Group Blog
 
All Blogs
 

ตะลุยเมืองจีน (3)



ความเดิมตอนที่ 1

ความเดิมตอนที่ 2

DAY V : ปักกิ่ง

กลับมาที่ปักกิ่ง วันที่ 5 นี้เรามีโปรแกรมอยู่ที่ปักกิ่งทั้งวัน และเป็นครั้งแรกที่จะได้สัมผัสปักกิ่งจริงๆจังๆ ตอนเช้าถึงบ่ายมีโปรแกรมไปสัมภาษณ์ที่สถานฑูต หลังจากนั้นมีเวลาว่างก็เลยขับรถชมเมือง และได้ไปดูมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือ "เป่ยจิงต้าเสียว์" เป่ยจิงก็คือปักกิ่ง ต้าเสียว์ (จริงๆเขียนเป็นเสียงภาษาไทยไม่ค่อยถูก) แปลว่ามหาวิทยาลัย ซึ่งเป่ยจิงต้าเสียว์นี้มีชื่อเรียกสั้นๆว่า "เป่ยต้า" เหมือนกับมหาวิทยาลัยที่หยุนหนาน (ยุนนาน) ก็จะเรียกว่า "หยุนต้า"



เป่ยต้าเป็นมหาวิทยาลัยที่สวยไม่แพ้มหาวิทยาลัยในยุโรปหรืออเมริกา มีพื้นที่กว้างขวาง และมีต้นไม้และบึงสวยๆเยอะ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เรียนยาก เข้ายาก มีคนไทยเรียนอยู่พอสมควร

พอผ่านตึกๆหนึ่ง คนขับรถชี้ให้ดูว่าเป็นหอพักที่สมเด็จพระเทพฯเคยมาประทับอยู่ เมื่อครั้งที่มาเรียนภาษาจีนที่เป่ยต้า พูดถึงคนขับคนนี้แล้วก็ทึ่ง เพราะเค้าช่างความรู้รอบตัวดีมาก รู้เรื่องเมืองไทยก็เยอะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการชุมนุมต่อต้านทักษิณ แกก็ชวนคุยเรื่องทักษิณ รู้ว่าบรรพบุรุษของทักษิณมาจากส่วนไหนของจีนอีกด้วยแน่ะ เค้าบอกว่าที่เค้ารู้เรื่องต่างๆนั้นเพราะว่าชอบอ่านหนังสือ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะเวลาเราไปไหนๆกัน กลับมาที่รถจะเห็นเค้าอ่านหนังสือรออยู่เสมอ แล้วเค้าก็บอกว่าคนจีนชอบอ่านหนังสือกันทั้งนั้นแหละ...ไม่เหมือนคนไทยแฮะ ปริมาณการบริโภคกระดาษน้อยกว่าประเทศที่มีระดับการพัฒนาไกล้เคียงกันอย่างมาเลเซียตั้งครึ่งต่อครึ่ง




DAY VI : ปักกิ่ง-ชิงเต่า

ถึงเวลาได้เดินทางกันอีกครั้ง วันนี้มีเวลาว่างตอนเช้า ก็เดินเล่นแถวๆโรงแรม แล้วตอนบ่ายก็ออกเดินทางไปที่เมืองชิงเต่าในมณฑลซานตง ซึ่งอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเหมือนกันแต่ถัดลงไปทางใต้จากปักกิ่ง ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง

เป้าหมายในการไปเมืองชิงเต่าในครั้งนี้ เพื่อจะไปสำรวจท่าเรือ เนื่องจากท่าเรือชิงเต่าเป็นท่าเรือหนึ่งที่สำคัญ และเป็นศูนย์กลางของมณฑลซานตง ซึ่งเป็นมณฑลที่ทำการค้ากับไทยมากเป็นอันดับสี่ รองจากกว่างตง (กวางตุ้ง) เจียงซู และซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) และนัดสัมภาษณ์กับบริษัทลอจิสติกส์ของไทยที่ไปลงทุนที่นั่นด้วย




DAY VII : ชิงเต่า

ชิงเต่าเป็นเมืองที่เราชอบมากที่สุดในทริปนี้ รูปลักษณ์ของเมืองจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนเมืองใหม่ ที่เป็นตึกระฟ้าเหมือนเมืองใหญ่ๆทั่วไป และส่วนที่เป็นเมืองเก่า ที่บ้านเรือนจะออกสไตล์ยุโรปเพราะเคยเป็นเมืองเช่าของเยอรมัน (ต้องย้ำว่าเมืองเช่าไม่ใช่เมืองขึ้น ถ้าพูดว่าเมืองขึ้นคนจีนจะโกรธเอา) ซึ่งส่วนเมืองเก่าบวกกับชายหาดสวยๆ ทำให้ชิงเต่าเป็นเมืองที่น่ารักมากๆ



ที่เห็นเป็นรูปเกลียวพายุสีแดง คืออนุสาวรีย์สำหรับชัยชนะในการขับไล่ญี่ปุน


ด้วยความที่เคยเป็นเมืองของเยอรมัน ทำให้มีเบียร์ยี่ห้อดังคือเบียร์ชิงเต่าหรือคนไทยเรียง "สิงเทา" ซึ่งเป็นโรงงานของเยอรมันและได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีนจนกลายมาเป็นสินค้าประจำเมือง





แล้วเราก็ทำงาน...


เมื่อเสร็จงาน เพื่อนร่วมทางทุกคนก็ใจตรงกันว่าอยากสัมผัสยุโรปในเมืองจีนให้เยอะที่สุด เลยไปทัวร์ปราสาทต่างๆกันในเมืองเก่า

รูปนี้เป็น governer house คือที่พักของฝรั่งเยอรมันที่มาปกครองเมือง เค้าเปิดให้เข้าไปข้างในด้วย ก็ค่อนข้างธรรมดาๆ แต่ข้างนอกน่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตา


จากนั้นก็ไปที่ปราสาทรัสเซีย เป็นปราสาทที่มีหอคอยสูง มองลงมาจะเห็นวิวทะเลของเมือง ตอนปีนบันไดขึ้นไปหนาวมากๆ





กว่าจะกลับออกมาจากปราสาทก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ทุกคนต่างก็เสียดายที่ต้องลาชิงเต่ากันเพียงเท่านี้ เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินทางกลับไปที่ปักกิ่งแต่เช้า









 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 15:30:28 น.
Counter : 4348 Pageviews.  

ตะลุยเมืองจีน (2)



ความเดิมตอนที่ 1

DAY III : ชินหวงเต่า-ซานไห่กวน-ชินหวงเต่า

วันนี้จะได้ไปดูกำแพงเมืองจีนเป็นครั้งแรกในชีวิต

ออกเดินทางจากโรงแรม ประมาณ 15 กม. ก็ถึงซานไห่กวน ซึ่งเป็นส่วนปลายของกำแพงเมื่องจีนด้านสุดตะวันออก

เดินไปบนกำแพง



จนถึงปลายสุดของกำแพงเมืองจีนที่ไปสิ้นสุดที่ทะเล ตรงส่วนปลายมีชื่อเรียกแปลเป็นไทยได้ว่าหัวมังกร แต่จำศัพท์จีนไม่ได้แล้ว



ส่วนของกำแพงที่ยังไม่ได้ทำการบูรณะ


เสียดายที่ไม่สามารถย้อนถ่ายรูปกำแพงเมืองจีนให้เห็นเป็นตัวกำแพงได้ เพราะคงต้องลงไปถ่ายย้อนขึ้นมาจากทะเล เลยได้รูปมาแค่นี้

เมื่อได้ดูหัวมังกรแล้ว ก็เดินทางต่อไปที่ด่านที่ 1 ของกำแพงเมืองจีนเรียกว่า "ตี้อี้กวน" ซึ่งเป็นป้อมทหารที่ยิ่งใหญ่ในช่วงราชวงศ์หมิง ป้อมแห่งนี้มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณเพราะเป็นทางผ่านยุทธศาสตร์ที่สามารถเข้าสู่จีนอีสานและจีนตอนเหนือได้

ระหว่างเดินลอดกำแพง สังเกตุความหนาของกำแพง สมกับเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ





เจอกำแพงส่วนที่ยังไม่ได้บูรณะอีกแล้ว

ดีใจที่ได้เห็นกำแพงของจริง คนที่พาไปบอกว่าเดี๋ยวนี้หาดูได้ยากแล้วเพราะบูรณะหมด โดยเฉพาะส่วนที่นักท่องเที่ยวไปเยอะๆอย่างตรงใกล้ๆปักกิ่ง แต่ที่นี่ยังเป็นชนบทอยู่เลยได้เห็นกำแพงโล้นๆแบบนี้




หมดเวลาเที่ยวแล้ว จากนั้นก็เริ่มทำงาน
เข้าไปที่ซีพี หรือจีนเรียกว่า "เจิ้งต้า"



ก่อนค่ำสำรวจตลาดผลไม้เล็กน้อย


มีรถคล้ายๆรถกะป๊อเมืองไทย น่ารักดี


DAY IV : ชินหวงเต่า-เป่ยไต้เหอ-ชินหวงเต่า-ปักกิ่ง

วันนี้ตอนเช้ามีเวลาว่างนิดหน่อย เพราะรถไฟที่จะออกไปปักกิ่งประมาณเที่ยง เลยให้คนขับรถพาไปโฉบๆชมวิวที่เป่ยไต้เหอ สถานที่พักตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียงมากของจีน ท่านเหมาก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นี่ และเป็นที่ๆจัดการประชุมระหว่างประเทศ รวมไปถึงการประชุมของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูงอยู่บ่อยๆ

ได้ยินกิติศัพท์มาขนาดนี้ก็ตื่นเต้นอยากดู แต่ปรากฎว่าไม่ได้สวยซักเท่าไหร่ ถ้าพูดถึงทะเล ภาคใต้ของเรากินขาดกระจุยกระจาย ซึ่งต่อไปเป่ยไต้เหอคงจะไม่สวยมากขึ้น เพราะเริ่มมีการก่อสร้างรีสอร์ท โรงแรม ให้เห็นมากแล้ว



จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาที่ปักกิ่ง ถึงปักกิ่งก็กำลังโพล้เพล้
ขอปิดท้ายตอนนี้รูปของสถานีรถไฟปักกิ่งก็แล้วกัน















 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2550 17:30:32 น.
Counter : 1109 Pageviews.  

ตะลุยเมืองจีน (1)



ไม่ได้เขียนบล็อกมาปีกว่าๆแน่ะ

กลับมาดูบล็อกตัวเอง รูปหายหมดเลย เลยจัดการ upload ใหม่ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีการเดินทางอยู่ครั้งที่ยังไม่ได้บันทึกไว้ ว่างๆเลยคิดว่าเขียนหน่อยดีกว่าเดี๋ยวจะลืม

เมื่อปีที่แล้ว มีโอกาสได้ไปหาข้อมูลที่เมืองจีนครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นการไปเหยียบเมืองจีนเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกนั่นไปเมื่ออยู่มัธยม กว่าสิบปีมาแล้ว พบว่าเมืองจีนเปลี่ยนไปมากจริงๆ...แต่ถ้าจะหาสิ่งที่เปลี่ยนน้อยที่สุดก็คงจะเป็น...ห้องน้ำ!!

คราวนี้ไปทั้งหมด 8 วัน ใน 2 มณฑลคือ ซานตงและเหอเป่ย กับอีก 1 มหานครคือปักกิ่ง คณะผู้เดินทางมีทั้งหมด 4 สาว พูดภาษาจีนกันได้หมดยกเว้นเรา

จุดประสงค์คือการไปดูเมืองท่าแถบชายฝั่งตะวันออก เส้นทางลำเลียง และท่าเรือต่างๆ การเดินทางคือจะใช้ปักกิ่งเป็นศูนย์กลาง จากปักกิ่งนั่งรถไฟต่อไปที่ชินหวงเต่า กลับมาปักกิ่งอีกที แล้วบินไปที่ชิงเต่า เสร็จธุระแล้วก็กลับมาที่ปักกิ่ง แล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ


DAY I : ปักกิ่ง

ไฟลท์ออกจาก กทม เกือบเที่ยง คราวนี้จัดกระเป๋าเสร็จเร็ว เพราะมีของไปฝากผู้ใหญ่ที่สถานฑูตเต็มไปหมด เลยบังคับให้แพ็คล่วงหน้าไปโดยปริยาย

ถึงปักกิ่งประมาณ 5 โมงเย็น เข้าที่พักแล้วก็เริ่มต้นทำงานทันที โดยการพบและสัมภาษณ์นักธุรกิจไทยคนหนึ่ง ท่านนี้ทำงานบริหารให้กับน้ำตาลมิตรผล ซึ่งลงทุนในมณฑลหนานหนิง และเป็นตัวอย่างของบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จในจีนมาก

คุยกันเสร็จแล้วก็กลับห้อง มาจัดกระเป๋าเล็กสำหรับการเดินทาง 3 วัน 2 คืน เพื่อไปต่อที่ชินหวงเต่า ส่วนกระเป๋าใหญ่ก็ฝากโรงแรมไว้


DAY II : ปักกิ่ง - ชินหวงเต่า

วันนี้ตื่นเช้ามากๆ เพื่อไปขึ้นรถไฟไปที่ชินหวงเต่า แค่เข้าไปในชานชลาก็รู้ฤทธิ์คนเมืองใหญ่ชาวจีน พี่ท่านแต่ละคนรีบร้อนมาก รีบจนไม่สามารถเข้าคิวได้!! จะเจอเบียด เจอแทรก เพื่อเอาตัวไปอยู่ข้างหน้าตลอด

ไปถึงสถานียังมืดๆอยู่เลย สภาพคิดว่าดูดีและสะอาดกว่าสถานีรถไฟเมืองไทยพอสมควร



และแล้วก็พบขบวนรถไฟของเรา


นั่งรถไฟข้ามมณฑลไปที่มณฑลเหอเป่ย ประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงชินหวงเต่า ..อืมม ช่างต่างจากปักกิ่งจริงๆ คือมีคนเคยพูดว่าจริงๆแล้วเมืองต่างๆของจีนนี่มีความหลากหลายมาก และมีระดับการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมและมีช่องว่างอยู่เยอะ มีทั้งจีนจนจีนรวย เลยได้เห็นตัวอย่างกันคราวนี้เอง ถ้าปักกิ่งเป็นจีนรวย ชินหวงเต่านี่คงเป็นจีนจน

ออกมาจากสถานีรถไฟ รถที่จ้างไว้ยังไม่มารับ พวกเราเลยกลายเป็นเป้าสายตาเพราะเห็นชัดว่าไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ๆ มีคนเข้ามาทักสารพัดรูปแบบ ทั้งขอรับจ้างขับรถ เสนอบริการพาเที่ยว ขายแผนที่ จนไปถึงขอตังค์



เมื่อรถมารับแล้ว เราก็เข้าไปเก็บของที่โรงแรม จากนั้นก็ออกไปดูนิคมอุตสาหกรรม



รถขับเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ เจอว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถ่ายรูปกันริมทะเล (ธุรกิจ wedding ที่จีนกำลังฮอตมากค่ะ) สงสารเจ้าสาวมากๆ เพราะมันทั้งหนาว (ต่ำกว่า 10 องศา) ทั้งมีลม เจ้าสาวต้องใส่ยีนส์ไว้ข้างใน แล้วพอเสร็จ 1 แชะ ก็ต้องรีบเอาโค้ทมาใส่



เราเองก็หนาวเหมือนกัน เพราะเอาเสื้อมาไม่พอ ดูพยากรณ์อากาศคิดว่า 8-15 องศานี่เด็กๆ เลยเอาแจ็คเก็ตมาตัวเดียว ที่ไหนได้มาเจอวินด์ชิลเข้าไป หลังๆเลยยอมแพ้นั่งอยู่แต่ในรถ

พอตกเย็น เราก็คิดจะเข้าไปสำรวจตัวเมืองและสำรวจตลาดทั้งในห้างสรรพสินค้าและตลาดสด และจะได้กินข้าว + ซื้อเสื้อกันหนาวในห้างด้วย

ตรงนี้นี่เป็น downtown ที่คึกคักสุดๆแล้ว


มี KFC ด้วย


หน้าห้างมีคนเอาผลไม้มาขายบนทางเท้า สตอร์เบอร์รี่ถูกมาก


กินข้าวเย็นและเดินเล่นนิดหน่อยก็กลับโรงแรม
โปรแกรมวันรุ่งขึ้นจะว่างจนถึคงช่วงบ่าย เลยจะไปดูกำแพงเมืองจีนที่ซานไห่กวน ซึ่งเป็นส่วนปลายสุดทางด้านตะวันออกของกำแพงเมืองจีน เรียกว่าสุดที่ทะเลเลยเชียว




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2550 17:34:40 น.
Counter : 942 Pageviews.  

ฉายเดี่ยวสวิส....(4-สุดท้ายแล้ว)



ความเดิม

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3

Day III-VI : 31/10/05 - 3/11/05

วันที่ 3 - 6 ไม่ค่อยมีอะไรบันเทิง มีแต่ทำงานๆ และเจอเรื่องไม่ค่อยดี..ไปเที่ยวมาออกจะปลอดภัย ดันมาเจออันตรายจากผู้เข้าสัมมนาด้วยกัน...

มีอยู่วัน เค้าพาไปล่องเรือใน Leman Lake ทานอาหารกลางวัน ดีจัง เห็นน้ำพุชัดมาก...น้ำพุชื่ออะไรน้า...Je... เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองเลย



อันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆที่ร่วมประชุม


Day VII : 4/11/05

เล่าข้ามฉากไม่ประทับใจดีกว่า
มาวันสุดท้ายเลยซะงั้น...

วันนี้ตั้งใจจะไปลูเซิร์น นั่งรถไฟไปกลับร่วม 5 ชม. จริงๆแล้วอาจจะมองว่าใช้เวลาไม่คุ้ม แต่อยากไปเมืองนี้มานานแล้ว และหาเวลาที่ลงตัวไม่ได้จริงๆ

Check out จากโรงแรมที่เจนีวา 7 โมง ต้องนั่งรถไฟย้อนไปที่แอร์พอร์ต ลากกระเป๋าใบใหญ่ไปเลย โคตรทุลักทุเล พอไปถึงก็เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่เคาเตอร์เดิมที่ฝากตอนขามาวันแรก จากนั้นก็มีรถไฟตรงไปที่ลูเซิร์นได้เลย

วันนี้อากาศไม่ดี....ถึงลูเซิร์น ฝนตกเล็กๆ ฟ้าเน่า แต่เจอสะพานไม้และหอคอยอันโด่งดัง ก็ต้องควักกล้องมาถ่ายไว้ซะหน่อย


มองไปฝั่งตรงข้ามเจอเมืองลูเซิร์น


สวย...


เดินข้ามสะพาน


แวะเข้าไปที่ tourist info เอาแผนที่เมืองมากางดูจุดที่น่าสนใจ ก็เหมือนเมืองอื่นๆในสวิสที่เล็กและเดินเที่ยวง่าย

ตัดสินใจเดินไกลก่อน อ้อมไปที่อนุสาวรีย์สิงโตบาดเจ็บ สร้างให้เป็นอนุสรณ์แก่ทหารรับจ้างชาวสวิสที่พากันไปตายในการคุ้มกันพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เมื่อตอนปฏิวัติฝรั่งเศส

รูปนี้สวยนะ ได้อารมณ์...ชอบจัง


จากนั้นก็ขึ้นกำแพงเมืองเก่า...เดินขึ้นเขาเหนื่อยแฮก..เห็นเมืองทั้งเมืองจาก top view


เดินลงจากกำแพงเมืองมาที่ถนนชอปปิ้ง เป็นถนนคนเดิน ไม่มีรถผ่าน มีร้านขายของมากมาย นาฬิกาตั้งแต่ swatch ยัน rolex มีร้านเสื้อผ้า รองเท้า ช็อกโกแล็ต บางร้านนี่เซลล์ถูกมากจริงๆ...อยากมีเวลาเดินนานๆกว่านี่อะ..แฮ่


ใกล้ถึงเวลารถไฟออกเต็มที ได้เวลาเดินข้ามสะพานกลับมายังฝั่งสถานีรถไฟ เจอพญาอินทรี เท๊..เท่ 555


ขาไปข้ามสะพานไม้แล้ว ขากลับข้ามสะพานคอนกรีตบ้าง


ถึงหน้าสถานีรถไฟแล้ว...ชานชลาที่ 9 เศษ 3 ส่วน 4 อยู่ไหนนะ..

เจอแล้ว..รถไฟจอดรออยู่เลย ก่อนขึ้นเช็คแล้วเช็คอีกว่าไม่พลาด ต้องถึงเจนีวา 6 โมง 15 เพราะเที่ยวบินกลับบ้าน 2 ทุ่มกว่าๆ


และเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่รถไฟสวิสไม่ตรงเวลา.....!!

แต่ไม่สายไปมากหรอก ถึงแอร์พอร์ตเกือบๆ 6 โมงครึ่ง เห็นมีเวลา เอาเหรียญมานับๆ เหลืออยู่ 2 ฟรังค์ ไหนๆก็แลกไม่ได้แล้วต้องใช้ให้คุ้ม 555 วิ่งเข้า Migros ซื้อช็อกโกแล็ตมาอันนึง

เสร็จแล้วก็ไปเอากระเป๋าจากที่รับฝาก และไปต่อคิว check in เสียเวลาตรงนั้นอยู่นานเกือบครึ่งชม. คนก็ไม่เยอะ ไม่เข้าใจว่ามีปัญหาอะไร พอเสร็จเรียบร้อยก็แทบจะวิ่งเลย ไปถึง gate ปรากฎเครื่องดีเลย์ 10 นาที อืมม ก็พอดีๆ

ขึ้นเครื่องแล้ว..บ๋าย บาย สวิส ..ประเทศสุดสวย ไม่รู้จะได้กลับมาอีกรึเปล่า ถ้าโชคดีมีคนออกตังให้เหมือนคราวนี้ก็คงจะได้มาอีกที..นะ 555

ถือเป็นทริปที่คุ้มค่าทั้งในแง่การงานและส่วนตัว...
รักการเดินทางจริงๆ..








 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2550 16:37:40 น.
Counter : 669 Pageviews.  

ฉายเดี่ยวสวิส....(3)



ความเดิม

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2

Day II : 30/10/05

ตื่นแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัว ลงไป check out แล้วเดินไปสถานีรถไฟ ถึงสถานีตอน 7 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีก 10 นาทีรถไฟจะออก


รถไฟมาแล้ว แอบถ่ายรูปตัวเองผ่านกระจกมีรถไฟเป็นแบคกราวน์มา 1 รูป เย้...มีรูปตัวเองซะที 555


นั่งรถไฟย้อนกลับมาที่อินเทอร์ลาเก้นใช้เวลา 20 นาที มีนักท่องเที่ยวรอขึ้นเขาอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียกับฝรั่งแก่ๆ หนุ่มสวิสหล่อๆไปอยู่ที่ไหนกันหมดหว่า...คนเอเชียหนุ่มสาว ส่วนใหญ่มาเป็นคู่ๆ เห็นแล้วยิ่งตอกย้ำความเหงา

ศึกษาเส้นทางที่ tourist info การขึ้นยุงเฟราย็อค (jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟบนยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรปนั้น ขึ้นได้ 2 ทาง เลยตัดสินใจขึ้นทาง Lauterbrunnen และลงทาง Grinderwald เพราะการต่อรถแต่ละครั้งให้เวลามากหน่อย เข็ดละกับการตกรถไฟ..

ทางขึ้นจากอินเทอร์ลาเก้นไปเลาเทอร์บรุนเนน เป็นทางลัดเลาะในหุบเขา ผ่านลำธาร หมู่บ้านเล็กๆ สวยดี


จากเลาเทอร์บรุนเนนก็ไปลงที่สถานีอีกอันจำชื่อไม่ได้ เป็นสถานีสุดท้ายก่อนขึ้นยุงเฟราย็อค สถานีนี้มีนักท่องเที่ยวหยุดพักมากมาย มีร้านอาหาร เห็นยอดเขาเป็นฉากหลัง สวยงาม

จากนั้นก็ต่อรถไฟเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างทางจะมีจุดแวะชมวิว 2 จุด ให้ดูผ่านกระจก จะเห็นภูเขาและธารน้ำแข็งยาวสุดลูกหูลูกตา


และแล้วก็มาถึงยุงเฟราย็อค รวมเวลาจากอินเทอร์ลาเก้นก็ 2 ชม. พอดี สถานียุงเฟราย็อคนี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีหอคอยหลายอันให้ชมวิว ในอาคารจะมีแผนที่บอกจุดน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างๆ เราสามารถเดินไปตามจุดเหล่านี้ได้ในอาคาร พอไปถึงก็จะมีประตูออกให้ไปดู สะดวกสบายมากๆ จุดที่น่าสนใจก็ได้แก่ Rock Terrace, Sphinx Terrace, Ice Palace, Plateau, Exit to Glacier อันหลังสุดนี้น่าสนใจมากๆ เพราะมีกิจกรรมอะไรให้เล่นเยอะ อย่าง snow disc หรือนั่งเลื่อนน้องหมาฮัสกี้

เห็นทางออกไป Rock Terrace อยู่ตรงหน้าเลยเปิดประตูออกไปก่อน แทบจะร้องว้าว...กับการสัมผัสยุงเฟราครั้งแรก...เข้างหน้าเป็นภูเขาหิมะมีธารน้ำแข็งทอดยาว รอบตัวเป็นสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัด


กลับเข้ามาตัวอาคาร ดูแผนที่อีกที ตัดสินใจไปทางที่ไกลกว่าก่อน คือ Sphinx และ Exit to Glacier

Sphinx ไม่ค่อยต่างจากวิวของ Rock Terrace เท่าไหร่ ส่วน Exit to Glacier นี่ พอเปิดประตูออกไปปุ๊บ เจอทางเดินยาวเหยียด เค้าบอกว่าพวกเครื่องเล่นกับน้องหมาจะอยู่อีกฟากต้องเดินย่ำหิมะไป เอาฟะ เดินก็เดิน


เดินไปได้นิดเดียวอยู่ๆรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเฉยๆ เหนื่อยแทบขาดใจ เลยนั่งพัก เห็นคนแก่ทั้งหลายที่เราเดินแซงมา คราวนี้แซงเราไปฉิวๆ แข็งแรง น่าอิจฉากันเจงๆ

จริงๆได้รับการเตือนและหาข้อมูลมาแล้วว่าการเดินบนยุงเฟราต้องไปอย่างช้าๆ เพราะอากาศมันบางเบามาก เราก็ว่าเราไปช้าแล้วนะ แต่พอเห็นคนที่ขึ้นมาพร้อมกันเพิ่งเดินมาถึงจุดที่เรานั่งพัก ก็แปลว่ายังไปเร็วไปอยู่ดี

แข็งใจเดินต่อ จะไปหาหมาฮัสกี้ ไปจะสุดเนินที่เห็น ปรากฎว่ามีทางเดินต่ออีกเท่านึง..จ๊ากก ถอดใจ..อาการเหนื่อยกลับมาอีกอย่างแรง เลยเดินกลับ มานั่งพักยาวๆเลย (โธ่..น้องหมา..)

นั่งพักซักครู่ ก็รู้สึกดีขึ้น เลยเดินต่อไปที่ Ice Palace เป็นอุโมงค์น้ำแข็ง จากนั้นก็ได้เวลาลงจากเขา ขาลงทาง Grindelwald สวยสู้ขาขึ้นไม่ได้สำหรับเรา ก็ใช้เวลา 2 ชม. เท่ากัน ก็ลงมาถึงอินเทอร์ลาเก้น

รู้สึกไม่สบายเลย...ใจวิ่งไปถึงเจนีวาแล้ว อยากนอนนิ่งๆ อุ่นๆในโรงแรม แต่ยังต้องต่อรถไฟอีกหลายขบวน จากอินเทอร์ลาเก้นไปเบิร์น และจากเบิร์นเข้าเจนีวา...มาถึงเจนีวาแอร์พอร์ทตอน 6 โมงครึ่ง...เหนื่อยมาก ไปเอากระเป๋าใบใหญ่ที่ฝากไว้ ตอนแรกว่าจะหารถไฟนั่งเข้าเมือง แต่หมดแรงผจญภัยจริงๆ เลยเรียกแท็กซี่ เอาชื่อโรงแรมที่ทางผู้จัดการสัมมนาจองไว้ให้เค้าดู เค้าก็บอกไม่ไกล 2-3 กม. เอง เออ..ดีใจจังคงไม่แพง

...ซะเมื่อไหร่....โดนไปเกือบ 40 ฟรังค์ และที่สำคัญ โรงแรมมันห่างจากสถานีรถไฟ main station ของเจนีวาแค่ 10 ก้าว (1 สถานีจากแอร์พอร์ต) เจ็บใจพิลึก

จัดการ Check in ห้องที่เราจะอยู่อีก 5 คืนอยู่ชั้นบนสุด เล็กนิดเดียว ไม่มีความงาม ไม่เหมือนห้องที่เบรียนซ์เลย (แต่คาดว่าแพงกว่าเยอะ) เมืองใหญ่ก็งี้แหละนะ

ศึกษาแผนที่ว่าจากโรงแรมจะไป UN ยังไง เตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ ปรากฎว่าในแผนที่ไม่มีสายรถเมล์หรือรถราง...ไม่เป็นไร เมืองมันเล็ก ระยะทางประมาณกิโลครึ่ง เดินไปก็ได้

แต่ก็ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าหน่อย เพื่อเตรียมตัวในการเดินทาง และเผื่อว่าจะหลงทาง...ส่วนคืนนี้ พอหัวถึงหมอนก็หลับแทบจะในทันที










 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2550 16:27:59 น.
Counter : 784 Pageviews.  

1  2  3  

cirE
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]











Always Forgive but Never Forget

Friends' blogs
[Add cirE's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.