|
นกยางควาย
นกยางควาย Bubulcus ibis (Cattle Egret) เป็นนกยางสีขาวๆที่ดูไม่ค่อยสง่าเหมือนบรรดานกยางสีขาวตัวอื่นๆเนื่องจากมีคอไม่ยาวมาก ขากรรไกรค่อนข้างใหญ่และขาสั้น มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางเพียง 51 เซนติเมตรเท่านั้น
ในชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ นกยางควายจะมีขนคลุมร่างกายสีขาวทั้งตัวเว้นบริเวณหน้าผากมีสีเหลืองทองจางๆ ปากค่อนข้างหนาสีเหลือง ขาและเท้าสีดำ คอค่อนข้างสั้นสำหรับนกยางและอวบหนา ในชุดขนนี้นักดูนกที่ไม่ชำนาญอาจจำแนกสับสนกับนกยางโทนน้อย(Intermediate Egret)ได้ เนื่องจากมีสีสันเหมือนกันแม้ขนาดจะแตกต่างกันมากก็ตาม (ยางควาย 51 ซม.ยางโทนน้อย 71 ซม.) จุดสังเกตนอกเหนือจากขนาดที่อาจวัดได้ยากเมื่อพบคนละทีแล้วก็คือนกยางโทนน้อยไม่มีสีทองจางๆที่หน้าผาก ขากรรไกรไม่อวบหนาเท่า และคอยาวกว่า
ในชุดขนฤดูผสมพันธุ์นกชนิดนี้จะดูสวยและจำแนกได้ง่ายมากๆเพราะหัว คอ หน้าอก และหลังจะมีขนสีเหลืองทองสดใสปกคลุมไปทั่ว ขาที่เคยเป็นสีดำสนิทก็จะมีสีเหลืองหรือสีแดงมาแทนที่ ในช่วงนี้เมื่อจับคู่แล้วนกทั้งสองเพศจะช่วยกันทำรังโดยตัวผู้หาวัสดุซึ่งก็คือกิ่งไม้แห้งที่อาจจะหามาเองหรือขโมยเอาจากรังใกล้ๆ ตัวเมียสร้างรัง เมื่อวางไข่แล้วจะช่วยกันกกไข่ และหาอาหารมาป้อนลูก
แม้ว่าในปัจจุบันเราจะพบนกยางควายได้ในทุกทวีปเว้นแต่แอนตาร์กติกาเท่านั้น แต่จริงๆแล้วนกยางควายมีจุดกำเนิดที่ทวีปอาฟริกาและเอเชีย นกได้เดินทางทั้งด้วยตัวเองและโดยการนำพาของมนุษย์ไปยังที่ใหม่ๆและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีจนกลายเป็นนกที่หาได้ง่ายมากในทุกๆทวีป ตัวอย่างของความสามารถนี้ได้แก่ เมื่อปี พศ.2420 นกเดินทางจากอาฟริกาไปยังอเมริกาใต้ พอปี 2484 ไปถึงสหรัฐอเมริกา ปี 2496 ก็เริ่มทำรังวางไข่ นับจากนั้นมาอีกเพียง 50 ปี นกยางควายก็กลายเป็นนกยางที่มีมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือไปแล้ว
นกยางควายไม่ได้กินปลาเป็นอาหารหลัก หรืออาศัยตามแหล่งน้ำเหมือนอย่างนกยางอื่นๆ แต่มักดำรงชีพด้วยตั๊กแตน และแมลงต่างๆในทุ่งหญ้า(ซึ่งก็มักไม่ค่อยไกลจากแหล่งน้ำนัก) แต่ถ้าไม่มีอะไรให้กินจริงๆ กบ เขียด หรือแม้กระทั่งนกเล็กๆก็เคยถูกนกยางชนิดนี้จับกินมาแล้ว ภาพนกยางควายยืนบนหลังควายหรือสัตว์ใหญ่อื่นๆเพื่อจับกินแมลงที่บรรดาสัตว์ใหญ่นั้นรำคาญและปัดออกเป็นภาพที่คนทั่วโลกเห็นจนชินตา ในสนามบินบางแห่งนกชนิดนี้จะยืนชิดขอบรันเวย์รอให้เครื่องบินบินผ่านทำให้บรรดาแมลงอาหารทั้งหลายปลิวหลุดออกมาจากกอหญ้าและจับกินอย่างอร่อย
สำหรับประเทศไทย เราสามารถพบยางชนิดนี้ได้เสมอตามท้องทุ่งท้องนาข้างทางทั่วประเทศ ภาพนกยางควายในบล็อกนี้ถ่ายมาจากท้องนาข้างถนนแถวลำลูกกาและจากพุทธมณฑลซึ่งเป็นอีกที่หนึ่งที่เราพบนกชนิดนี้ได้ง่ายๆ
ข้อมูล/ค้นเพิ่ม:
//www.enature.com/ //en.wikipedia.org/ //www.nhptv.org/
Create Date : 30 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 30 กันยายน 2549 15:04:06 น. |
Counter : 3818 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกทะเลขาแดงลายจุด
นกทะเลขาแดงลายจุด Tringa erythropus (Spotted Redshank)เป็นนกชายเลนที่จำแนกได้ง่ายชนิดหนึ่งด้วยสีสันแดงสดใสของขา เท้าและจงอยปากที่แหลมยาวแม้จะมีคู่คล้ายที่คล้ายกันมากคือนกทะเลขาแดงธรรมดา(Common Redshank)
นกทะเลขาแดงลายจุดในชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์อย่างที่พบในประเทศไทยนั้นมีขนคลุมลำตัวด้านบนสีเทาอมน้ำตาลมีขอบขนสีขาว หางมีลายขวางสีขาวๆเทาๆ ตะโพกและขนคลุมลำตัวด้านล่างสีขาว โคนปากล่างสีแดงปลายปากดำ ขาและเท้าสีแดง จงอยปากเล็ก ยาว และโค้งลงเล็กน้อยบริเวณปลาย จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ใช้จำแนกนกทะเลขาแดงลายจุดออกจากนกทะเลขาแดงธรรมดาได้อย่างง่ายๆและแม่นยำนอกเหนือไปจากขนาดตัวที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยและอาจไม่สามารถจำแนกด้วยตาโดยเฉพาะเมื่อพบนกคนละที (30 เซ็นติเมตรและ28 เซนติเมตรตามลำดับ) นกตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน
นกทะเลขาแดงลายจุดในชุดขนฤดูผสมพันธุ์จะแตกต่างออกไป ขนคลุมตัวทั้งหมดจะเป็นสีดำและมีจุดสีขาวประปรายทั่วบริเวณขนคลุมลำตัวด้านบน
นกชนิดนี้จะอพยพหนีหนาวจากแหล่งทำรังวางไข่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสแกนดิเนเวียไปจนถึงไซบีเรีย ไปยังยุโรปตอนล่าง อาฟริกา จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในบางครั้งก็อาจไปจนถึงทวีปอเมริกาได้ด้วย สำหรับประเทศไทยจะพบได้ในช่วงฤดูหนาวราวเดือนตุลาคมถึงมีนาคม โดยพบได้ทั้งตามแหล่งน้ำจืดที่มีโคลนเลน ทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขัง บ่อปลา บ่อกุ้ง นาเกลือ หาดเลนตามชายฝั่ง จะเห็นว่านกชอบที่ที่เป็นโคลนเลนมากกว่าหาดทราย เพราะมีอาหารที่เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเล็กๆ กุ้ง หนอนอาศัยอยู่มากมาย
นกทะเลขาแดงลายจุดนี้เจ้าของบล็อกถ่ายภาพมาจากหลายที่ ทั้งที่นาเกลือที่ตำบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร และที่โครงการฯแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ภาพที่เห็นยกปีกขึ้นนี้ถ่ายเมื่อราวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นกเปลี่ยนชุดขนเป็นชุดขนผสมพันธุ์เป็นบางส่วนแล้วสังเกตจากลำตัวด้านล่างไม่เป็นสีขาวปลอดอย่างในชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์
มีข้อมูลเกี่ยวกับนกชนิดนี้มากมายหลายที่ เช่น
//en.wikipedia.org/ //identify.whatbird.com/ //www.rspb.org.uk/
Create Date : 28 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 29 กันยายน 2549 7:43:25 น. |
Counter : 3369 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกพริก
นกพริก Metopidius indicus (Bronze-winged Jacana) เป็นนกชนิดเดียวในโลกที่อยู่ในสกุลนกพริก(Genus Metopidius) และมีผู้ร่วมวงศ์ Jacanidae ในประเทศไทยเพียงอีกชนิดเดียวคือนกอีแจว (Pheasant-tailed Jacana)มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหาง 29 เซนติเมตร
ตัวเมียรูปร่างหน้าตาเหมือนแต่ตัวโตกว่าตัวผู้ ลำตัวส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีดำเหลือบ หลังและปีกสีบรอนซ์อมเขียวมะกอก ขนคลุมโคนหางด้านบน ด้านล่างและหางสีน้ำตาลแดงอมม่วง ซึ่งเห็นได้ไม่ชัดเจนนักในสนาม จุดเด่นคือแถบสีขาวเหนือตาไปจนเกือบถึงท้ายทอย ปากสีเหลือง โคนปากมีสีแดง มีแผ่นเนื้อหน้าผากสีเทา มีขายาวปานกลาง นิ้วเป็นนิ้วระดับ และยาวมาก ยื่นไปข้างหน้า 3 นิ้ว ไปข้างหลัง 1 นิ้วโดยนิ้วหลังอยู่ระดับสูงกว่านิ้วหน้าเล็กน้อย เล็บเท้ายาวมาก และเล็บเท้าหลังยาวเป็นพิเศษ คือยาวกว่าตัวนิ้วเองเสียอีก นิ้วที่ยาวมากนี้ช่วยในการทรงตัวเมื่อเดินไปบนพืชน้ำเช่นจอกหูหนู สาหร่าย บังสาย และกระจับเป็นต้น
นกพริกเป็นนกที่หากินกลางวัน โดยจะเดินหากินบนแพพืชลอยน้ำได้โดยไม่จม ขณะเดินหากินก็กระดกหางขึ้นลงตามจังหวะไปด้วย เนี่องจากเป็นนกที่หากินในพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เราจึงอาจพบนกชนิดนี้เพียงครั้งละ1-2ตัวเท่านั้น เราจะพบนกพริกหากินแมลงและสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่นลูกปู ลูกกุ้ง หอยขนาดเล็ก และกินเมล็ดพืช หาอาหารโดยจิกพืชที่ลอยอยู่ให้พลิกขึ้นแล้วจับอาหารที่ติดมากับใบหรือรากพืช หรือจิกแมลงตามยอดพืชเช่นแมลงปอ โดยสถานที่ที่จะพบนกชนิดนี้มักเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ บึง คลอง ทุ่งโล่งที่มีน้ำขังตลอดปี มีพืชลอยน้ำหนาแน่น ตั้งแต่พื้นราบจนถึงที่ความสูง1000เมตรจากระดับน้ำทะเล
ช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือน ตุลาคม เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ของนกพริก นกชนิดนี้ทำรังบนพืชลอยน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆที่ตนเองอาศัยโดยนกตัวเมียจะใช้ปากจิกพืชน้ำมาวางซ้อนกัน2-3ชั้น ทำตรงกลางเป็นแอ่งวางไข่ มีน้ำซึมถึงแอ่งที่รองรับไข่
ดูภาพรังนกพริก คลิกที่นี่
เมื่อถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตัวเมียที่ตัวใหญ่กว่าจะมีสีสันสดใส เหลือบมันวาว และเป็นผู้เกี้ยวพาราสีตัวผู้ เมื่อจับคู่กันแล้ว ตัวเมียจะค่อยๆวางไข่วันละฟอง จนครบ 3-4 ฟอง นกตัวผู้จะกกไข่ทันทีตั้งแต่วันแรก แต่จะกกเฉพาะตอนกลางคืน เว้นในวันที่อากาศเย็นก็จะฟักตอนกลางวันด้วย ช่วงที่ยังไข่ไม่หมด นกตัวเมียจะอยู่ใกล้ๆรัง พอวางครบก็จะจากไปเพื่อจับคู่กับตัวผู้อื่นต่อไป
นกตัวผู้รับหน้าที่กลับไข่และฟักไข่ตามลำพังเป็นเวลา 24-26 วัน เมื่อลูกนกฟักออกจากไข่ 2-3 ชั่วโมงก็ออกเดินได้พ่อนกก็จะคาบเปลือกไข่ไปทิ้งให้ไกลจากรัง เมื่อลูกนกฟักครบทุกตัวพ่อนกก็จะพาลูกออกเดินหากินจนลูกนกโตพอที่จะหาอาหารและบินได้ ราว 6-8 สัปดาห์ ก็จะออกหากินเอง หรือรวมเป็นฝูงกับครอบครัวอื่นต่อไป
ดูภาพลูกนกพริก คลิกที่นี่
นกพริกเป็นนกประจำถิ่นของอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยเราจะพบนกพริกได้ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วไปทุกภาคเว้นภาคตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับนกพริกตัวนี้ ถ่ายภาพมาจากแหล่งน้ำข้างทาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ข้อมูลจาก:
www.bird-home.com
หนังสือ A Guide to the Birds of Thailand โดย นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล และ Philip D. Round
Create Date : 27 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 27 สิงหาคม 2549 20:15:34 น. |
Counter : 8399 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|