4 ปัญหาเสียงเบรคดังอาจจะเกิดจากสิ่งเหล่านี้
ในบทความนี้ สาระน่ารู้รถยนต์ กับกฤษฎากู๊ดคาร์ จะมาว่าถึงเรื่องเบรคกัน แน่นอนว่า การใช้รถมาเป็นระยะเวลาหลายๆปี อาจจะต้องเริ่มมีการสังเกตสัญญานของความเสื่อมสภาพของรถยนต์ ทั้งความรู้สึกในการขับ และเสียงที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถบ่งบอกความเสื่อมสภาพของความเสียหายของอุปกรณ์ในรถได้เช่นกัน



และปัญหาที่เกิดเสียงบ่อยที่สุดนั่นก็คือระบบเบรค เพราะเป็นอุปรกรณ์ที่มีการเสื่อมสภาพง่าย เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคู่กับตำแหน่งของล้อของรถจึงทำให้รับกับทุกสภาวะทั้งร้อนและเปียก รวมไปถึงอาจจะเจอกับสิ่งสกปรกและแปลกปลอมต่างๆ ฉะนั้นต้องคอยสังเกตอาการและเสียงที่เกิดขึ้นให้ดีครับ

เสียงของเบรคบ่งบอกปัญหาอะไรบ้าง?

เสียงของเบรคนั้นมีอยู่หลายลักษณะที่ทำให้เราสามารถพอที่จะคาดเดาได้ว่า ปัญหาเสียนั้นเกิดจากอะไร ฉะนั้นผมจะมาบอกลักษณะของเสียงเพื่อให้เพื่อๆไปสำรวจดูกันนะครับ

1.เสียงเสียดสีในช่วงจังหวะการเบรค

เสียงของเบรคที่เสียดสีเฉพาะจังหวะการเบรคนั้นเป็นเสียงของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากความเย็นของดิสก์เบรคกับผ้าเบรคที่แตกต่างต่างกัน มักจะเกิดเมื่อทิ้งรถไว้นานๆในช่วงหน้าหนาว เรียกว่าเป็นเรื่องปกติครับไม่ต้องตกใจ เมื่อวิ่งไปซักพัก ก็จะเริ่มเบาลง หรือหายไป แต่ถ้าหากวิ่งไกลๆ เบรคจนดิสก์เริ่มมีอุณหภูมิปกติแล้วยังดังเท่าเดิมอาจจะต้องเริ่มสำรวจในเรื่องของคุณภาพผ้าเบรคแล้วครับ

2.เสียงเสียดสีในช่วงการวิ่งตลอดเวลา

เสียงเสียดสีของช่วงตลอดระยะเวลาของการวิ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากเศษหินเข้าไปติดระหว่างดิสก์เบรคกับผ้าเบรค สามารถเอาออกได้ด้วยการเบรคกระแทก เบาๆ ย้ำๆ เป็นระยะเวลาสั้นๆหลายครั้งตลอดการขับ เศษหินเหล่านี้อาจจะหลุดและกระเด็นออกไปเอง เสียงนั้นก็จะหายไปด้วย

3.เสียงที่เกิดในช่วงจังหวะการเบรค เอี๊ยดๆ ครืดๆ และมีการสั่นเล็กน้อยในจังหวะการเบรค

เสียงที่เกิดขึ้นลักษณะนี้คือเสียงแผ่นเตือนผ้าเบรคหมด ซึ่งได้ถึงหน้าแผ่นเหล็กทีรองชั้นในสุดของผ้าเบรคนั้นเสียดสีกับแผ่นดิสก์เบรคจึงทำให้เกิดเสียงนั่นเอง แนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรคโดยเร็วนะครับ เพราะนอกจากเบรคไม้อยู่แล้ว เหล็กรองผ้าเบรคจะขูดให้หน้าแผ่นดิสก์เบรคเป็นรอยทำให้หน้าเบรคไม่สม่ำมเสมอทำให้เบรคไม่ดีเหมือนเดิมก็จะต้องมีการเจียรจานเบรคเพื่อทำให้หน้าจับให้เสมอกัน และถ้าหากเจียรจานเบรคบ่อยๆก็ทำให้เนื้อจานบางลงอาจก็เป็นการลดความทนทานของจานเบรคให้บางลงอีกด้วย

4.เสียงดังเสียดสีเมื่อล้อหมุนแบบเป็นระยะและเร็วขึ้นตามความเร็ว

แน่นอนว่าหากยังไม่แตะเบรคแต่มีเสียงนั้นย่อมจะต้องมีความผิดปกติอย่างแน่นอนอยู่แล้ว อาจจะเกิดจากการตั้งเบรคให้ชิดกับจานเบรคจนเกินไป แต่สิ่งที่มักจะเจอบ่อยๆในรถเก่าๆนั่นก็คือ ยางดิสเบรคนั้นเริ่มมีการบวมและเสื่อมสภาพเป็นเหตุทำให้ยางรองเบรคมีการขยายตัวและดันคาลิเปอร์ให้ชิดกับจานเบรคนั่นเองจึงทำให้เบรคเสียดสีกับหน้าจานเบรคตลอดเวลา และทำให้เกิดความร้อนตามรอบที่หมุน เมื่อเกิดความร้อนสะสมมากๆ และจานเบรคโดนน้ำ่ก็จะทำให้จานเบรคคดตามมาเป็นปัญหาที่คุณจะต้องไปเจียรจานเบรคอีกด้วย

ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับรถเก่า แต่ก็ใช่ว่ารถใหม่จะไม่เกิด ฉะนั้นการศึกษาและหมั่นสังเกตจากสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆต่อไปฉะนั้นเมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น



Create Date : 16 กรกฎาคม 2565
Last Update : 16 กรกฎาคม 2565 11:42:53 น.
Counter : 234 Pageviews.

0 comment
การดูแลรักษาเบรคและการเลือกใช้น้ำมันเบรครถยนต์

การดูแลรักษาดบรค และการเลือกใช้น้ำมันเบรค

การดูแลรักษาเบรคและการเลือกใช้น้ำมันเบรค

น้ำมันเบรค (Brake Fluid) ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งแรงดันเพื่อไปกดผ้าเบรคแล้ว ยังทำหน้าที่หล่อลื่นภายในชุดเบรคอีกด้วย ทุกครั้งที่เราทำการเหยียบเบรค ตัวผ้าเบรคจะจับกับจานเบรคแรงขึ้น สร้างแรงเสียดทาน เพื่อชะลอความเร็ว หรือลดความเร็วจนกว่ารถจะหยุดได้สนิท จนทำให้เกิดความร้อนสะสมที่เกิดจากการเสียดสีที่ผ้าเบรคและ จานเบรค ความร้อนบางส่วนถูกส่งผ่านไปยังน้ำมันเบรค ถ้าความร้อนมีการสะสมมากๆ อาจจะส่งผลต่อจุดเดือดของน้ำมันเบรคที่ใช้อยู่

บางครั้งเราอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เบรคมากกว่าปกติ อาทิเช่น ขณะลงเขา ขณะลงทางด่วน หรือแม้แต่ในสภาพการจราจรติดขัด ในเมืองใหญ่ การเบรคแต่ละครั้งนั้น นอกจากแป้นเบรค ที่ต้องมารับแรงกดจากเท้าของเรา แม่ปั๊มเบรคส่งแรงดันน้ำมันเบรคไปยังลูกปั๊มเบรค เพื่อสร้างแรงดันให้ผ้าเบรคกดบนจานเบรค และดรัมเบรค เพื่อชะลอและหยุดรถนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้มือหยิบจับสิ่งของ ถ้ามือไม่ลื่นเราก็หยิบได้ง่าย และกล้ามเนื้อเรามีแรงสม่ำเสมอเราก็จะหยิบจับได้อย่างมั่นคง เบรค ก็เป็นเช่นเดียวกัน แรงดันน้ำมันเบรคที่ดี ทำให้ผ้าเบรคจับจานเบรคได้อย่างเต็มที่ หยุดรถได้สนิท

การดูแลรักษาเบรค

ถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรคพร่องลงไปจากขีดบอกระดับสูงสุด (Max) เพราะการสึกหรอของผ้าเบรค ก็อาจต้องเติมน้ำมันเบรคจนถึงระดับสูงสูด แต่ถ้าระดับน้ำมันเบรคลดลงมากเกินครึ่งจากระดับสูงสุด ต้องรีบตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจะมีจุดรั่วซึม เช่นที่ลูกยางเบรคที่ล้อ ที่ขั้วต่อของท่อเบรคจุดต่างๆ

แต่ถ้าต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรค นอกจากยี่ห้อ ความจุ และราคาน้ำมันเบรคแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระดับมาตรฐานของน้ำมันเบรคขวดใหม่ ซึ่งตัวน้ำมันเบรคจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรคที่เรียกว่า DOT ซึ่งส่วนผสมของสารเคมีที่แตกต่าง ก็จะให้ค่าจุดเดือดที่แตกต่าง ทั้งจุดเดือดแห้งและจุดเดือดเปียก

มาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรค

มีหน่วยงานที่เข้ามาควบคุมมาตรฐานหลายหน่วยงาน ทั้งสมาคมวิศวกรยานยนต์ในสหรัฐอเมริกา Society of Automotive Engineer หรือ SAE และกรมการขนส่งของสหรัฐอเมริกา Department of Transportation หรือ DOT และสมาคมกำหนดมาตรฐานระหว่างชาติ International Standard Organization หรือ ISO ต่างก็ได้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเบรคที่ใช้ในระบบเบรคของยานพาหนะซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป ซึ่งมาตรฐานล่าสุดในขณะนี้ SAE คือ SAE J1704 และ DOT คือมาตรฐาน Federal Motor Vehicle Safety Standard หรือ FMVSS 116 DOT3, DOT4, DOT5 และ DOT5.1 ส่วนมาตรฐานของ ISO คือ ISO 4925

แต่ที่รู้จักกันดี และเรียกจนติดปาก คือ DOT ได้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเบรค และแบ่งเกรดตามอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำมันเบรค ซึ่งจุดเดือดที่ว่านั้นมี 2 อย่างคือ จุดเดือดเมื่อไม่มีความชื้นอยู่เลย (Dry Boiling Point) และจุดเดือดที่มีความชื้นอยู่ในน้ำมัน (Wet Boiling Point)

  • DOT 3 จุดเดือดแห้ง 205 องศาเซลเซียส (205 °C /401 °F) จุดเดือดเปียก 140 องศาเซลเซียส (140 °C /284 °F)
  • DOT 4 จุดเดือดแห้ง 230 องศาเซลเซียส (230 °C /446 °F) จุดเดือดเปียก 155 องศาเซลเซียส (155 °C /311 °F)
  • DOT 5 จุดเดือดแห้ง 260 องศาเซลเซียส (260 °C /500 °F) จุดเดือดเปียก 180 องศาเซลเซียส (180 °C /356 °F)
  • DOT 5.1 จุดเดือดแห้งไม่ต่ำกว่า 260 องศาเซลเซียส (260 °C /500 °F) จุดเดือดเปียก 180 องศาเซลเซียส (180 °C /356 °F)

จุดเดือดแห้ง วัดจากน้ำมันเบรคใหม่ ที่ไม่มีส่วนผสมของโมเลกุลน้ำ จะให้ค่าจุดเดือดที่สูง และจุดเดือดเปียก วัดจากน้ำมันเบรคนั้นมีโมเลกุลน้ำผสมอยู่ข้างในไม่เกิน 3.7% ซึ่งจุดเดือดของน้ำมันเบรคจะลดลง และส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเบรคได้ โดยน้ำมันเบรคที่มีน้ำเกิน 3.7% จะถือว่าเป็นน้ำมันเบรคที่เริ่มเสื่อมสภาพ ถ้าเกิดความร้อนสูงถึงจุดเดือดซ้ำๆ ปริมาณความชื้นเพิ่มมากขึ้น ทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคต่ำลง และถ้าน้ำเดือดก็จะเกิดไอน้ำภายใน ทําให้แรงดันของน้ำมันเบรคขาดตอนกลายเป็นเบรคต่ำ เบรคหาย เบรคหยุ่นตัวเหมือนกับไล่ลมเบรคไม่หมด

นอกจากนี้ในการใช้งานโอกาสที่ความชื้นจะเล็ดลอด สู่น้ำมันเบรคในระบบมีได้มากมายหลายทาง เช่น ความชื้นเข้าโดยการหายใจเข้า/ออกของระบบน้ำมันเบรคตรงฝากระปุกเบรค น้ำจากการอัดฉีดล้างเครื่องรถสามารถเข้าสู่กระปุกน้ำมันเบรคได้หากไม่ระมัดระวัง หรือเมื่อขับรถลุยน้ำ ยางกันฝุ่นสึกหรือไม่รัดแน่น น้ำก็สามารถเข้าสู่น้ำมันเบรคได้ตรงลูกสูบเบรคที่ล้อ ดังนั้นน้ำมันเบรคก็จะชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ

รถยนต์ในปัจจุบันเร็วและแรงขึ้น ระบบเบรคยิ่งร้อน โอกาสที่น้ำมันเบรคจะเสื่อมสภาพก็เร็วขึ้น แม้ว่าน้ำมันเบรคเป็นสารสังเคราะห์ทางเคมี แต่น้ำมันเบรคจะดูดความชื้นได้ง่ายและรวดเร็ว ประสิทธิภาพของน้ำมันเบรคจะ เสื่อมสภาพตามความชื้นที่สะสมเอาไว้ การตรวจสภาพน้ำมันเบรค ศูนย์บริการของตัวแทนจําหน่ายรถยนต์ สถานีบริการน้ำมัน อู่ซ่อมรถ จะทําการตรวจสภาพของน้ำมันเบรคโดยใช้เครื่องมืออิเลกทรอนิกส์วัดค่าความชื้นในน้ำมันเบรคและทราบผลได้เลย ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคหรือยัง ถ้าไม่ได้ตรวจสภาพน้ำมันเบรคหรือไม่แน่ใจ ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคในระบบทุกๆ 1-2 ปี ไม่ว่ารถจะใช้มากหรือน้อยก็ตาม

การเลือกใช้น้ำมันเบรค

สิ่งที่พวกเราควรจะรู้ก็คือ เนื่องจากน้ำมันเบรค DOT 5 ที่มี Selicone Based oil มีคุณสมบัติที่ไม่ดูดความชื้นและแยกตัวออกจากน้ำแตกต่างจากน้ำมันเบรค DOT3, DOT4 ที่มี Glycol based oil ที่ดูดความชื้นง่ายและรวมตัวกับน้ำได้ จึงไม่สามารถผสมปนกันได้ และที่สำคัญคือ น้ำมันเบรค DOT 5 ไม่สามารถใช้ได้กับระบบเบรค ABS จึงมีน้ำมันเบรค DOT 5.1 ที่มีส่วนผสมของ Glycol Ether/Borate Ester สำหรับรถรุ่นใหม่ที่มีระบบเบรค ABS

รถยนต์โดยส่วนมาก มักจะใช้น้ำมันเบรค DOT 3 หรือ น้ำมันเบรค DOT 4 มากกว่า โดยน้ำมันเบรค DOT3 ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Polyalkylene Glycol Ether กับ Glycols based oil ส่วน DOT 4 จะผสม Borate Esters เพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งส่งผลให้มีจุดเดือดที่สูงกว่า และ DOT 4 ของผู้ผลิตหลายรายมีจุดเดือดสูงกว่า DOT 5.1

หากคุณใช้น้ำมันเบรค DOT ไหน ก็ให้ใช้เหมือนเดิมถ้าต้องการประหยัดค่าซ่อมบำรุง เพราะน้ำมันเบรคแต่ละชนิดและแต่ละ DOT ห้ามผสมหรือเจือปนเด็ดขาด เพราะจะส่งผลต่อการลดอายุการใช้งานของระบบเบรคได้ ทางที่ดี หากอยากเปลี่ยนเป็นยี่ห้อใหม่หรือเปลี่ยน DOT ก็ควรถ่ายน้ำมันเบรคของเดิมออกให้หมดก่อน และอย่าลืมจดจำเอาไว้ว่าล่าสุดใช้ยี่ห้ออะไรและ DOT เท่าไหร่ เมื่อต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคจะได้หาซื้อน้ำมันเบรคได้ถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติม >> ระบบ ABS คืออะไร ทำงานอย่างไร

แต่ถ้าหากผู้อ่านสนใจจะเปลี่ยนรถใหม่ หรือมองหารถยนต์ใช้งานสักคันโดนที่ประหยัดงบ และคุ้มค่าเงินมากที่สุด เราก็ขอแนะนำ รถยนต์มือสอง ถือว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงเศรษฐกิจในตอนนี้ หากท่านผู้อ่านสนใจแล้วละก็ไปดูกันเลยที่ Appleluxycar โชว์รูมรถหรูมือสอง ที่รวบรวม “รถยุโรปมือสอง ไว้อย่างมากมาย รวมไปถึง รถบ้านมือสอง ทุกยี่ห้ออีกด้วย




Create Date : 18 มิถุนายน 2563
Last Update : 18 มิถุนายน 2563 11:32:25 น.
Counter : 1108 Pageviews.

0 comment
สรุปข้อมูล Toyota Fortuner LEGENDER 2020 ชุดแต่งใหม่ ปรับเครื่องแรงขึ้น เริ่ม 1,584,000 บาท

 

สรุปข้อมูล Toyota Fortuner LEGENDER 2020 ชุดแต่งใหม่ ปรับเครื่องแรงขึ้น

Toyota Fortuner รถยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่ม PPV (กระบะดัดแปลงเป็น SUV) ได้เปิดตัวโฉม Minorchange ออกมาแล้วอย่างเป็นทางการ

เปิดตัวออกมาในชื่อ Toyota Fortuner Legender รุ่นตกแต่งพิเศษไลน์สูงสุดของรถ ที่มาแทน TRD Sportivo เดิม

สำหรับข้อมูลรายละเอียดรถจะมีอะไรบ้าง เราได้สรุปมาให้แล้วครับ

 

ราคาอย่างเป็นทางการ New Toyota Fortuner Legender (มาแทน TRD Sportivo)

ดีเซล 2.4 เทอร์โบ

– 2.4 LEGENDER 2WD AT ราคา 1,584,000 บาท

– 2.4 LEGENDER 4WD AT ราคา 1,789,000 บาท

 

ดีเซล 2.8 เทอร์โบ

– 2.8 LEGENDER 2WD AT ราคา 1,654,000 บาท

– 2.8 LEGENDER 4WD AT ราคา 1,859,000 บาท

 

รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร และ ฟรีค่าแรงเช็คระยะ ถึง 100,000 กิโลเมตร

 

 

ข้อมูลทางเทคนิค

มิติตัวถัง : 4,795 x 1,855 x 1,835 มิลลิเมตร (กว้าง x ยาว x สูง)

ระยะฐานล้อ :

ระยะต่ำสุดถึงพื้น : 193 มิลลิเมตร

ช่วงล่างด้านหน้า : อิสระแบบปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง (ช็อคอัพเฉพาะรุ่น Legender)

ช่วงล่างด้านหลัง : อิสระแบบปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง (ช็อคอัพเฉพาะรุ่น Legender)

ระบบเบรกหน้า : ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน

ระบบเบรกหลัง : ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน

 

 

เครื่องยนต์

ดีเซล 2.4 เทอร์โบ (สเปคเดิม)

เครื่องยนต์รหัส 2GD-FTV ความจุ 2,393 ซีซี VN-Turbo ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

ดีเซล 2.8 เทอร์โบ (สเปคใหม่)

เครื่องยนต์รหัส 1GD-FTV ความจุ 2,755 ซีซี VN-Turbo ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบ Auto Start-Stop ในรุ่น 4WD

– แรงขึ้นจากเครื่องโฉมเดิม 27 แรงม้า 50 นิวตันเมตร

– เพิ่ม เพลาปรับสมดุล Balance Shaft เพื่อลดแรงสั่น และเสียงให้เบาลง

– ปรับรอบเดินเบาให้ลดลง จาก 850 rpm เป็น 680 rpm ให้การลุย Off-Road ทำได้ดีขึ้น

 

 

 

ออปชั่นที่น่าสนใจที่เพิ่มเข้ามาใน Toyota Fortuner Legender

ภายนอก

 

 

 

 

ภายใน / ระบบความบันเทิง

 

ระบบความปลอดภัย

– ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง คู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง, ม่านนิรภัย 2 ตำแหน่ง, หัวเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง

– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS

– ระบบกระจายแรงเบรก EBD

– ระบบเสริมแรงเบรก BA

– ระบบควบคุมการทรงตัว VSC

– ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC

– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC

– ระบบควบคุมส่วนพ่วงท้าย TSC

– ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC

– ระบบควมคุมเฟืองท้าย Auto Limited Slip Differential

– กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

– สัญญาณกะระยะช่วยจอดด้านหลัง 6 ตำแหน่ง

– ระบบกุญแจ Immobilizer

– ระบบสัญญาณกันขโมย

ระบบ Toyota Safety SENSE 

– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control

– ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Alert

– ระบบเตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision System

 

ระบบ T-Connect Telematics

 

 

มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่

– ขาวมุก White Pearl หลังคาดำ

– แดง Emotional Red หลังคาดำ

– ดำ Attitude Black

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับรถอเนกประสงค์(SUV) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า รถครอบครัว จากค่ายสามห่วง โตโยต้า รุ่น ฟอร์จูนเนอร์ Toyota Fortuner Legender ที่ทำการเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ถือว่าปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ไปเยอะพอสมควร สืบเนื่องจากโตโยต้าร์ ฟอร์จูนเนอร์ (Toyota Fortuner) รุ่นใหม่ออกมานั้น ก็ส่งผลให้รุ่นก่อนหน้านั้นตกรุ่น ส่งผลให้ราคาตกลงไปทั้งมือหนึ่ง และมือสอง แต่สำหรับ ฟอร์จูนเนอร์มือสอง นั้่นบอกได้เลยว่า ราคาลงน้อยมากหากเทียบในรุ่นเดียวกันต่างค่าย หากใครสนใจ ฟอร์จูนเนอร์มือสอง ละก็ไปดูได้เลยที่ >> ฟอร์จูนเนอร์มือสอง(Toyota Fortuner) หรือสนใจรถพรีเมี่ยม รถหรูมือสอง ไปดูได้ที่ https://www.appleluxurycar.com กันได้เลย

อ่านเพิ่มเติม >> Toyota 86 เวอร์ชั่นพิเศษสืบทอดตำนาน AE86 Sprinter Trueno GT Apex Black

อ่านเพิ่มเติม >> New Mercedes-Benz E-Class 2020 ปรับโฉมใหม่ทันสมัยกว่าเดิม

อ่านเพิ่มเติม >> Ford เอาใจสายลุยเพิ่มอัพเกรดช่วงล่าง Fox Racing สำหรับ Ford Ranger และ F-150 สูงขึ้น 2 นิ้ว ราว 4.9 หมื่นบาท

อ่านเพิ่มเติม >> All NEW BMW iX3 รถยนต์ไฟฟ้า EV 100% เตรียมอวดโฉม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก magcarzine.com



Create Date : 05 มิถุนายน 2563
Last Update : 5 มิถุนายน 2563 11:35:08 น.
Counter : 1585 Pageviews.

1 comment
งบ 2 แสนบาท ซื้อรถเก๋งมือสอง รุ่นไหนได้บ้าง
ซื้อรถเก๋ง ไม่เกิน 2 แสน

อย่างที่ทราบกันดีว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้ค่อนข้างจะแย่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งการที่จะต้องออกรถใหม่ป้ายแดงในช่วงนี้ ก็ต้องคิดหนักกันเลยทีเดียว การเลือกซื้อรถมือสอง ไว้ใช้งานก็ถือเป็นทางเลือกนึงในสถานการณ์ในตอนนี้

Toyota

ชื่อนี้รับรองความอึด ถึก ทน มาแต่กำเนิด รวมถึงเป็นรถตลาด อะไหล่หาง่าย คนใช้งานเยอะ เกือบทุกอู่ซ่อมเป็น

Toyota Corolla Altis 1.6 หน้าหมู (ปี 2006) G Sedan AT ราคา 179,000 บาท

Toyota Corolla Altis 1.6 หน้าหมู (ปี 2006) G Sedan AT ราคา 139,000 บาท

Toyota Vios 1.5 ( ปี 2004 ) E Sedan MT ราคา 99,000 บาท

Chevrolet

รถเก๋งของค่ายนี้ที่จำหน่ายในไทยก็มีอยู่ไม่รุ่นครับ แต่ถ้าเป็นรุ่นยอดนิยม ราคามือสองคุ้มค่า คือ

Chevrolet Optra 1.6 (ปี 2009) CNG Sedan AT ราคา 109,000 บาท

Chevrolet Sonic 1.4 (ปี 2012) LS Sedan AT ราคา 199,000 บาท

Mazda

สำหรับค่ายนี้ก็มีรุ่นน่าสนใจ ด้วยรูปลักษ์ที่สวย และทันสมัย คือ

Mazda 3 2.0 (ปี 2005) R Sport Hatchback AT ราคา 199,000 บาท

Nissan

ค่ายที่ทุกคนคุ้นเคยอีก 1 ค่าย สำหรับนิสสัน ก็มีรถมือสอง รุ่นที่น่าสนใจดังนี้

Nissan Sunny 1.6 NEO ท้ายแตงโม (ปี2005) Super Neo Sedan AT ราคา 139,000 บาท

Honda

สายซิ่งคงทราบกันดีครับ ว่าแต่ละรุ่นของฮอนด้า ล้วนแต่เป็นตำนาน เป็นรถที่แต่งสวย ขับแล้วดูไม่เก่า ความอึด ถึก ทน อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งรุ่นที่แนะนำก็คือ 

Honda Accord 2.4 (ปี 2003 ) E i-VTEC Sedan AT ราคา 199,000 บาท

Honda City 1.5 ZX (ปี 2006) ZX EV Sedan AT ราคา 159,000 บาท

Honda City 1.5 (ปี 2004) E i-DSi Sedan AT ราคา 149,000 บาท

Ford

Ford Fiesta 1.4 (ปี 2010) Style Hatchback AT ราคา 189,000 บาท

และทั้งหมดนี้ก็คือรถเก๋งมือสองราคาประหยัดครับ สำหรับคนที่ต้องการรถใช้งาน แต่งบในกระเป๋ามีจำกัด รถมือสองถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีครับ แต่การซื้อรถมือสอง ไม่ใช่ดูแค่ราคาแล้วตัดสินใจซื้อเลยนะครับ ควรหาผู้ที่มีประสบการณ์ ที่ดูรถเป็นไปช่วยเลือก จะได้ไม่เจ็บตัวในภายหลังครับ

แต่ถ้าหากท่านใดมีแพลนจะออกรถแล้วต้องการประหยัดงบ ด้วยการซื้อรถมือสอง แล้วละก็แต่ยังไม่มีรถที่ถูกใจ เราขอแนะนำ Apple luxury car (โชว์รูมรถหรูมือสอง) ที่รวม “รถหรูมือสอง” ไว้มากที่สุด คุณภาพดี ราคามิตรภาพ พร้อมโปรโมชั่น และบริการหลังการขายอีกต่างๆมากมาย หรือว่าจะเป็น “รถบ้านมือสอง” ทั่วไปเราก็มีรับรอง รถยนต์มือสอง คุ้มค่ากว่าที่คิดอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >> แนะนำ 6 รถหรูมือสองน่าใช้ในราคาเท่ารถญี่ปุ่น
อ่านเพิ่มเติม >> แนะนำ 7 รถยุโรปหรูมือสองน่าใช้ในราคาซีดานญี่ปุ่น..!!!




Create Date : 06 พฤษภาคม 2563
Last Update : 6 พฤษภาคม 2563 16:32:33 น.
Counter : 1694 Pageviews.

0 comment
รีบจองด่วน! กรมการขนส่งทางบก เปิดอบรม-สอบใบขับขี่ 2563 วันเสาร์-อาทิตย์

เปิดอบรม สอบใบขับขี่ วันเสาร์-อาทิตย์ 2563

 

รีบจองด่วน! กรมการขนส่งทางบก เปิดอบรม-สอบใบขับขี่ 2563 วันเสาร์-อาทิตย์

กรมการขนส่งทางบก ทำการจัดอบรมเสริมความรู้สำหรับผู้ขับขี่มือใหม่หัดขับ โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์ วันเสาร์-อาทิตย์ ปี 2563 จัดอบรมรวม 11 รุ่น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ร่วมสร้างผู้ขับรถหน้าใหม่มีคุณภาพ วินัย และใส่ใจความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนน

นายจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้เปิดเผยข้อมูล เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2563 ที่ผ่านมาว่า กรมการขนส่งทางบกร่วมกับภาคเอกชน ประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท บริดจสโตน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด(มหาชน) และบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด

จัดโครงการอบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ ประจำปี 2563 เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครและอบรม

ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2533 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการขับขี่ที่ปลอดภัย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนน และสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

โดยใช้ระยะเวลา 2 วัน โดย วันเสาร์ อบรมให้ความรู้ด้านกฎหมายจราจรทางบก มารยาทในการขับรถ และเทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ ก่อนเข้ารับการทดสอบข้อเขียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) ส่วนวันอาทิตย์ ทดสอบขับรถในสนามสอบมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก

ซึ่งผู้ผ่านการทดสอบจะได้รับใบอนุญาตขับรถ ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลการอบรมทดสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานและระเบียบเดียวกับการขอรับใบอนุญาตขับรถในวันเวลาราชการ

โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมโครงการออกไปเป็นนักขับรถที่มีคุณภาพ มีวินัย ใส่ใจความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ผ่านมาจัดอบรมแก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศแล้วจำนวนกว่า 50,000 คน

กำหนดการจัดอบรมแก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ ทั้งหมด 11 รุ่น (เฉพาะในกรุงเทพมหานคร)

  • วันที่ 29 กุมภาพันธ์ – วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 21 – วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 25 – วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
  • วันเสาร์ที่ 23 – วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 20 – วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
  • วันเสาร์ที่ 18 – วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 8 – วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 29 – วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563
  • วันเสาร์ที่ 26 – วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563
  • วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม- วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
  • วันเสาร์ที่ 14 – วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2563

ทั้งนี้ ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อน และยื่นใบสมัครล่วงหน้าด้วยตนเองที่ส่วนใบอนุญาตขับรถ อาคาร 4 ชั้น 2 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร

โดยเตรียมหลักฐาน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน และใบรับรองแพทย์ฉบับจริงที่มีอายุไม่เกิน 1 เดือน ติดตามกำหนดการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก (URL: //www.dlt.go.th) สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-2271-8888 ต่อ 4202-3

ทั้งนี้ การขอรับใบอนุญาตขับรถทุกประเภท (ยกเว้นใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ) ต้องดำเนินการด้วยตนเองทุกขั้นตอน ผู้อื่นไม่สามารถดำเนินการแทนได้ อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถขอใบอนุญาตขับรถให้ได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆ นอกจากจะได้รับใบอนุญาตขับรถปลอมแล้ว ยังมีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใช้เอกสารปลอมด้วย รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด

 

อ่านเพิ่มเติม >>> ต่อใบขับขี่ปี 2563 เตรียมเอกสารอะไรบ้าง และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

อ่านเพิ่มเติม >>> อัพเดทปรับข้อสอบใบขับขี่แบบใหม่ ปี 63 เริ่มใช้กุมพาพันธ์นี้

แต่ถ้าหากผู้อ่านสนใจจะเปลี่ยนรถใหม่ หรือมองหารถยนต์ใช้งานสักคันโดนที่ประหยัดงบ และคุ้มค่าเงินมากที่สุด เราก็ขอแนะนำ รถยนต์มือสอง ถือว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงเศรษฐกิจในตอนนี้ หากท่านผู้อ่านสนใจแล้วละก็ไปดูกันเลยที่ Appleluxycar โชว์รูมรถหรูมือสอง ที่รวบรวม “รถยุโรปมือสอง ไว้อย่างมากมาย รวมไปถึง รถบ้านมือสอง ทุกยี่ห้ออีกด้วย




Create Date : 03 พฤษภาคม 2563
Last Update : 3 พฤษภาคม 2563 16:19:44 น.
Counter : 603 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

สมาชิกหมายเลข 5500874
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



รับซื้อรถมือสอง
New Comments
All Blog