000เยน
เติมเงินใส่บัตรPASMOเดือนละ5,000เยน
เติมเงินใส่บัตรsuicaเดือนละ5,000เยน
พกเงินสดใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์เดือนละ20,000เยน
เก็บเงินไว้เดินทางท่องเที่ยวเดือนละ10,000เยน
แบ่งใส่ซองเก็บเงิน(เผื่อมีค่ารักษาพยาบาล)5,000เยน (เดือนไหนไม่มีค่าใช้จ่าย โปะเงินส่วนนี้ไปรวมกับเงินออมเพื่อซื้อบ้าน)
FOR MYSELF 5,000เยน
Create Date : 30 มกราคม 2565 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2565 6:17:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 712 Pageviews. |
 |
|
|
| |
|
|