ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

7 อาชีพแหวกแนว สายวิทยาศาสตร์




อาชีพในสายวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องทดลองแคบๆ เสมอไป ยังมีอีกหลายอาชีพที่คุณอาจไม่รู้ว่ามีอยู่ ดังเช่น 7 อาชีพที่จะยกตัวอย่าง

นักออกแบบพลุ
เส้นแสงสีสวยๆ งามๆ ที่ระเบิดขึ้นหลังพลุแตกนั้น เป็นผลพวงจากการออกแบบของนักเคมี ซึ่งจะจะออกแบบด้วยองค์ความรู้ว่าสารเคมีใดจะปลดปล่อยสีสันสวยๆ ออกมาเมื่อได้รับความร้อน ตัวอย่างเช่น สารประกอบทองแดงจะเผาไหม้เป็นสีน้ำเงิน สารประกอบสตรอนเทียมจะให้สีแดงเข้ม และโซเดียมจะให้สีเหลืองจ้า เป็นต้น สารเคมีที่ให้สีสันเหล่านี้ทำปฏิกิริยาได้ง่าย และบางครั้งเป็นอันตรายด้วย ซึ่งไลฟ์ไซน์ระบุว่าการเป็นนักออกแบบพลุนั้นมักต้องการผู้มีความรู้ด้านเคมีระดับปริญญาโทขึ้นไป

นักจิตวิทยาอวกาศ
เป็นอาชีพที่มีหน้าที่ศึกษาว่ามนุษย์อวกาศรับมือกับสภาพในเที่ยวบินอวกาศและสภาพไร้น้ำหนักในอวกาศอย่างไร ทั้งนี้ งานของมนุษย์อวกาศนั้นเป็นงานที่ต่อเนื่องและมีความเข้มงวดสูง เที่ยวบินอวกาศจริงๆ ยังมีความรู้สึกพันธนาการทางกายภาพที่ไม่คุ้นเคย เช่น ภาวะไร้หนักและความเร่ง เป็นต้น นักจิตวิทยาจึงมีหน้าที่แนะนำแนวทางดีที่สุดสำหรับมนุษย์อวกาศในการควบคุมกายและใจ ซึ่งรวมถึงการพักผ่อน และอาชีพนี้จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อมีการเดินทางสู่วกาศเป็นระยะทางนานๆ เช่น ปฏิบัติการส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร เป็นต้น

นักเซ็กส์วิทยา
เป็นการศึกษาในเรื่องเพศหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพศ โดยเฉพาะในความเป็นมนุษย์ ซึ่งงานด้านนี้มีขอบเขตที่กว้าง ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ด้านชีววิทยา การแพทย์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และศาสตร์ด้านอื่นๆ นักเซ็กส์วิทยาจะศึกษาทุกอย่างตั้งแต่ภาวะเจริญพันธุ์ แนวโน้มทางเพศ ไปจนถึงกลไกระหว่างมีเพศสัมพันธุ์ รวมถึงความผิดปกติของอวัยวะเพศ
*อ้างความหมายเซ็กส์วิทยาจากพจนานุกรมออนไลน์เมอร์เรยม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster)

นักรีดพิษงู (Snake milker)
นักรีดพิษงูซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสัตว์ที่มีหน้าที่รีดพิษจากงูพิษ ซึ่งพิษงูที่มีฤทธิ์ถึงตายนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซรุ่มแก้พิษงู และถูกใช้อย่างแพร่หลายทางการแพทย์ โดยนักรีดพิษงูจะรีดพิษออกจากเขี้ยวงูแล้วเก็บในรูปผงแห้งแช่แข็ง ซึ่งห้องปฏิบัติการวิจัยจะใช้เพื่อผลิตยาสำหรับลิ่มเลือด ป้องกันหัวใจวายและความดันสูง

นักคูถวิยา (Scatologist)
เป็นผู้ศึกษาในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวมูลและสิ่งปฏิกูล ซึ่งการศึกษาศาสตร์ดังกล่าวจะให้ข้อมูลแก่นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับถิ่นอาศัย สุขภาพโดยรวมและโรคที่ปรากฏ อีกทั้งองค์ประกอบในมูลสัตว์นั้นจะบ่งบอกถึงสิ่งที่สัตว์เหล่านั้นกิน และจะบอกได้ว่าสัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ไหน เช่น แบคทีเรียในมูลสัตว์จะให้ตัวอย่างของแบคทีเรียในลำไส้สัตว์และช่วงเวลาที่สัตว์นั้นๆ ดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งจะช่วยประเมินสุขภาพของสัตว์ได้ การศึกษาเรื่องนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการรักษาทางการแพทย์ในคน ตัวอย่างเช่น การบำบัดโรคติดเชื้อในลำไส้ที่รักษาได้ยาก ด้วยการเติมแบคทีเรียจากอุจจาระที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ผู่ป่วย เพื่อฟื้นคืนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น

นักหัวเราะบำบัด (Laughter therapist)
การหัวเราะเป็นยาดีที่สุดหรืออย่างน้อยก็เป็นการบำบัดที่ดีที่สุด และยังพบอีกว่าการหัวเราะช่วยลดความเครียดและเสริมภูมิคุ้มกัน นักหัวเราะบำบัดจะทำให้ผู้ป่วยหัวเราะเบาๆ โดยไม่ใช้มุขตลกหรือเรื่องขำ แต่จะนำออกกำลังที่ช่วยให้ผู้ป่วยหัวเราะได้ลึกและเป็นสุขเหมือนที่เด็กทารกเป็น

นักวิทยาศาสตร์ด้านการหมัก (Fermentation scientist)
ทั้งเบียร์ ไวน์ ขนมปัง ชีส ของดองและโยเกิร์ต ล้วนอาศัยการหมักดอง โดยกระบวนการจะเกิดขึ้นจากยีสต์หรือแบคทีเรียเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรด ก๊าซหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ด้านหมักจะศึกษาว่าจุลินทรีย์เหล่านั้นใช้ในกระบวนการหมักได้อย่างไร ซึ่งหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) คือนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้คนแรก หลังจากที่เขาค้นพบว่ายีสต์ทำให้เกิดการหมักได้



ที่มา :  //www.manager.co.th/science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082206




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:39:05 น.   
Counter : 1497 Pageviews.  

ชมไป หิวไป พิพิธภัณฑ์ขนมไทย หวานใจอัมพวา

"ขนมหวานแม่เอ๊ย ขนมหวาน มาแล้วจ้า ลอดช่องกะทิแตงไทย สาคูเปียก รวมมิตร จ้า" เด็กสมัยใหม่ได้ยินแล้วคงพอเข้าใจแต่อาจนึกภาพตามไม่ออกว่า ถ้าไม่ไปเดินเที่ยวห้างหรือวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยแล้วจะร้องหา "ขนมหวานเดลิเวอรี่" ได้จากไหน อย่างดีที่พอจะเห็นบ้างก็รถขายไอศกรีม แต่ก็เป็นโคนรสชาติใหม่สีสันสดใสราคาหลายสิบบาท หรือไม่ก็แท่งสวยๆ ลายแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ใช่ไอศกรีมกะทิสดหรือไอศกรีมตัดแบบดั้งเดิม

เมืองไทยนี้มีของดีเหลือคณานับตามความอุดมสมบูรณ์แต่ดั้งเดิม ไม่อย่างนั้นแล้วอาหารการกินของเราคงไม่เลื่องลือติดอันดับโลก อาหารไทยขึ้นชื่อว่าเด่นดัง แต่ขนมไทยก็ยังเด็ดดวงไม่แพ้กัน แถมยังมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ บางเรื่องก็สนุกสนานผจญภัยเหมือนท่องไปในจินตนาการ แล้วจะไม่ให้ขนมไทยของเรามีเสน่ห์ได้อย่างไรกัน อัมพวา เมืองตลาดน้ำวิถีชุมชนเก่าของสมุทรสงครามที่เรารู้จักกันดี จึงมีไอเดียนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยผ่านอาหารคาวหวานอันเลื่องลือ ในชื่อ พิพิธภัณฑ์ขนมไทย โดยภาคเอกชนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบสานอนุรักษ์ขนมไทยให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก และส่งเสริมให้คนไทยได้หวงแหนในคุณค่าของขนมไทยอันเลื่องชื่อ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้พื้นที่บริเวณชั้น 2 ของอาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลอัมพวามาเป็นห้องจัดแสดง สีสันของพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ตรงที่เขานำเอาวัสดุเรซินมาประดิดประดอยเป็นรูปทรงขนมหวานต่างๆ ที่ดูเหมือนจริงมาก ฉะนั้นใครเข้าไปชมก็สามารถหยิบจับถ่ายรูปได้ เพียงแต่เอาใส่ปากรับประทานไม่ได้เท่านั้นเอง

เมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะพบกับความละลานตาของกองทัพขนมไทย (เทียม) ที่แบ่งหมวด แบ่งโซน ตามยุคสมัยถือกำเนิดและตามประเพณีวัฒนธรรมการกินของคนไทยรุ่นก่อนๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย ซึ่งถือเป็นยุคแรกที่คนไทยได้รู้จักกับขนม ในศิลาจารึกได้มีการบันทึกเกี่ยวกับขนมว่า เป็นอาหารที่มีข้าวและนมเป็นส่วนผสมหลัก หรือบางครั้งก็มีน้ำกะทิเป็นกระสายชูรสชาติ เมื่อข้าวและนมพ้องกันนานเข้าจึงถูกเรียกติดปากว่า "ขนม" ไปโดยปริยาย ขนมไทยดึกดำบรรพ์ที่ในยุคถือกำเนิดนั้นมี 4 ชนิด คือ ไข่กบ หรือเมล็ดแมงลัก, นกปล่อย หรือลอดช่อง, บัวลอย หรือข้าวตอก และ อ้ายตื้อ หรือข้าวเหนียว มักใช้รับรองเจ้านายหรือจัดอยู่ในสำรับในประเพณีต่างๆ เรียกอีกอย่างว่า "ประเพณีสี่ถ้วย"

ถัดมาอีกมุม จะเป็นยุคของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มรับเอาวัฒนธรรมการปรุงขนมจากชาติยุโรป และถือเป็นยุค "จุดเปลี่ยน" ของวงการขนมไทยครั้งใหญ่ เมื่อแหม่ม มารี กีมาร์ เดอ ปิญญา หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า" สตรีเชื้อสายโปรตุเกส หัวหน้าห้องต้นเครื่องในราชสำนักที่ตามครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองไทยเป็นผู้คิดค้น โดยท้าวทองกีบม้านำอิทธิพลการทำอาหารจากโปรตุเกสที่มีส่วนผสมของ น้ำตาล แป้ง ไข่ และมะพร้าว เข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญ หน้าตาของขนมไทยยุคนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดสร้างสรรคอันเป็นเลิศ ไม่ว่าจะเป็น ฝอยทอง สังขยา หม้อแกง ขนมผิง อันเป็นตำนานความ "คลาสสิค" ที่ยังตกทอดมาถึงรุ่นเราในทุกวันนี้

และอีกมุมที่จัดแต่งไว้อย่างงดงามและเพลิดเพลินตาที่สุด น่าจะเป็นมุมของ ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวอัมพวาดั้งเดิมจะมีความผูกพันกับยุคนี้มาก เพราะมีหลักฐานอ้างอิงจาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงเอ่ยถึงขนมพื้นบ้านอัมพวาไว้ด้วย มุมนี้จึงไม่ได้มีให้ชมเฉพาะขนมเท่านั้น เพราะมีการนำเสนอเครื่องคาวจากบทประพันธ์ที่เราคุ้นเคยให้ชมอย่างครบถ้วน เช่น มัสมั่น (แกงแก้วตา) อีกทั้งยุคนี้ยังถือว่าเป็นยุคที่การทำขนมไทยมีความวิจิตรงดงามและอาศัยฝีมือมากขึ้น ใครมาชมมุมนี้ก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับขนมหน้าตาสวยงามที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ เช่น มัศกอด, รังไร หรือขนมลำเจียก ซึ่งปัจจุบันแทบจะหาทานทั่วไปได้ยาก นอกจากมาที่อัมพวาซึ่งยังพอจะเห็นขนมไทยในตำนานเหล่านี้มีวางขายที่ตลาดน้ำให้ได้ซื้อหามาชิมกัน


ความหลากหลายของขนมไทยยังรวมไปถึงขนมในยุคที่เป็นปัจจุบันขึ้นมาอีกนิด เช่น ขนมโหล ขนมแห้งที่เก็บไว้กินได้นาน เช่น ฟักเชื่อม มะตูมเชื่อม ขนมโก๋ ขนาบข้างด้วยซุ้ม น้ำแข็งไส ที่จัดเครื่องเคียงเรียงรายอยู่ในโถแก้ว ดูสมจริงจนชวนให้น้ำลายสอ และ ขนมรถเข็น หรือขนมถาด ที่เรามักจะเคยเห็นตอนค่ำๆ มุมนี้ก็นำเอารถเข็นของจริงพร้อมถาดขนมมาจัดแสดงให้เห็นถึงที่มาที่ไป เรียกได้ว่ามีทั้งส่วนที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ในตำนานของขนมไทย ไปถึงส่วนที่สะท้อนวัฒนธรรมการกิน การทำ และการนำเสนอขนมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในรายละเอียดที่ครบถ้วนทีเดียว

พิพิธภัณฑ์ขนมไทยแห่งนี้ไม่มีค่าเข้าชม โดยเปิดให้ชมฟรีในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 19.00 น. ทั้งนี้ก็อยากจะขอความร่วมมือให้ผู้เข้าชมช่วยกันรักษาความสวยงามของตัวขนมที่นำมาจัดแสดง เพราะบางส่วนก็ผ่านการสัมผัสมามากจนดูทรุดโทรม ผู้จัดทำอุตส่าห์มีความตั้งใจให้คนไทยทุกคนได้เข้าชมโดยไม่เก็บสตางค์ ก็ขอให้ชมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อที่จะได้มีของโชว์สวยๆ สมบูรณ์แบบไว้ให้คนอื่นๆ ได้ชื่นชมต่อไปนานๆ

ส่วนใครที่แวะมาชมอาหารทางตาในพิพิธภัณฑ์แล้วเริ่มรู้สึกไม่ไหว พาลให้โหยหาอาหารอร่อยๆ มาเติมกระเพาะ ก็เพียงเดินลัดเลาะออกไปยังตลาดน้ำอัมพวาที่คุ้นเคย ก็จะได้อิ่มท้อง และอย่าลืมที่จะซื้อของฝากรสเลิศกลับบ้าน ถือเป็นการจบทริปอิ่มหมีพีมัน ณ อัมพวาอย่างสมบูรณ์แบบ




  • สนับสนุนเนื้อหา emaginfo




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:37:28 น.   
Counter : 2434 Pageviews.  

10 ร้านอาหารบรรยากาศดี แต่ราคาสบายกระเป๋า

สนุก! ท่องเที่ยว พาชวนไปชิมร้านอาหารบรรยากาศดี ที่นอกจากจะมีอาหารอร่อยๆ ให้ชิมแล้ว การตกแต่งและบรรยากาศของร้านยังหรูหรา มีรสนิยม แต่ราคาเบาๆ ไม่แพงมาก สามารถไปนั่งกินและจ่ายได้ในราคาสบายกระเป๋า

1.เทรเดอร์ วิคส์ >>คลิกอ่าน<<


2.แบรสเซอรี่ ไนน์ >>คลิกอ่าน<<


3.น้ำ >>คลิกอ่าน<<


4.ยากินิกุ บาร์ >>คลิกอ่าน<<

5.สการ์เล็ต ไวน์ บาร์ แอนด์ เรสเตอรองต์ >>คลิกอ่าน<<


6.ไฟร์ แอนด์ ไดน์  >>คลิกอ่าน<<


7.มูเกนได >>คลิกอ่าน<<


8.อะกาโนยะ โรบาทายากิ >>คลิกอ่าน<<


9.เรด โอเวน >>คลิกอ่าน<<


10.อิษยา สยามมิส คลับ >>คลิกอ่าน<<




  • สนับสนุนเนื้อหา Bkk Menu




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:36:35 น.   
Counter : 5264 Pageviews.  

เครื่องเล่นสุด "หวาดเสียวที่สุดในโลก" สูงติดขอบหน้าผา

สวนเที่ยว "Glenwood Caverns Adventure Park" ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐ สร้างความฮือฮา หลังผุดเครื่องเล่นชิงช้ามีความสูงราว 1,300 ฟุตเหนือพื้นดิน ติดกับหน้าผาเหนือแม่น้ำโคโลราโด ซึ่งถือเป็นเครื่องเล่นที่อาจเรียกได้ว่าหวาดเสียวที่สุดในโลก และถือเป็นของเล่นใหม่สุดท้าทายสำหรับชาวอเมริกันที่ต้องการความท้าทายและความสุดเสียวระทึก ที่จะได้ลิ้มลองความตื่นเต้นอย่างสุดขีดจากชิงช้าติดหน้าผานี้




เครื่องเล่นชิงช้าใหม่แสนระทึกนี้ ถูกตั้งชื่อว่า "The Giant Grand Canyon Swing" ตามชื่อภูเขาแกรนด์ เคนยอน และประเมินว่า มันแกว่งตัวเป็นระยะทาง 50 ไมล์ต่อ ชม. ขณะที่นายสตีฟ เบิร์กเลย์ ผู้ประดิษฐ์สร้างสรรค์เครื่องเล่นสุดเสียวนี้เผยว่า ที่ผ่านมา สวนเที่ยวแห่งนี้มีชิงช้าหลายตัว แต่ก็ต้องการเครื่องเล่นที่มีความพิเศษแบบสุดสุด และ "The Giant Grand Canyon Swing" ถือเป็นเครื่องเล่นที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้สร้างสมบูรณ์แบบ เพราะมันแข็งแกร่งและแกว่งตัวเร็วมาก ซึ่งสามารถกระตุ้นสารอะดีนาลีนในตัวเราได้มากกว่าที่เคยเป็นและสำหรับนักเที่ยว พวกเขาก็จะกรีดร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อครั้งแรกที่ได้สัมผัสเครื่องเล่นนี้ และเป็นเรื่องสนุกมากที่ได้เห็นนักเที่ยวเล่นเครื่องเล่นนี้ เพราะหน้าตาพวกเขาจะกรีดเสียงร้องอย่างสุดตื่นเต้นและหัวเราะออกมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับเขาแล้ว การเล่นเครื่องเล่นนี้แค่ครั้งเดียวก็ถือว่าเพียงพอต่อการจดจำในฐานะประสบการณ์สุดเสียวระทึกในชีวิตคนเราแล้ว







ที่มา :  //www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374218813&grpid=03&catid=03




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:35:57 น.   
Counter : 1601 Pageviews.  

แฟชั่นสาวเซอร์ โดนัท มนัสนันท์

เพิ่งจะเลิกรากับหนุ่มเซอร์ "อนันดา เอเวอริ่งแฮม" ไปหมาดๆ สำหรับนางเอกหน้าหวาน "โดนัท มนัสนันท์" แต่วันนี้เราจะขอเรื่องรักๆ และจะพาไปดูแฟชั่นสไตล์การแต่งตัวของโดนัทกันค่ะ เธอบอกว่าชอบแต่งตัวสไตล์ง่ายๆ สบายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ไม่แต่งหน้า ซึ่งดูเซอร์มากๆ รวมๆ แล้วก็แล้วแต่สถานที่ด้วยว่าไปที่ไหนค่ะ เป็นสาวเซอร์ที่แต่งออกมาให้ดูเซ็กซี่เบาๆ ไอเทมสุดโปรดของโดนัทที่เห็นใส่บ่อยๆ เลยก็จะเป็นหมวกค่ะ



//campus.sanook.com




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2556 21:35:25 น.   
Counter : 3962 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  

ข่าวดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]