Group Blog
 
All blogs
 

เหนื่อยใจ.......แต่ไหวอยู่‏ .......บทความดีๆ ที่น่าอ่าน



อ่านกันซะ จะได้หายเหนื่อยไง

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ



ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
ถ้าชีวิต ?? ย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่ง กว่า


อย่ามองแต่ฟ้า . . . ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน


ไม่จำเป็นต้องรวย
มีความสุขแบบที่เรามีก็พอแล้ว


ที่มา forword mail ค่ะ


เพิ่งกลับมาจากกทม.ค่ะ พาหม่ามี้ ไปงานที่สวนอัมพร เหนือยมากมาย เอารถไปเข้าศูนย์ เลยต้องนั่งแท็กซี่ เมารถตลอดเลย อ้วกตลอด แง่มๆ บ้านนอกเข้ากรุงก้องี้ ต้องนั่งตุ๊กๆ เหอๆ




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2552 18:20:16 น.
Counter : 3077 Pageviews.  

★*....3 คาถาของคนทำงาน(อย่างเราๆ)...*★

3 คาถาของคนทำงาน(อย่างเราๆ)

1. คาถาคนทำงาน
ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ
อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อันนี้ โดน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า

2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย

3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า ' คนอื่นทุกคน ' เป็นเพื่อนรวมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด


การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้


> 1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '

> 2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '
คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป


> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา


> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
' ตัณหา ' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '
ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม < /FONT> เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิดมาทำไม ' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ
คำว่า ' พอดี ' คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ ' ดี ' รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข '





ที่มา : FORWORD MAIL คร้า









 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 16:38:54 น.
Counter : 473 Pageviews.  

:::::: ภัยจากนามบัตร สาวๆระวังไว้นะคะ :::::


หญิงคนหนึ่ง ไปเติมแก็สที่ปั้มแก็ส มีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้ หญิงคนนั้นก็รับ
มาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วย สักครู่เมื่อขับรถออก มาจากปั้มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถ
ตามมา และเธอก็รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรับเปิดหน้าต่าง และตระหนักว่ากลิ่นนั้นมาจาก
มือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น เธอตัดสินใจขับรถและกดแตร
ดังไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไป
ยาที่ป้ายบนนามบัตร คือ ยา BURUNDANGA เพิ่อให ้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วเจ้า
ตัวร้ายก็จะขโมยของและหรือข่มขืนเรา โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า
ดังนั้นอย่ารับ กระดาษ นามบัตร แผ่นพับ จากคนแปลกหน้านะจ๊ะ !!!! หรือแม้แต่คนที่แจกโฆษณา




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2552    
Last Update : 28 มิถุนายน 2552 19:45:34 น.
Counter : 530 Pageviews.  

★☆★☆..คุณค่าของการมองกันในแง่ดี อ.ประณม ถาวรเวช..★☆★☆

คุณค่าของการมองกันในแง่ดี

อ.ประณม ถาวรเวช

คุณ เคยรู้สึกบ้างไหมว่า เวลาอยู่กับคนที่จ้องแต่จะตรวจสอบหรือจับผิดเรานั้น มันช่างวางตัววางใจได้ลำบากยากเย็น ผิดกับเวลาที่อยู่กับคนซึ่งไว้ใจกัน เป็นมิตรต่อกัน ไม่ว่าจะพูดคุยหรือทำงาน ก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง ผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะมองกันอย่างไร ร้ายหรือดี ทั้งหมดเป็นเรื่องของทัศนคติและอุปนิสัยที่ต้องได้รับการเอาใจใส่ ตรวจสอบ และแก้ไขปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมเสมอ เพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกัน และเพื่อพลังสร้างสรรค์ที่ข้องเกี่ยวกับกิจการงานและการดำเนินชีวิตด้วย

ความหวาดระแวงเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ และมันข้องเกี่ยวกับกลไกการป้องกันตัวเองด้วย

อารมณ์ดี, ยิ้มสำหรับ ร่างกายและสมองที่ทำงานอย่างสัมพันธ์กันแล้ว ความหวาดระแวงเหมือนยาอย่างหนึ่ง ที่หากให้ในระดับอ่อนๆ หรือในระดับที่เหมาะสม กลไกการปกป้องตัวเองจะทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ

แต่ หากมีความหวาดระแวงมากเกินไป ก็เหมือนร่างกายและจิตใจได้รับยาพิษ ฤทธิ์ของมันรุนแรง ทำให้กลไกการปกป้องตัวเองมีสูงเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล กลัว และจะต้องปกป้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา

คน ที่มีความหวาดระแวงในระดับเข้มข้น จะเป็นคนที่ไว้ใจคนยาก ไม่ค่อยเชื่อใจใคร ทำอะไรก็มักจะลงมือทำเอง เพราะไม่เชื่อมือคนอื่น หากได้ลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว จะสบายใจกว่า และหากไม่สามารถควบคุมระดับของความหวาดระแวงได้ เขาจะกลายเป็นคนที่จ้องจับผิดคนอื่น กลัวคนอื่นดีกว่าตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะด้อยกว่าหรือพลาดโอกาสที่ดี จึงมีนิสัยชอบแข่งขันไปโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่บางครั้งอีกคนหนึ่งไม่รู้เลย ว่าถูกจับไปเป็นคู่แข่ง

เราทุกคนมีหน้าที่เรียนรู้อารมณ์และจิตใจของตัวเอง เพื่อจะได้จับ ปรับ และเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างทันท่วงที

“จับ” หมาย ถึงรู้ความเคลื่อนไหวของอารมณ์ รู้ว่าเวลานี้อารมณ์บางอย่างก่อตัวขึ้นแล้ว เช่น อารมณ์โกรธ รัก เกลียด กลัว เบื่อ ไม่เชื่อ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน คิดถึง ฯลฯ อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หากไม่รู้ตัวหรือจับไม่ติด โอกาสที่มันจะทวีความเข้มข้น หรือความรุนแรงขึ้นโดยอิสระก็มีมาก จนหลายครั้งเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์บางอย่างในตัวเราได้ และทำให้เรากลายเป็นทาสของอารมณ์

หากมันสั่งให้กรี๊ดในยามโกรธ เราก็กรี๊ดออกไปโดยอัตโนมัติ มันสั่งให้ต่อยหรือยิงในยามกลัว ก็สามารถทำได้ทันที มันสั่งให้ด่าเมื่อเกลียด ปากก็ด่าออกไปทั้งๆ ที่บางทียังไม่ทันคิดอะไรด้วยซ้ำ แต่อารมณ์ที่เราจับไม่อยู่ จับไม่ติดนั้น มันสั่งการโดยสัมปชัญญะของเราตามไม่ทัน นั่นคือมูลเหตุที่เราทุกคนต้องฝึกการมีสติ โยมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม คอยกำกับ

เมื่อ “จับ” อารมณ์ทันแล้ว ก็อุ้มมันไว้ แล้วค่อยๆ ปรับมันให้โน้มเอียงไปในทางสร้างสรรค์หรือทางบวก อย่าปล่อยให้มันแผลงฤทธิ์หรือกำเริบไปในทางทำลาย เพราะอานุภาพของอารมณ์นั้น รุนแรงยิ่งกว่าพายุหรือปรมาณู

เมื่อ จับอยู่ ปรับได้ ต่อไปก็ฝึกที่จะเปลี่ยนแปลงมัน หรืออบรมมันให้ดี ให้รู้สึกก่อนที่จะทำอะไรลงไป ให้ดีงาม ให้สร้างสรรค์จนเป็นธรรมชาติ และไม่วกกลับไปในทางลบหรือทางทำลายอีก

คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครเลวร้ายอยู่ชั่วนาตาปีหรอก ขอเพียงให้เขารู้ว่าเวลานี้เขาเป็นอย่างไร และมันมีผลดีผลเสียกับเขาอย่างไร แล้วสร้างแรงจูงใจหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้อยากปรับเปลี่ยน เพื่อความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของชีวิตโดยรวม เชื่อว่าทุกคนจะสนใจและลงมือทำแน่ๆ

พอเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราหมั่นทบทวนว่าทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง และทุกๆ คนนั้น มีสองด้านอยู่ในตัวเองเสมอ ด้านที่เราควรมองและควรแสดงออกให้มาก ก็คือด้านที่ดี

การมองเห็นด้านที่ดีของกันและกัน ทำให้จิตใจของทั้งสองฝ่ายเปิดกว้าง

จิต ใจที่เปิดกว้างทำให้เกิดการยอมรับ รู้สึกว่าเป็นพวกเป็นเพื่อน ต่อไปแม้จะมีอะไรหนักนิดเบาหน่อย ก็ยังให้อภัยและให้โอกาสกันเสมอ ไม่ด่วนตัดสินแล้วรีบตัดรอน ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการด่วนตัดสินกัน เพราะหากการตัดสินครั้งนั้นๆ ขาดข้อมูลความจริง ก็จะเป็นการตัดสินที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดผลเสียทั้งแก่ตัวเองและคนที่ถูกเราตัดสิน

เรา ทุกคนต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี โลกมีแง่ดีๆ ให้เรามองมากมาย มองเห็นให้ได้ มองหาให้เจอ เพื่อที่การอยู่ร่วมกันในทุกๆ วัน หรือการจะต้องติดต่อ พบปะ เจอะเจอ จะส่งผลต่อเนื่องในทางบวก คือพูดดีต่อกันได้ คิดดีต่อกันเสมอ และทำดีต่อกันอยู่ตลอดเวลา

บ้านใด ออฟฟิศใด ชุมชนใด สังคมใดก็ตาม ที่คนคิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน ที่แห่งนั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นสัญญาณของความผาสุก


3 บุคลิกภาพที่จะนำไปสู่ความคิดบวก
เพื่อจะนำสู่การมองกันในแง่บวก บุคลิกภาพของแต่ละคนถือเป็นจุดตั้งต้นค่ะ

บุคลิกภาพ ดีๆ ย่อมไม่ก่อความรู้สึกร้ายในแวบแรกที่เห็น ดังนั้น การกำหนดบุคลิกภาพ หรือการรู้จักวางตัวให้เกิดเครื่องหมายบวกในความรู้สึกของคนรอบข้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราทำได้ โดย

1.มีท่าทีที่ผ่าเผย เปิดกว้าง และเป็นมิตร
ท่า ทีที่ว่า ขอเจาะลึกเฉพาะอวัจนภาษา คือกิริยาที่เราไม่ได้พูด แต่มันสื่อความหมายบางประการออกไป เช่น การมอง หากมองด้วยหางตาก็จะสร้างความรู้สึกลบ แต่หากมองแบบเต็มๆ ด้วยประกายตาปกติ หรือเจือไปด้วยความเป็นมิตร ก็จะสร้างความรู้สึกที่ดีได้มากกว่า แต่ต้องไม่ใจการสบตาแบบจ้องหน้าหรือประสานสายตาแบบหาเรื่อง

การ เดิน หากเดินอย่างระวัดระวัง เห็นหัวคนอื่น เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มีความสำรวมและนอบน้อมตามควร ก็จะก่อความรู้สึกที่ดีมากกว่าเดินเริด เชิด หยิ่ง และไม่เห็นหัวใคร เหล่านี้เป็นต้น

ความผ่าเผยยังสะท้อนผ่าน ท่าทีที่เป็นมิตร พร้อมจะจะเปิดกว้าง ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ หรือพร้อมที่จะเปิดใจรับเพื่อนใหม่ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใจ และให้โอกาสเขาได้พูด คุย แสดงตัวตนของเขาตามสมควร ท่าทีอย่างดีสร้างมิตรที่ดีมากกว่าศัตรูที่ร้ายกาจแน่นอน

2.คิดก่อนพูด พูดแต่สิ่งที่สมควร
คำ พูดและกิริยาขณะพูด เป็นตัวกำหนดการถูกมองในแง่ดีและในแง่ร้ายเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าการแต่งเนื้อแต่งตัวของคุณจะดูดีแค่ไหน ประวัติชีวิตจะเลิศเลอปานใด แต่ทันทีที่พูด คุณก็จิกกัดเขา สร้างความต่ำต้อยอับอายให้เกิดแก่เขา ทุกสิ่งทุกอย่างในทางดีที่มีในตัวคุณก็จะมลายหายวับ กลายเป็นนางมารร้าย และหลังจากนั้น คุณจะถูกมองและถูกพูดถึงในทางร้ายไปอีกนานทีเดียว

ฉะนั้น คิดก่อนพูด เพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งนั้นควรพูดออกไปหรือไม่ ควรพูดอย่างไร ควรพูดเมื่อไหร่ คิดเสียให้เสร็จก่อน อย่าสนุก คะนองปาก หรือใช้ปากเป็นอาวุธโดยไม่จำเป็นหรือไม่ดูกาลเทศะ และต้องพูดอย่างสุภาพ ด้วยน้ำเสียงที่ดี น่าฟัง และไม่มีความหมายแฝงที่ต่างไปจากตัวคำพูดที่พูดออกไป กิริยาท่าทางขณะพูดก็ต้องผ่าเผย จริงใจ ไม่สื่อสารผ่านท่าทางแฝงด้วยเช่นกัน

3.จริงใจและไว้ใจ
หมาย ถึงต้องมีความจริงใจต่อคนทุกคน และทำให้เขารู้สึกว่าคุณไว้ใจได้ หากผ่านความรู้สึกนี้มาได้แล้ว ต่อให้คุณมีน้ำเสียงอย่างไร ใช้คำพูดผิดไป หรือผิดพลาดในบางกาลเทศะ คุณก็ยังถูกมองอย่างดีอยู่เหมือนเดิม เพราะได้รับการให้อภัย ไม่เก็บเอาไปถือสาหรือด่าว่าลับหลัง เพราะโดยเนื้อแท้ คุณมีความจริงใจ ไม่ใช่คนประเภทหน้าไหว้หลังหลอก หรือปากอย่างใจอย่าง ข้อนี้ต้องผ่านกาลเวลาจนเกิดความเชื่อใจ ไม่ใช่ปุบปับก็จะรู้สึกได้เหมือน 2 ข้อแรก


ที่มา //www.sanook.com




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 16:38:21 น.
Counter : 1003 Pageviews.  

׺°”˜`”°º× »-(¯`v´¯)-»...นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ” โดยท่าน ว. วชิรเมธี‏..׺°”˜`”°º×




แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม
ว วชิรเมธี



โดยท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว วชิรเมธี)



.......................
นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"



ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ


ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ


ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ


ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน


ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
เจริญพร
ว วชิรเมธี






ถ้าหากถ้อยคำจากเมลนี้ เป็นดั่งประทีปธรรมในการสร้างจิตสำนึกที่งดงามให้แก่ผู้ที่ได้อ่านและศึกษา พึงน้อมดวงจิตบูชาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย แล้วไปสู่การประพฤติและการปฏิบัติตนในฐานะพุทธมามกะที่ดี ก็คงจะนำมาซึ่งปีติอันใหญ่หลวงยิ่ง จากการอนุโมทนาบุญและการร่วมกันจัดทำขึ้นของ " คณะกรรมการชมรมพุทธศาสนา บ. อินโดรามาปิโตรเคม " แล้ว


ที่มา: forword mail ค่ะ




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 18:59:27 น.
Counter : 520 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

no filling
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add no filling's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.