บันทึกของ เอ้ [ Sorawich] diary การเดินทาง ท่องเที่ยว ภาพถ่าย สถานที่ท่องเที่ยว ทะเล ภูเขา อาหาร โรงแรม รีสอร์ท ที่พัก สนามกอล์ฟ เรื่องบันเทิง ศิลปะ ดนตรี เก็บข่าวที่สนใจ และ เรื่องราวที่ผ่านมาในชิวิต professional photographer ,wedding photography, magazines, agencies, corporations , , Advertising, Architecture, Glamour, Catalogues, Documentary, Editorial,Entertainment,Events/Conferences, Executive Portraits, Fashion, Food, Commencement/Graduation, Interiors, Landscape, Lifestyle, People, Photojournalism, Portrait, Public Relations, Resorts/Hotels,golf event,golf courses,golf resorts , Sports, Stock, Travel
Group Blog
 
All blogs
 

ใบจอง (น.ส. 2) คืออะไร?

ใบจอง หรือ น.ส.2 คือหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อเป็นการแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว ซึ่งรัฐออกให้แก่บุคคลผู้ประสงค์จะได้ที่ดิน ของรัฐเป็นของตน โดยบุคคลผู้นั้นได้เสนอความต้องการของตนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควรก็จะอนุญาตให้เข้าครอบครองที่ดิน และออกใบจองให้ไว้เป็นหลักฐาน



การออกใบจองมีได้ 2 กรณี คือ

กรณีที่ 1 การจัดที่ดินของรัฐให้แก่ประชาชน เรียกว่า "การจัดที่ดินผืนใหญ่" ซึ่งเป็นการจัดที่ดินที่มีเนื้อที่ติดต่อกันตั้งแต่ 1,000 ไร่ตามมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

กรณีที่ 2 ราษฎรขอจับจองที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อย หรือที่เรียกว่า "ที่ดินหัวไร่ปลายนา" เป็นกรณีที่ราษฎรขอจับจองที่ดินตามมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สภาพของที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อย ได้แก่ ที่ดินของรัฐที่มีเนื้อที่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งอาจจะมีพื้นที่กระจัดกระจายไม่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน หรือที่ดินที่มีเนื้อที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน

กรณีที่ดินหัวไร่ปลายนา ได้แก่ ที่ดินที่อยู่ติดต่อกับที่ดินซึ่งมีการทำประโยชน์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะติดต่อกับที่ดินของผู้ขอเอง หรือติดต่อกับที่ดินของผู้อื่น เรียกว่าที่ดินหัวไร่ปลายนาทั้งสิ้น จะมีอยู่ทั่วไปแปลงละไม่กี่ไร่ ให้จัดให้เข้าทำประโยชน์ได้ไม่เกิน 50 ไร่ หากเกิน 50 ไร่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย แต่ต้องไม่เกิน 100 ไร่

ผู้มีใบจองจะต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินภายใน 6 เดือนนับแต่วันได้รับใบจอง ทั้งจะต้องทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับใบจอง และจะต้องทำประโยชน์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 75 ของที่ดินที่จัดให้ ที่ดินที่มีใบจองนี้ ถ้ายังไม่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จะโอนให้แก่บุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม เมื่อทำประโยชน์ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ก็มีสิทธินำใบจองนั้นมาขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3, น.ส.3 ก. หรือ น.ส.3 ข) หรือโฉนดที่ดินได้ แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดินนั้นจะต้องตกอยู่ในบังคับห้ามโอนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด



แบบของใบจอง มี 2 แบบ คือ แบบ น.ส. 2 และ น.ส. 2 ก.

*

แบบ น.ส.2 ใช้ในการออกใบจองในท้องที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้ประกาศ ยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งประจำอำเภอตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528
*

แบบ น.ส.2 ก. ใช้ในการออกใบจองในท้องที่อื่นนอกจากที่กล่าวไว้ข้างต้น



คำถาม-คำตอบที่ควรรู้

ถาม การเปลี่ยนตราจองเป็นโฉนดที่ดิน

1. เมื่อรังวัดใหม่เป็นโฉนดที่ดินปรากฏว่า ได้รูปแผนที่และเนื้อที่แตกต่างจากตราจองเดิม อยากทราบว่า เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องสั่งแก้รูปแผนที่และเนื้อที่ ก่อนออกเป็นโฉนดที่ดินใหม่หรือไม่ อย่างไร.

2. จะต้องสร้างใบไต่สวน (น.ส. 5) หรือไม่อย่างไร

3. หากที่ดินมีภาระผูกพัน เช่นจำนอง ฯลฯ จะจดแจ้งหรือหมายเหตุในเรื่องเดิมอย่างไร?

ตอบ ตามคำถาม ไม่ทราบว่าเป็นตราจองประเภทใด จึงขอตอบเป็น 2 กรณี ดังนี้

1. ตราจอง ซึ่งยังมิได้ตราไว้ว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" ถือเป็นหลักฐานที่ดินตาม ข้อ 7 (2) แห่งประมวลกฎกระทรวงฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537 ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เมื่อนำมาขออกโฉนดที่ดินเฉพาะราย ก็ทำให้การรังวัดทำแผนที่และสอบสวนตามวิธีการรังวัดและการสอบสวนสิทธิเพื่อออกโฉนดที่ดิน หากปรากฏว่าได้รูปแผนที่และเนื้อที่แตกต่างจากตราจองเดิม อนุโลมให้ถือปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0719/ว 25478 ลงวันที่ 22 กันยายน 2541 เรื่อง การออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของเจ้าพนักงานที่ดิน ที่จะพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมแก่กรณีต่อไป โดยขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏในแต่ละเรื่อง ส่วนกรณีตราจองมีรายการภาระผูกพัน ให้ยกรายการดังกล่าวมาจดแจ้งไว้ในโฉนดที่ดินด้วย ตามความในมาตรา 59 จัตวา แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

2. ตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินประเภทหนึ่ง ตามนัยมาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เช่นเดียวกับโฉนดที่ดิน กรมที่ดินได้ซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้ ตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0619/ว 15111 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2539 เรื่อง การรังวัดเปลี่ยนโฉนดตราจอง หรือตราจองที่ว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" เป็นโฉนดที่ดินว่า การรังวัดเปลี่ยนโฉนดตราจอง หรือตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" เป็นโฉนดที่ดินมิใช่การรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่เป็นการรังวัดสอบเขตที่ดิน ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อเปลี่ยนประเภทหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ และเพื่อให้ทราบที่ตั้งแนวเขตที่ดินเท่านั้น ดังนั้น ในการรังวัด ถ้าปรากฏว่าการครอบครองไม่ตรงกับแผนที่หรือเนื้อที่ในโฉนดที่ดิน เมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเยงได้รับรองแนวเขตแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจแก้ไขแผนที่หรือเนื้อที่ให้ตรงกับความเป็นจริงได้ เว้นแต่จะเป็นการสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย และไม่ต้องสร้างใบไต่สวน (น.ส. 5) ตามนัยเหตุผลข้างต้น ส่วนกรณีมีภาระผูกพัน ให้ถือปฏิบัติตาม มาตรา 59 จัตวา แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว

ถาม แก้ชื่อผู้ขอจับจองในใบจอง ด้วยนางมิ่ง จักรบุตร ได้ขอแก้ไขเปลี่ยนชื่อ ใบจอง จากชื่อเดิม (นายบุญ บุตราช) เป็นชื่อนางมิ่ง จักรบุตร ที่ สำนักงานที่ดิน สาขา อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ยื่นเรื่องขอแก้ไข ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2550 บัดนี้ยังไม่ดำเนินการให้แต่อย่างใด จึงขอทราบผลการแก้ไขชื่อผู้ขอจับจอง ว่าดำเนินการถึงขั้นตอนใดแล้ว

ตอบ ใบจอง (น.ส. 2) คือ หนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราว ที่ออกให้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดว่าต้องทำประโยชน์ในเวลาที่กำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่รับใบจอง และจะต้องทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี ดังนั้น เมื่อรัฐได้จัดให้บุคคลใดเข้าครอบครองในที่ดินแปลงใดแล้ว จะโอนสิทธิในการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานใบจองให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการตกทอดทางมรดกเท่านั้น

ถาม รบกวนสอบถามเรื่องใบจองที่ดินค่ะ(ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า) คือ มีคนจะขายที่ดินที่มีใบจองให้ค่ะ และดิฉันกำลังจะตัดสินใจซื้อเพื่อทำสวน และปลูกบ้านพักรับรอง อยากทราบว่า 1. ไม่รู้ว่าซื้อไปแล้วจะมีปัญหาหรือเปล่า 2.ใบจองมีโอกาสที่จะออกโฉนดได้หรือเปล่าค่ะ 3.และถ้าจะทำสวน ทำไร่ และปลูกบ้านพักรับรอง (หรือรีสอร์ท) จะมีปัญหาหรือเปล่า และปัญหาคืออะไร ตอบด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ

ตอบ ใบจอง ไม่สามารถทำการซื้อขายได้ จะตกทอดได้แต่ทางมรดกเท่านั้น

ถาม พนักงานเจ้าหน้าที่จะจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกลงในใบจองตามมาตรา 82 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้หรือไม่?

ตอบ ตามมาตรา 82 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติไว้เฉพาะการจดทะเบียนลงชื่อ ผู้จัดการมรดกในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงมีกรณีพิจารณาว่า ใบจองถือเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๑ คำว่า “สิทธิในที่ดิน” หมายความว่ากรรมสิทธิ์และให้หมายความรวมถึงสิทธิครอบครองด้วย และคำว่า “ใบจอง” หมายความว่า หนังสือแสดง การยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราว ประกอบกับมาตรา ๖๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้บัญญัติว่า “ถ้าโฉนดที่ดิน ใบไต่สวน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือใบจอง ฉบับสำนักงานที่ดินเป็นอันตราย ชำรุด สูญหาย ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ มีอำนาจเรียกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวจากผู้มีสิทธิในที่ดินมาพิจารณาแล้วจัดทำขึ้นใหม่………….” ใบจองจึงถือได้ว่าเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง พนักงานเจ้าหน้าที่จึงชอบที่จะจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกลงในใบจอง ตามนัยมาตรา ๘๒ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้ (สรุปโดย กลุ่มพิจารณาปัญหาข้อหารือและร้องเรียน ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนที่ดิน สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน; มีนาคม 2549)



ที่มา: กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย




 

Create Date : 01 มกราคม 2554    
Last Update : 1 มกราคม 2554 10:38:04 น.
Counter : 1364 Pageviews.  

ประเภทของเอกสารสิทธิ ที่ดิน

แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑)
แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) คือใบแจ้งการครอบครองที่ดินเป็นหลักฐานว่าผู้ครอบครองเป็นผู้แจ้งว่า ตนครอบครองที่ดินแปลงใดอยู่ (แต่ปัจจุบันไม่มีการแจ้ง ส.ค.๑ อีกแล้ว) ส.ค.๑ ไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิที่ดิน เพราะไม่ใช่หลักฐานที่ทางราชการออกให้เพียงแต่เป็นการแจ้งการครอบครองที่ดิน ของราษฎรเท่านั้น ดังนั้นตามกฎหมาย ที่ดินที่มี ส.ค.๑ จึงทำการโอนกันได้เพียงแต่แสดงเจตนาสละการครอบครองและไม่ยึดถือพร้อมส่งมอบ ให้ผู้รับโอนไปเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นการโอนกันโดยชอบแล้ว ผู้มี ส.ค.๑ มีสิทธินำมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) ได้ 2 กรณี คือ
กรณีที่ ๑ นำมาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั่ว ประเทศ กรณีนี้ทางราชการจะเป็นผู้ออกให้เป็นท้องที่ไป โดยจะมีการประกาศให้ทราบก่อนล่วงหน้า
กรณีที่ ๒ นำมาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) เฉพาะราย คือกรณีที่เจ้าของที่ดินมีความประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ ก็ให้ไปยืนคำขอ ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินตั้งอยู่เฉพาะการออกโฉนดที่ดินนี้ จะออกได้ในพื้นที่ที่ได้สร้างระวางแผนที่สำหรับออกโฉนดที่ดินไว้แล้วเท่า นั้น


ใบจอง (น.ส. ๒)
ใบจอง คือหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อเป็นการแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำ ประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว ซึ่งใบจองนี้จะออกให้แก่ราษฎรที่ทางราชการได้จัดที่ดินให้ทำกินตามประมวล กฎหมายที่ดิน ซึ่งทางราชการจะมีประกาศเปิดโอกาสให้จับจองเป็นคราว ๆ ในแต่ละท้องที่และผู้ต้องการจับจองควรคอยฟังข่าวของทางราชการ

ผู้มีใบจองจะต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนต้องทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับใบจองและจะต้องทำประโยชน์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๗๕ ของที่ดินที่จัดให้ ที่ดินที่มีใบจองนี้จะโอนให้แก่บุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก เมื่อทำประโยชน์ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ก็มีสิทธินำใบจองนั้นมาขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) หรือโฉนดที่ดินได้แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดินนั้นจะต้องตก อยู่ในบังคับห้ามโอนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด


หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข)
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข) หมายความว่าหนังสือรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว
น.ส. ๓ ออกให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่ไม่มีระวาง มีลักษณะเป็นแผนที่รูปลอย ไม่มีการกำหนดตำแหน่งที่ดินแน่นอน หรือออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ ซึ่งรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวล กฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออก)
น.ส. ๓ ก. ออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่ดินในระวางรูปถ่ายทางอากาศ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออกให้)
น.ส. ๓ ข. ออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ และรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมาย ที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้ว (เจ้าพนักงานที่ดิน เป็นผู้ออก)


ใบไต่สวน (น.ส. ๕)
ใบไต่สวน คือหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดินเป็นหนังสือแสดงให้ทราบว่าได้มี การสอบสวนสิทธิในที่ดินแล้ว สามารถจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ใบไต่สวนไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ แต่สามารถจดทะเบียนโอนให้กันได้
ถ้าที่ดินมีใบไต่สวนและมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แสดงว่าที่ดินนั้นนาย อำเภอได้รับรองการทำประโยชน์แล้ว เมื่อจดทะเบียนโอนจะต้องจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก่อน แล้วจึงมาจดแจ้งหลังใบไต่สวน แต่ถ้าใบไต่สวนมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) หรือไม่มีหลักฐานที่ดินใด ๆ และเป็นที่ดินที่นายอำเภอยังไม่รับรองการทำประโยชน์ จะจดทะเบียนโอนกันไม่ได้ เว้นแต่เป็นการจดทะเบียนโอนมรดก


โฉนดที่ดิน
โฉนดที่ดิน คือหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งออกให้ตามประมวลกฎหมายที่ดินปัจจุบัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และตราจองที่ว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" ซึ่งออกให้ตามกฎหมายเก่า แต่ก็ถือว่ามีกรรมสิทธิ์เช่นกัน
ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ถือว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์เช่น มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดิน มีสิทธิจำหน่าย มีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย


ประโยชน์ของโฉนดที่ดิน

*

ทำให้ผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินยึดถือไว้เป็นหลักฐาน
*

ทำให้เกิดความมั่นคงในหลักกรรมสิทธิ์แก่ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน
*

ใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของตนทั้งต่อรัฐและในระหว่างเอกชนด้วยกัน
*

ทำให้รู้ตำแหน่งแหล่งที่ตั้ง ตลอดจนขอบเขตและจำนวนเนื้อที่ของที่ดินแต่ละแปลงได้ถูกต้อง
*

ทำให้สามารถป้องกันการบุกรุกขยายเขตครอบครอง เข้าไปในที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ที่สงวนหวงห้าม ที่สาธารณประโยชน์ และที่ดินที่ทางราชการได้กันไว้เป็นเขตป่าไม้
*

ทำให้สามารถระงับการทะเลาะวิวาท การโต้แย้ง หรือแย่งสิทธิในที่ดินหรือการรุกล้ำแนวเขตที่ดินซึ่งกันและกัน
*

ทำให้ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตทางเศรษฐกิจ มีความมั่นคงและมีผลเป็นการลดต้นทุนการผลิตด้วย
*

ทำให้เกิดความรักและความห่วงแหนที่ดินของตน มีแรงจูงใจที่จะปรับปรุงและพัฒนาที่ดินของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
*

ใช้เป็นหลักฐานแสดงทุนทรัพย์หรือหลักประกันใน การขอสินเชื่อ และกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้เป็นทุนในการเพิ่มกำลังการผลิตและรายได้เพื่อยก ฐานะความเป็นอยู่ให้สูงขึ้น
*

ใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล ฯลฯ
*

การตรวจสอบหลักฐานสำหรับที่ดิน สำหรับที่ดินที่เป็นโฉนดกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่ ประสงค์จะจำหน่าย จ่าย โอน เนื่องจากการโอนที่ดินที่มีโฉนดที่ดินไม่ต้องประกาศ เว้นแต่มรดก


การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์

*

การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เช่น การนำที่ดินไปซื้อขาย ยกให้ แลกเปลี่ยน จำนอง ขายฝาก ฯลฯ จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินตั้งอยู่
*

การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทีดินที่มีหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอที่ที่ดินตั้งอยู่ การทำนิติกรรมนั้น จึงจะมีผลตามกฎหมาย เว้นแต่ได้ยกเลิกอำนาจนายอำเภอเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จะต้องไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่


คำเตือน
เอกสารสำคัญทั้งหมดนี้แม้จะแสดงถึงการเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าบุคคลอื่นแล้วก็ ตาม ถ้าหากท่านปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน กล่าวคือ ถ้าเป็นที่ดินที่โฉนดที่ดิน ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 10 ปี และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ๕ ปีติดต่อกัน ที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของรัฐตามกฎหมาย หรือถ้าหากปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองโดยสงบเปิดเผย โดยมีเจตนาเอาเป็นเจ้าของโดยท่านไม่เข้าขัดขวาง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเป็นเวลา ๑๐ ปีติดต่อกันบุคคลที่เข้าครอบครองนั้นก็จะมีสิทธิไปดำเนินคดีทางศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบ ครองได้ และที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) ใช้เวลาแย่งการครอบครองเพียง ๑ ปีเท่านั้น ท่านก็จะเสียสิทธิ ดังนั้นเมื่อที่ดินของท่านมีเอกสารสำคัญดังกล่าวอยู่แล้ว ก็ควรทำประโยชน์และดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินก็จะเป็นของท่าน และเป็นมรดกที่มีค่าให้แก่ทายาทของท่านต่อไป
ที่มา : กรมบังคับคดี




 

Create Date : 01 มกราคม 2554    
Last Update : 1 มกราคม 2554 10:37:10 น.
Counter : 413 Pageviews.  

มอง มอง มอง (ข้อคิดจากท่านพุทธทาสภิกขุ)





 

Create Date : 19 ธันวาคม 2553    
Last Update : 19 ธันวาคม 2553 13:24:36 น.
Counter : 505 Pageviews.  

เส้นทางเพลงเพื่อชีวิต จาก พ.ศ.2480 ถึงปัจจุบัน

เส้นทางเพลงเพื่อชีวิต จาก พ.ศ.2480 ถึงปัจจุบัน

ประเภทของ เพลงไทยในประวัติศาสตร์

แนวเนื้อหาเพลงไทยสากลในยุคแรก ช่วงทศวรรษ 2480 ถึงทศวรรษ 2490 ครูนารถ ถาวรบุตร บรมครูนักแต่งเพลงแบ่งออกเป็น

1. กลุ่มเพลงปลุกใจ ให้รักชาติ รักความเป็นไทย
2. กลุ่มเพลงรัก ครูนารถเรียก “เพลงประโลมโลกย์”
3. กลุ่มเพลงชีวิต ยุคนั้นยังไม่เรียก “เพลงเพื่อชีวิต” คือเพลงที่หยิบยกเอารายละเอียดชีวิตของคนในอาชีพต่างๆ มาพรรณนาด้วยคำร้องที่เรียบง่ายแต่กินใจ มุ่งสะท้อนสภาพทางสังคมและเสียดสีการเมืองบ้างพอสมควร อันถือได้ว่าเพลงชีวิตคือ “รากฐาน” ของเพลงลูกทุ่งและเพลงเพื่อชีวิตในเวลาต่อมา

นั่นคือหลังจากปี พ.ศ.2500 มาแล้ว จึงมีการแบ่งเพลงไทยสากลออกเป็น

1. เพลงลูกกรุง เช่นเพลงของ สุนทราภรณ์, สุเทพ วงศ์กำแหง, ชรินทร์ นันทนาคร ฯลฯ
2. เพลงลูกทุ่ง เช่นเพลงของ สุรพล สมบัติเจริญ ฯลฯ โดยคำว่า “เพลงลูกทุ่ง” ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 2507 เมื่อมีรายการโทรทัศน์ทางช่อง 4 บางขุนพรหม รายการหนึ่งตั้งชื่อรายการว่า “เพลงลูกทุ่ง” และจนกระทั่งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อประชาธิปไตยเบ่งบานจึงเริ่มมีเพลงประเภทที่ 3 เรียกว่า “เพลงเพื่อชีวิต” เกิดขึ้นจากแนวคิดศิลปะต้องรับใช้ประชาชน ซึ่งปรากฏในหนังสือ “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ของจิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้า ซึ่งขบวนการนักศึกษาให้ความยอมรับนับถือ

การแบ่งประเภทของ “เพลงไทยสากล” ออกเป็น 3 ประเภทกว้างๆ คือ ลูกทุ่ง ลูกกรุง และเพื่อชีวิต ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน

ทั้ง นี้แม้ว่าเนื้อหาของเพลงลูกทุ่งจะพัฒนาไปอย่างหลากลาย ทั้งตลกขบขัน รักหวานชื่น หัวอกขื่นขม สองแง่สามง่าม เสียดสีสังคม ฯลฯ ขณะที่เพลงเพื่อชีวิตก็แตกแขนงทางเนื้อหาสาระและแนวดนตรีออกไปมากเช่นกัน

แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่า ทั้งเพลงลูกทุ่งและเพลงเพื่อชีวิตในปัจจุบันล้วนมีรากฐานมาจาก “เพลงชีวิต” ที่ศิลปินชั้นครูอย่าง แสงนภา บุญราศรี, เสน่ห์ โกมารชุน, ไพบูลย์ บุตรขัน, คำรณ สัมบุณณานนท์ ได้บุกเบิกรังสรรค์ไว้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 2480-2490 นั่นเอง


ปฐมบทเพลงเพื่อชีวิต เผยตำนาน “แสงนภา บุญราศรี” ราชาเพลงชีวิตผู้ถูกลืม

แสงนภา บุญราศรี อดีตราชาละครร้องยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 บุกเบิกแต่งเพลงไทยสากลที่สะท้อนชีวิตชนชั้นล่างของสังคมเป็นครั้งแรกช่วง ทศวรรษ 2480 เรียกกันว่า “เพลงชีวิต” เพลงเอกของเขานำ้วงเวลาที่ “เพลงเพื่อชีวิต” ของ หงา คาราวาน, แอ๊ด คาราบาว, พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ฯลฯ ได้รับความนิยมถึงขีดสุด ก็อาจกล่าวได้ว่า แสงนภา บุญราศรี รังสรรค์ผลงานในแนวนี้มาก่อนถึงราวครึ่งศตวรรษ และหากจะนับระยะห่างจากห้วงเวลาที่เพลงลูกทุ่งอย่างเพลง “น้ำท่วม” ของ ศรคีรี ศรีประจวบ, “อีสานแล้ง” ของ แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ โด่งดังเป็นที่รู้จัก แสงนภาก็ได้นำเสนอเนื้อหาเพลงเกี่ยวกับชนบทไว้ในเพลง “คนปาดตาล” และอีกหลายเพลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่เพลงลูกทุ่งในระยะหลัง พัฒนารูปแบบและเนื้อหาไปหลากหลายมากกว่าเพลงชีวิตของแสงนภา

หากจะกล่าวว่า “มนต์การเมือง” ที่ครูสุเทพ โชคสกุล แต่งให้ คำรณ สัมบุณณานนท์ ขับร้อง (ในราวปี 2495) และแอ๊ด คาราบาว นำมาขับร้องใหม่ (ในปี 2532) เป็นเพลงเสียดสีนักการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาเป็นเพลงแรก ทว่า…เนื้อหาเกี่ยวกับการซื้อเสียงของ ส.ส. และการคอร์รัปชั่นโกงกินกระทั่งจอบและเสียมของเสนาบดีผู้ฉ้อฉล ปรากฏอยู่ในเนื้อหาเพลง “แป๊ะเจี๊ยะ” และเพลง “พรานกระแช่” ของแสงนภามาก่อนหน้าปี 2490 แล้ว

แสง นภา บุญราศรี ไม่เพียงร้องและแต่งเพลงเอง แต่เขายังใช้ประสบการณ์จากการที่เคยเป็นดาราละครร้องมาบุกเบิกการแสดงรีวิว ประกอบเพลง เช่น เมื่อร้องเพลง “คนปาดตาล” ก็แต่งชุดคนปาดตาล สมจริงสมจัง เมื่อร้องเพลง “คนลากรถขยะ” ก็นำรถขยะขึ้นเวทีประกอบบทเพลงด้วย เป็นต้นแบบให้ศิลปินรุ่นหลังอย่างเสน่ห์ โกมารชุน และคำรณ สัมบุณณานนท์

การบันทึกแผ่นเสียงเพื่อการเผยแพร่ผลงานเพลงในยุคนั้น ต้องบันทึกลงแผ่นเสียงแบบ 78 รอบต่อ 1 นาที หรือ “แผ่นครั่ง” ซึ่ง ความยาวไม่เกิน 3.15 นาที แต่เพลงของแสงนภาทุกเพลงยาวกว่า 4 นาทีขึ้นไป เขายืนหยัดที่จะแต่งเพลงยาวเช่นนี้ โดยไม่คำนึงถึงการบันทึกแผ่นเสียง แล้วเผยแพร่ผลงานของตนเองด้วยการตระเวนร้องเพลงตามสถานีวิทยุและตามงานต่างๆ พร้อมกับจัดพิมพ์หนังสือรวมผลงานเพลงออกจำหน่าย ได้รับความนิยมจนต้องพิมพ์ซ้ำ

หลังปี 2492 แสงนภาเข้าไปมีบทบาทในสมาคมกรรมกรไทย ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 36 ปี อันเป็นช่วงเวลาที่คำรณ สัมบุณณานนท์ นัก ร้องที่เดินตามแนวแสงนภากำลังโด่งดังถึงขีดสุด ชื่อของแสงนภาจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน เลือนหายไปพร้อมๆ กับบทเพลงของเขา ซึ่งไม่สามารถฟังได้ด้วยเทคโนโลยีการบันทึกเสียงใดๆ กล่าวได้ว่าปัจจุบันเราจะฟังเพลงของแสงนภาได้จากผู้อาวุโสอายุ 60 ปีขึ้นไป บางท่านที่ยังพอจะจดจำ “เพลงชีวิต” ของนักเพลงผู้ทระนง ท่านนี้เท่านั้น…

นักเพลงรุ่นราวคราวเดียวกับแสงนภาอีกท่านที่กล่าวได้ว่า “ถูกลืม” คือ เสน่ห์ โกมารชุน คนส่วนใหญ่รู้จักเขาในฐานะนักสร้างหนังผู้โด่งดังจาก “แม่นาคพระโขนง” ทว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยแต่งเพลงแนวชีวิตตามหลังแสงนภามาติดๆ

จากแสงนภา ถึง เสน่ห์ โกมารชุน นักเพลงยั่วล้อสังคม

ใน ยุคสมัยไล่เลี่ยกับความโด่งดังของแสงนภา ยังมีนักร้องนักแต่งเพลงแนวชีวิตอีกท่านหนึ่งคือ เสน่ห์ โกมารชุน ศิลปินเพลงประจำวงดุริยางค์ทหารเรือ เขามีผลงานเพลงหลายแนว ทั้งเพลงหวานซึ้งกินใจ อย่างเพลง “งามชายหาด” และ “วอลท์ซนาวี” แต่ที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากคือแนวเพลงชีวิตในรูปแบบ “เพลงยั่วล้อสังคม” มองโลกมองชีวิตมองการเมืองด้วยอารมณ์ตลก ขบขัน ประชดประเทียดเสียดสี เช่นเพลง “สุภาพบุรุษปากคลองสาน” หรือที่รู้จักกันในชื่อเพลง “บ้าห้าร้อยจำพวก” เสียดสีคนที่ยึดติด งมงายกับสิ่งต่างๆ ด้วยลีลาตลกขบขัน หรือเพลง “โปลิศถือกระบอง” ยั่วล้อตำรวจที่เริ่มใช้กระบองปราบผู้ร้าย

นอก จากการเป็นนักร้องนักแต่งเพลงแล้ว เสน่ห์ โกมารชุน ยังมีความสามารถรอบด้าน เป็นทั้งนักพากษ์หนัง ดาราลิเก ดาราละครวิทยุ มีชื่อเสียงต่อเนื่องจากทศวรรษ 2480 ถึงต้นทศวรรษ 2490 ก็มีเหตุการณ์ที่เป็นจุดหักเหและพลิกผันของชีวิต เมื่อเขาแต่งเพลงเสียดสีนักการเมือง ชื่อ “ผู้แทนควาย” และเป็นปากเป็นเสียงให้กรรมกรสามล้อถีบ ซึ่งกำลังจะถูกรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งห้ามวิ่งในเขต พระนคร-ธนบุรี ด้วยการแต่งเพลง “สามล้อแค้น” ในเชิงประท้วงรัฐบาล จนเสน่ห์กลายเป็นขวัญใจของชาวสามล้อในปี 2492

ผลก็คือเพลง “สามล้อ”, “ผู้แทนควาย” กลายเป็นเพลงต้องห้าม ไม่ให้เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ และเมื่อวันหนึ่งเมื่อเสน่ห์ขับร้องเพลงนี้ที่เวทีเฉลิมนคร เขาก็ถูกเชิญตัวไปพบอธิบดีกรมตำรวจ อัศวินเผ่า ศรียานนท์ เจ้าของคำขวัญ “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้…” และยังมีฉายาว่า “ใครค้านท่านฆ่า” อีกด้วย

เสน่ห์ถูกเชิญตัวไปสอบสวน และให้เลือกทางที่ “อยู่” หรือ “ตาย” เท่านั้น ทำให้ในที่สุดเขาจำใจต้องเลิกแต่งและร้องเพลงแนวชีวิตยั่วล้อเสียดสีสังคม หันไปสร้างภาพยนตร์ “แม่นาคพระโขนง” ที่ส่งให้นางเอกดาวยั่ว ปรียา รุ่งเรือง โด่งดังเป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์

ทั้ง นี้ในช่วงต้นทศวรรษ 2495 ในขณะที่เสน่ห์ต้องหยุดงานเพลงชีวิต และแสงนภา บุญราศรี ลดบทบาทนักร้องนักแต่งเพลง หันไปทำอาชีพค้าขาย พร้อมๆ กับมีบทบาทในสมาคมกรรมกรไทย ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นช่วงที่ดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเพลงชีวิตคนใหม่ คือ คำรณ สัมบุณณานนท์กำลังเปล่งรัศมีขึ้นมาแทนที่จนครองใจแฟนเพลงสูงสุดในปี 2493 เมื่อไปเป็นพระเอกหนังเรื่อง “รอยไถ” ในขณะที่มีครูเพลงฝีมือเยี่ยม อย่างครูไพบูลย์ บุตรขัน ครู ป. ชื่นประโยชน์ และครูสุเทพ โชคสกุล ป้อนเพลงในแนวชีวิตและเพลงในแนวลูกทุ่งให้อย่างไม่ขาดสาย

แต่ภาพ ลักษณ์ช่วงแรกๆ ของพระเอกนักร้องคนนี้ในสายตาแฟนเพลง ก็คือผู้สืบทอดและสานต่อแนวเพลงชีวิตของแสงนภา บุญราศรี อย่างเด่นชัดที่สุด เพลงชีวิตที่สร้างชื่อเสียง เช่น ตาสีกำสรวล, มนต์การเมือง, กรรมกรรถราง, พ่อค้าหาบเร่, ชายสามโบสถ์ ฯลฯ ล้วนเป็นผลงานที่ครูเพลงป้อนให้ทั้งสิ้น

ทั้งนี้ผลงานเพลงชีวิตของครูไพบูลย์ บุตรขัน อีก 2 เพลง ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ช่วงทศวรรษ 2490 คือ เพลง “กลิ่นโคลนสาบควาย” และ “ค่าน้ำนม” ที่ขับร้องโดยชาญ เย็นแข โดยเพลงแรกถูกรัฐบาลสั่งห้ามออกอากาศทางสถานีวิทยุ แต่ทำสถิติยอดจำหน่ายแผ่นเสียงแบบถล่มทลาย ส่วนเพลงที่สองได้กลายเป็นเพลงอภิมหาอมตะแห่งความผูกพันระหว่างแม่และลูกมา ตราบจนปัจจุบัน


ทศวรรษที่ 2480 เพลงชีวิตยุคบุกเบิก

ทศวรรษ 2480 คือจุดกำเนิดเพลงไทยสากลในแนว “เพลงชีวิต” และ เพลงเสียดสียั่วล้อสังคม อันนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ “ศิลปิน” มีบทบาทสะท้อนภาพความทุกข์ยากของผู้คน การโกงกินของผู้แทน, นักการเมือง ออกมาในบทเพลงของเขา โดยมีสภาพสังคมระหว่างสงครามและหลังสงครามเป็นปัจจัยเกื้อหนุน

แสงนภา บุญราศรี คือ หัวหอก ผู้บุกเบิกและผู้จุดประกายไฟให้เกิดศิลปินในแนวนี้ตามมาอีกหลายคน โดยเฉพาะคำรณ สัมบุณณานนท์ ซึ่ง จะแสดงบทบาทสำคัญในแนวเพลงชีวิตในทศวรรษต่อมา คือตั้งแต่ราวปี 2490 เป็นต้นไป อันถือเป็นยุคปลายของชีวิตนักร้องผู้แทนคนยากอย่าง แสงนภา บุญราศรี ก่อนที่เขาจะถึงแก่กรรมด้วยวัยเพียง 36 ปี

ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า แนวเพลงชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นอย่างสง่างามในทศวรรษที่ 2480 คือ รากฐานของแนวเพลง “ลูกทุ่ง” ซึ่ง ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการช่วงหลังปี 2500 อันเป็นแนวเพลงที่มุ่งเน้นสะท้อนสภาพสังคมด้วยภาษาลีลาที่เรียบง่าย กินใจ ไม่ต่างจากแนวเพลงชีวิตที่ แสงนภา บุญราศรี บุกเบิกไว้ เพียงแต่ต่อมาเพลงลูกทุ่งได้พัฒนาแนวเนื้อหาไปอย่างหลากหลาย

หาก แต่รากฐานเดิมนั้นเล่า คือการสะท้อนภาพสังคมของชนชั้นล่างโดยเฉพาะชาวนาชาวไร่ในชนบท อย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ไม่แตกต่างจากแนวเพลงชีวิตเลย

ทศวรรษที่ 2490 ขุมทองของเพลงชีวิต

ความ ตื่นตัวในวงการเพลงที่มีสถานีวิทยุและธุรกิจแผ่นเสียงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญทำ ให้รูปแบบและเนื้อหาเพลงชีวิตในทศวรรษ 2590 พัฒนาไปในทิศทางที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แพร่กระจายไปสู่ความรับรู้ของมวลชนระดับกว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับการที่แนวเพลงรักหวานชื่นของวงดนตรีสุนทราภรณ์กำลังได้รับความนิยมอย่าง มากในยุคนี้ แนวเพลงชีวิตก็มี คำรณ สัมบุณณานนท์ เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ที่เด่นชัด โดยมีนักประพันธ์เพลงคนสำคัญคือ ไพบูลย์ บุตรขัน ป้อนเพลงให้จนคำรณพุ่งขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดในยุคนี้เช่นกัน โดยมีนักร้องร่วมสมัยอย่างชาญ เย็นแข, ชลอ ไตรตรองสอน และปรีชา บุญเกียรติ เติมสีสันให้วงการเพลงชีวิตมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน การปิดกั้นเพลงชีวิตบางเพลงด้วยการไม่อนุญาตให้ออกอากาศทางสถานีวิทยุ โดยรัฐบาลจอมพล ป. ในยุคนั้น ไม่แตกต่างไปจากการที่คณะกรรมการบริการวิทยุและโทรทัศน์ (กบว.) สั่ง “แบน” เพลงบางเพลงในยุคนี้ คือยิ่งห้าม เทปและแผ่นเสียงก็ยิ่งขายดี

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาวะที่โรงละครหลายแห่งปิดเวทีแล้วหันไปฉายภาพยนตร์แทน ในปลายทศวรรษนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อนักร้องเพลงชีวิตอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนักร้องแนวนี้ส่วนใหญ่เป็น “นักร้องสลับฉาก” ตามเวที ละคร เมื่อละครปิดฉากลง พวกเขาหลายคนต้องดิ้นรนออกไปเดินสายร้องเพลงตามต่างจังหวัดกับวงดนตรีของคน อื่นๆ หรือวงดนตรีที่ตนเองตั้งขึ้น และได้กลายเป็นที่มาของวงดนตรีลูกทุ่งที่เฟื่องฟูมากในทศวรรษต่อมา อันเป็นทศวรรษที่มีการแบ่งแยกเพลงออกเป็น “ลูกกรุง” “ลูกทุ่ง” เป็นครั้งแรกของวงการเพลงเมืองไทย และเป็นยุคที่สังคมไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ตลอดทั้งทศวรรษ 2500

ซึ่งนับเป็นทศวรรษที่เพลงชีวิตซบเซาถึงขีดสุด ในขณะที่เพลงลูกทุ่งเริ่มฟูเฟื่องพร้อมๆ กับได้เกิดเพลงชีวิตอีกแนวหนึ่งโดยนักเขียนนาม “จิตร ภูมิศักดิ์” ขึ้นภายในกำแพงคุก ในช่วงที่เขาถูกจองจำในฐานะ “นักโทษการเมือง” และเพลงของจิตรนี้เองที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดสู่การเป็นต้นแบบของ “เพลงเพื่อชีวิต” ภายหลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยนิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย

จนกระทั่ง “เพลงเพื่อชีวิต” กลายเป็นแขนงหนึ่งของเพลงไทยที่สังคมให้การยอมรับตราบจนปัจจุบัน อันนับเป็นระยะเวลาที่ห่างจากเพลงยุคบุกเบิก “เพลงชีวิต” โดยแสงนภา บุญราศรี ราวกึ่งศตวรรษหรือ 50 ปีพอดี


จิตร ภูมิศักดิ์ ต้นธารเพลงเพื่อชีวิต

เสียง เพลงเสียงดนตรีเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการสร้างความบันเทิงเริงรมย์แก่ชีวิต เมื่อสังคมซับซ้อนขึ้น บางครั้งเสียงเพลงถูกนำมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายอื่นอีก เช่น ปลุกใจให้รักพวกพ้อง รักชาติ ฯลฯ แน่นอนเสียงเพลงยังเป็นเพื่อนคลายเหงาบรรเทาความร้าวรานของผู้ทุกข์ยากและ ผู้ถูกกดขี่ด้วย

ยุคเผด็จการครองเมืองก่อน 14 ตุลาคม 2516 จึงเป็นยุคทองของเพลงรัก เพลงสายลมแสงแดด และเพลงเต้นรำ ท่ามกลางความมืดมิดในห้วงเวลานั้นมีปัญญาชนผู้หนึ่ง “จิตร ภูมิศักดิ์” ได้เขียนบทความเสนอแนวคิดเรื่อง “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ขึ้นมา แนวคิดเพื่อชีวิตและการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่าของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นพลังบันดาลใจให้เกิดแนวเพลงใหม่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา คือ “เพลงเพื่อชีวิต” กล่าวได้อย่างภาคภูมิว่า เพลงเพื่อชีวิตคือ เพชรเม็ดงามทางด้านวัฒนธรรม อันเกิดจากเหตุการณ์ 14 ตุลา


เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519)

เมื่อ พูดถึง เพลงเพื่อชีวิต เรามักจะนึกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองสมัย 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นช่วงที่บทเพลงเพื่อชีวิตในแบบของปัญญาชนได้ถือกำเนิด และทำหน้าที่ของมันจนถึงขีดสุด กระทั่งสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทางการเมืองในยุคสมัยนั้น

เพลงเพื่อชีวิต นั้นมีผู้กล่าวว่า “หมายถึงเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน”

จริง อยู่ การเปลี่ยนแปลงของสังคมในอดีตนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า เพลงเพื่อชีวิตและกลุ่มศิลปินเพลงในอดีตก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย

“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเขาตีแผ่เรื่องราวความไม่เป็นธรรมของสังคมเราออกมาอย่างไร
“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเขาปลูกฝังอุดมคติอะไรให้แก่คนหนุ่มคนสาวและประชาชน
“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเราเรียกร้องสิ่งใดกลับคืนมาจากนักปกครองเผด็จการ และส่งคืนสิ่งใดให้แก่ประชาชน

คำถามเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องมีคำตอบเพราะเพียงแต่ท่านได้ยิน และจดจำบทเพลงเหล่านั้นได้ คำตอบของมันก็จะอยู่ในใจของท่านตลอดไป

“สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม
เราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ สู้ต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น
เขาจะฟาดเขาจะฟัน เราไม่พรั่นพวกเราสู้ตาย
สู้เข้าไปอย่าได้หนี เพื่อเสรีภาพอันยิ่งใหญ่
รวมพลังผองเราเหล่าชาวไทย สู้เข้าไปพวกเราเสรีชน”

นี่คือบทเพลง “สู้ไม่ถอย” ซึ่งเป็นบทเพลงแรกของเพลงเพื่อชีวิต แต่งขึ้นในโอกาสชุมนุมประท้วงคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง 272/2516 ที่มีมติให้ลบชื่อนักศึกษา 9 คน ออกจากมหาวิทยาลัย จึงนำมาลงตีพิมพ์เพื่อให้ท่านทั้งหลายย้อนเวลากลับสู่เหตุการณ์ในอดีต อย่างน้อยก็เพื่อให้เห็นภาพว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของประเทศ ไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากกระแสสากลนั้น ได้ให้กำเนิดบทเพลงเพื่อชีวิต และศิลปินเพลงเพื่อชีวิตอย่างไร

ปี พ.ศ.2514 รัฐบาลสมัยนั้น ซึ่งเป็นการสถาปนาอำนาจของกลุ่ม ครอบครัวกิตติขจรและครอบครัวจารุเสถียร ได้ทำการรัฐประหารตัวเองเพื่อตรึงอำนาจของตัวเองอย่างแน่นหนา โดยให้จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นผู้ถือครองอำนาจเผด็จการ และให้จอมพลประภาส จารุเสถียร คุมกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย รวมทั้งประมวลข่าวกรอง กอ.รมน. และให้ลูกเขย พันเอกณรงค์ กิตติขจร มีบทบาทอย่างสูงในวงการเมืองช่วงนั้น

สถานการณ์ บ้านเมืองในตอนนั้นเป็นบรรยากาศของเผด็จการทหารสมบูรณ์แบบ การแสดงออกทางความคิดเห็นของนักศึกษาปัญญาชนและประชาชนทั่วไป ถูกจำกัดแม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตผู้มีความรู้ก็ไม่ ได้รับการยกเว้น การปกครองด้วยกฎอัยการศึกของรัฐบาลทหารได้สร้างความอึดอัดคับข้องใจในหมู่ ประชาชน บ้านเมืองคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวของคอร์รัปชั่น

จนมาถึงช่วง ที่รัฐบาลเผด็จการทหารประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ ซึ่งมีแต่การแต่งตั้งสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว และออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299 ความไม่พอใจของประชาชนก็ปะทุขึ้น นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้ ทำการประท้วงคัดค้าน จนต้องมีการประชุมยกเลิกประกาศฉบับนั้น เหตุการณ์นั้นเองที่นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของขบวนการนักศึกษา

ปี พ.ศ.2516 สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่กระเตื้องขึ้น ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์กรณี “ทุ่งใหญ่” ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเหลวแหลกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของทางราชการพาดาราสาวไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร เมื่อเครื่องบินลำดังกล่าวตกจึงพบซากสัตว์ป่าที่ถูกล่ามากมาย เป็นผลให้สื่อมวลชนและนักศึกษาร่วมมือกันตีแผ่เปิดโปงการกระทำผิดกฎหมายของ ฝ่ายราชการ โดยได้รับความสนใจจากประชาชน ภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก

กรณีดังกล่าว ได้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงกลุ่มหนึ่งออกหนังสือในนาม “ชมรมคนรุ่นใหม่” ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยยังไม่มีคำตอบ” ตีพิมพ์ข้อความกระทบกระแทกปัญหาการต่ออายุราชการของจอมพลประภาส จารุเสถียร ที่อ้างว่าเพราะสถานการณ์ต่างประเทศไม่น่าไว้วางใจ หนังสือดังกล่าวมีถ้อยคำเสียดสี “สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีกหนึ่งปี”

ผล จากกรณีดังกล่าว ทำให้นักศึกษาทั้ง 15 คนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และ 9 คน ถูกลบชื่อออกจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากเห็นว่าไม่เป็นการยุติธรรม จึงพากันรวมตัวประท้วงที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการชุมนุมประท้วงข้ามวันข้ามคืน ทั้งมีการแต่งเพลง “สู้ไม่ถอย” โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

สุรชัย จันทิมาธร ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ถือกำเนิดบทบาทของการเป็นศิลปินเพื่อชีวิตขึ้นมาในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในการประท้วง คอยแต่งบทกลอนต่างๆ ส่งให้โฆษกบนเวทีอ่านให้ประชาชนฟัง เพื่อปลุกเร้ากำลังใจและรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเขาได้แต่งเพลง “สานแสงทอง” โดยเอาทำนองมาจากเพลง FIND THE COST OF FREEDOM ของวงดนตรี ครอสบี สติล แนช แอนด์ ยังก์ เนื้อร้องมีอยู่ว่า

“ขอผองเราจงมาร่วมกัน ผูกสัมพันธ์ยิ่งใหญ่
สานแสงทองของความเป็นไทย ด้วยหัวใจบริสุทธิ์”

บทเพลง “สู้ไม่ถอย” และ “สานแสงทอง” เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยบทเพลงสู้ไม่ถอยนั้นเป็นเพลงมาร์ชปลุกใจที่ใช้ในการรวมพลังประท้วง ส่วนเพลงสานแสงทองเกิดจากความคิดคำนึงถึงเสรีภาพของประชาชน แต่ทั้งนี้นี่คือจุดกำเนิดของบทเพลงเพื่อชีวิต นั่นเอง

การประท้วง ครั้งนั้นประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถลดอุณหภูมิความไม่พึงพอใจในการปกครองของรัฐบาลเผด็จการ ทหารได้ เนื่องจากสถานการณ์ของบ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ เต็มไปด้วยปัญหานานาประการทั้งทางเศรษฐกิจ ปัญหาชาวนา กรรมกรรถไฟ แหล่งเสื่อมโทรม และการคอรัปชั่น

หลังการประท้วงครั้งนั้นไม่นาน ได้มีนักศึกษาและประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเรียกว่า “กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” ทำ การแจกใบปลิวและหนังสือเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่สุดพวกเขาทั้ง 15 คน ถูกจับกุมในข้อหาว่าเป็นกบฏและมีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์

จุด เริ่มต้นเล็กๆ นี้ นำไปสู่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของเมืองไทยซึ่งไม่มีใครคิด มาก่อน องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ จับมือผนึกกำลังกันเคลื่อนไหว โดยใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลางการชุมนุมได้รับความร่วมมือจาก ประชาชนทุกฝ่ายซึ่งมองเห็นว่ารัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ กระทั่งในที่สุด ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้ยื่นคำขาดให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดภายในเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม 2516 แต่รัฐบาลบอกปัดปฏิเสธ

ดัง นั้น คลื่นนักศึกษาประชาชนนับแสนๆ จึงเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และลานพระบรมรูปทรงม้า และแล้วความผิดพลาดก็เกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารระหว่างตัวแทนนักศึกษาที่เข้า เจรจากับฝ่ายรัฐบาลขาดการติดต่อกับตัวแทนที่ทำหน้าที่กุมสถานการณ์มวลชน การชุมนุมประท้วงจึงดำเนินต่อไปจนล่วงเข้าสู่วันใหม่ แม้ว่ารัฐบาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวนักศึกษาปัญญาชนที่ถูกควบคุมตัวแล้วก็ตาม

แล้ว ที่สุดก็เกิดการปะทะต่อสู้กันระหว่างตำรวจทหารกับประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เจ้าหน้าที่ยิงก๊าซน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมประท้วง สถานการณ์ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสงครามกลางเมือง สถานที่ราชการหลายแห่งถูกประชาชนเผาทำลาย ชีวิตเลือดเนื้อจำนวนมากถูกเข่นฆ่า นับเป็นความเสียหายร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เพราะเหตุว่าคนไทยทำต่อคนไทยด้วยกันเอง

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ยุติลง เมื่อผู้เผด็จการทั้งสามหนีออกนอกประเทศ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน

รัฐบาลภายใต้การนำของ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็น รัฐบาลพลเรือนที่สนับสนุนบทบาทของนักศึกษาในเรื่องประชาธิปไตย โดยให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกผู้คนอย่างเต็มที่ กระทั่งทำให้เกิดมีความโน้มเอียงไปในทางที่นักศึกษาสนับสนุนลัทธิสังคมนิยม กันอย่างแพร่หลาย อาทิ มีการจัดนิทรรศการจีนแดง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการชี้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่ประชาชนในเวลานั้นยังไม่ยอมรับ มีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ลัทธิของมาร์กซ-เลนิน นำเสนอประเด็น ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน ฯลฯ ได้รับการ เปิดเผยสู่สายตาของนักศึกษาและประชาชนอย่างกว้างขวาง

เรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำความคิดทางการเมืองหลายคน ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามในอดีต เช่น จิตร ภูมิศักดิ์, กุหลาบ สายประดิษฐ์ ฯลฯ ได้รับการกล่าวขานถึง แตกหน่อเป็นความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่กำลังแสวงหาแนวทางเพื่อชีวิตใหม่ ที่ดีกว่าชีวิตในสังคมเก่า แนวคิดต่างๆ ที่กล่าวมา ได้ถูกเผยแพร่ออกมาคล้ายกับเพลงเพื่อชีวิตที่ประท้วงสงครามเวียดนามในสหรัฐ อเมริกา

วงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่คนรุ่นนั้นเป็นอย่างมาก คือวงดนตรี “คาราวาน” ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีต…

สุรชัย จันทิมาธร นักเขียนหนุ่มผู้มีนามปากกาว่า “ท.เสน” กับ วีระศักดิ์ สุนทรศรี เจ้าของนามปากกาว่า “สัญจร” ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมกิจกรรมการประท้วงมาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ร่วมกันก่อตั้งวงดนตรี “ท.เสนและสัญจร” เพื่อ ร่วมแสดงดนตรีในการชุมนุมประท้วง ครั้งหนึ่ง คนทั้งสองร่วมกันแสดงดนตรีในงานนิทรรศการเพลงเพื่อชีวิต โดยเล่นเพลง คนกับควาย เปิบข้าว และข้าวคอยฝน ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ทางดนตรีต่างจากดนตรีทั่วไปในขณะนั้น ที่มีเพียงวงดนตรีสุนทราภรณ์, สุเทพ วงศ์กำแหง และ สวลี ผกาพันธ์ ครองใจผู้ใหญ่ และวงดนตรี ดิ อิมพอสซิเบิล ครองใจวัยรุ่น

บทเพลงของ “ท.เสนและสัญจร” ในเวลานั้นเป็นการนำพื้นฐานดนตรีตะวันตกมาประยุกต์เข้ากับเนื้อร้องภาษาไทย ได้รับการต้อนรับจากนักศึกษาปัญญาชนอย่างอบอุ่น เนื้อหาเพลงบรรยายภาพความทุกข์ยากของชาวไร่ชาวนาอย่างลึกซึ้งเกาะกินใจ เช่น ท่อนหนึ่งของเพลง “ข้าวคอยฝน” ที่ว่า

“อยู่อย่างข้าวคอยฝน บ่พ้นราแรงแห้งตาย
ชีวิตชีวาน่าหน่าย จะหมายสิ่งหมายไม่มี
จากบ้านเกิดเมืองนอน พเนจรลูกเล็กเด็กแดง
สองขาของเฮามีแฮง ตะวันสีแดงส่องทาง”

ในการแสดงดนตรีทุกครั้งของ ท.เสนและสัญจร จะมีการบันทึกแถบเสียงเพื่อไว้ใช้เผยแพร่ในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พวกเขาได้เดินทางแสดงดนตรีไปกับโครงการเผยแพร่ ประชาธิปไตย ก็ยิ่งทำให้บทเพลงของเขาเป็นที่เผยแพร่และนิยมกันแพร่หลายกว้างขวางออกไป โดยเฉพาะที่วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพวกเขาได้มีโอกาสเปิดการแสดงบ่อยครั้ง

ที่วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั่นเอง ท.เสนและสัญจร ได้มีโอกาสรู้จักกับวงดนตรี บังคลาเทศแบนด์ ที่มี ทองกราน ทานา และมงคล อุทก เป็นเรี่ยวแรงสำคัญ ทั้งสองวงเล่นดนตรีในงานเดียวกันหลายครั้ง จนกระทั่งสนิทสนมคุ้นเคยกัน

กลางปี พ.ศ.2517 กลุ่มผู้หญิงและชุมนุมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดนิทรรศการ “การต่อสู้ทางวรรณกรรม” ทั้งสองวงดนตรีได้ร่วมกันแสดงเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อวงดนตรี “คาราวาน” ซึ่งหมายถึงการเดินทางไม่สิ้นสุด คาราวานในตอนเริ่มต้นมีสมาชิก 4 คน คือ สุรชัย จันทิมาธร, วีระศักดิ์ สุนทรศรี, มงคล อุทก และทองกราน ทานา

วงดนตรีคาราวานเป็น จุดเริ่มต้นการขยายตัวของดนตรีเพื่อชีวิต พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานเพลงมากมาย โดยการเข้าร่วมกับขบวนการนักศึกษา ความโด่งดัง และความสามารถในเชิงดนตรีของพวกเขาส่งผลให้บทเพลงเพื่อชีวิตสามารถเปิดการ แสดงร่วมกับวงดนตรีในเชิงธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานแผ่นเสียงแถบบันทึกเสียง หรือเปิดการแสดงตามโรงภาพยนตร์ ซึ่งก็ทำรายได้ให้แก่พวกเขาตามสมควร

ผลงานชุดแรกของคาราวานชื่อ “คนกับควาย” มีเนื้อหาสาระสะท้อนความทุกข์ยากของชาวนา และชุดที่สองชื่อ “อเมริกันอันตราย” เป็นบทเพลงต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา

ปี พ.ศ.2517-2519 เพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยมสูงสุดในแวดวงนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน วงดนตรีเพื่อชีวิตหลายวงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่ละวงมีลีลาการแสดงออกที่แตกต่างกัน พวกแรกเป็นพวกที่มีท่วงทำนองลีลาผสมผสานตะวันออกกับตะวันตก ใช้เครื่องดนตรีอคูสติค เช่น กีตาร์ ไวโอลิน ซึง ฮาโมนิก้า และเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ ได้แก่ คาราวาน, คุรุชน, กงล้อ, รวมฆ้อน, โคมฉาย ส่วนอีกพวกหนึ่งจะใช้เครื่อง ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บรรเลง เพื่อปลุกเร้าให้เกิดความคึกคัก เช่น กรรมาชน, รุ่งอรุณ และไดอะเล็คติค และอีกพวกหนึ่งจะมีท่วงทำนองเพลงไทยเดิมและพื้นบ้านประยุกต์ ได้แก่ ต้นกล้า และลูกทุ่งสัจธรรม ฯลฯ

เพลง เพื่อชีวิตในยุคนั้นมีมากกว่า 200 เพลง เนื้อหาทั้งหมดครอบคลุมกิจกรรมที่พวกนักศึกษาปัญญาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยสรุปบทเรียนจากสถานการณ์บ้านเมือง และอิงเนื้อเรื่องและบทกวีจากนักคิดนักเขียนรุ่นเก่าๆ เนื้อหาทั้งหมดคาบเกี่ยวระหว่างการสะท้อนปัญหาบ้านเมืองกับการแสดงออกซึ่ง อุดมคติในการสร้างสรรค์สังคมใหม่ โค่นล้มอำนาจรัฐ ชี้นำอุดมการณ์สังคมนิยมซึ่งนักศึกษายุคนั้นเชื่อว่าสามารถแก้ไขความเสื่อม ทรามของสังคมได้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้มีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การครอบงำของ จักรวรรดินิยมอเมริกา

มีบทเพลงหนึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ชื่อเพลง “นกสีเหลือง” เป็นที่นิยมร้องกันแพร่หลาย เนื้อหาสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของยุคสมัยได้เป็นอย่างดี…

“เจ้าเหินไปสู่ห้าวหาว เมฆขาวถามเจ้าคือใคร
อาบปีกด้วยแสงตะวัน เจ้าฝันถึงโลกสีใด
คุณจำได้ไหม เหตุการณ์เมื่อวันที่สิบสี่สิบห้าตุลาคม
คุณจำได้ไหม รอยเลือด คราบน้ำตา และฝันร้ายของผู้คน
วีรชนคนหนุ่มสาวของเราได้ตายไปท่ามกลางห่ากระสุนและแก๊สน้ำตา
ตายไปขณะชูสองมืออันว่างเปล่าเพื่อเรียกร้องหาเสรีภาพ
ณ บัดนี้ขอให้พวกเราจงพากันหยุดนิ่ง
และส่งใจระลึกถึงไปยังพวกเขาเหล่านั้น
อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
และจะได้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่จะอยู่ต่อสู้อีกต่อไป…”
(บทเพลง “นกสีเหลือง” แต่งโดย วินัย อุกฤษณ์ ร้องและบรรเลงโดย คาราวาน)

ระหว่าง ปี พ.ศ.2516-2519 สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย สับสน และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างความคิดลัทธิความเชื่อ ประเทศไทยเปลี่ยนคณะรัฐบาลหลายครั้งในชั่วเวลาเพียงสามปี นักศึกษาถูกทำให้มองว่าเป็นพวกก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม ขณะที่พวกฝ่ายขวาก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นและต่อต้านนักศึกษาในทุกวิถี ทาง

การเผชิญหน้าระหว่างคนทั้งสองกลุ่มคือ “ฝ่ายซ้าย” และ “ฝ่ายขวา” เกิดขึ้นทั่วไปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ฝ่ายขวาจัดก็คือ ฝ่ายราชการ ลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล และกระทิงแดง ที่ พยายามกดดันการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายให้เป็นไปอย่างยากลำบาก และในที่สุดจุดแตกหักก็มาถึง เมื่อนักศึกษารวมตัวกันต่อต้านการกลับมาเมืองไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร กลาย เป็นเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นิสิต นักศึกษา ประชาชน ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวง เป็นเหตุการณ์เศร้าสลดเมื่อคนไทยเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

ขณะนั้นวงดนตรีคาราวานกำลัง เปิดการแสดงร่วมกับผู้ชุมนุมประท้วงในจังหวัดขอนแก่น เมื่อได้ทราบข่าวก็หยุดการแสดง หลบหนีการล่าสังหารไปพร้อมกับเพื่อนนักดนตรีจากวงโคมฉาย รวม 11 คน เดินทางมุ่งสู่ป่าเขา



เพลงเพื่อชีวิตยุคหลัง 6 ตุลา 19 (พ.ศ.2520-2524)

บรรยากาศ แห่งประชาธิปไตยถูกทำให้ชะงักลงกะทันหันด้วยเหตุการณ์มหาโหดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนแตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน คือ ฝ่ายที่มีความคิดก้าวหน้า อันมีนิสิตนักศึกษาเป็นแกนนำ และฝ่ายอนุรักษ์นิยม อันประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร นักเรียนอาชีวะ และลูกเสือชาวบ้าน

การ ปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของฝ่ายหลังเป็นเหตุให้เกิดการสังหารโหดภายใน มหาวิทยาลัย การต่อสู้กันด้วยความรุนแรงทางการเมืองในครั้งนั้น นำไปสู่การเสียเลือดเนื้ออย่างมากมายของนิสิตนักศึกษา ยังความตระหนกและเศร้าสลดใจต่อประชาชนทั่วโลก

และในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั่นเอง ได้มีการยึดอำนาจทางการเมืองขึ้น นำโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า มีการประกาศเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2517 ยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมืองและมีการตั้งคณะรัฐมนตรีพลเรือนมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นการสิ้นสุดยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ที่ได้มาด้วยการต่อสู้รวมตัวกันของนิสิต นักศึกษา ประชาชน

จาก สถานการณ์ทางการเมืองจุดนี้ นับได้ว่าเป็นจุดสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการทางความคิดของนักศึกษาปัญญาชนให้ก้าว หน้าไปอย่างรวดเร็ว ความคับแค้นต่อการถูกกระทำ ต่อภาพที่ได้เห็น ต่อการบาดเจ็บล้มตายของเพื่อนฝูง นับเป็นบรรยากาศที่บีบคั้นทางความคิดอย่างใหญ่หลวง ทำให้นักศึกษาปัญญาชนส่วนหนึ่งตัดสินใจเลือกเอาหนทางที่เหลืออยู่เพียงทาง เดียวคือ เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการพลเรือนซึ่งมีทหารคอยหนุนหลัง

“อ้อมอกภูพานคือชีวิตใหม่ คือมหาวิทยาลัยคนกล้าหาญ
จะโค่นล้มไล่เฉดเผด็จการ อันธพาลอเมริกาอย่าหวังครอง
สู้กับปืนต้องมีปืนยืนกระหน่ำ พรรคชี้นำตะวันแดงสาดแสงส่อง
จรยุทธ์นำประชาสู่ฟ้าทอง กรรมาชีพลั่นกลองอย่างเกรียงไกร”

การ ตบเท้าสู่ภูผาของนักศึกษาปัญญาชนในครั้งนั้น เป็นที่แน่นอนว่าย่อมเป็นขบวนแถวที่มีทั้งนักศึกษาทุกสาขาวิชา และในจำนวนนั้นก็มีคนที่ทำงานด้านศิลปะรวมอยู่ด้วย ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตหลายคนได้ตัดสินใจกางปีกหลีกบินจากเมือง เพื่อร่วมขบวนการต่อสู้ในครั้งนี้ บทเพลง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน” ที่วัฒน์ วรรลยางกูร เขียน สุรชัย จันทิมาธร ใส่ ทำนองนั้นดูจะเป็นถ้อยร้อยที่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์และเป้า หมายแห่งการต่อสู้ของพวกเขา เนื่องจากรัฐบาลได้สร้างความคับแค้นกับพวกเขาอย่างแสนสาหัส และการมีชีวิตอยู่ในเมืองมิได้ให้ความหวังอะไรในชีวิตแก่พวกเขาเลย ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่างานเพลงเพื่อชีวิตที่เคยก้องกังวานอยู่ในมหาวิทยาลัยบน เวทีประท้วง บนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ได้คืบสู่ป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งจะเป็นส่วนที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากยุคประชาธิปไตยเบ่งบานในป่าเขาลำเนาไพรนี้ อันเป็นงานเพลงเพื่อชีวิตที่เป็นงานการเมืองรับใช้พรรคคอมมิวนิสต์อย่าง สมบูรณ์แบบ

“ค่ำคืนเมฆฟ้ามืดมนมาเนิ่นนาน ผู้คนทนทุกข์ใต้ฟ้าสีดำ
เสรีถูกย่ำปี้ป่น คนเหยียบกัน”

การเกิดขึ้นของรัฐบาลเผด็จการพลเรือนโดยมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นรัฐบาลนั้น ยังความอึมครึมระอุร้อนให้เกิดขึ้นในขบวนแถวประชาธิปไตยอย่างยิ่ง จะว่าไปแล้วในช่วงนี้อาจจะนับได้ว่าเป็นยุคมืดทางการเมืองไทยได้ยุคหนึ่งที เดียว รัฐบาลซึ่งเปรียบเสมือนเนื้อหอยนิ่มๆ อันมีเปลือกหอยซึ่งได้แก่ทหารคอยให้ความคุ้มครอง ได้วางแผนการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยออกเป็นช่วงๆ กินเวลาทั้งหมด 12 ปี

นโยบาย ที่เด่นชัดที่สุดคือ การต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบให้เห็นถึงหายนะภัยอันเกิดจากลัทธิ และขบวนการทางการเมืองของพวกคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเลยว่า บรรดานักศึกษาประชาชนที่เปลี่ยนวิถีทางเข้าต่อสู้กับรัฐบาลในป่าเขานั้นคือ เป้าหมายหนึ่งที่รัฐจะต้องปราบปรามให้ราบคาบ

นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดเสรีภาพทางความคิดอย่างมากที่สุด มีการตรวจสอบสิ่งตีพิมพ์และประกาศรายชื่อหนังสือที่ห้ามอ่าน หรือมีไว้ในครอบครองจำนวน 204 รายการ มีการควบคุมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ออกหนังสือพิมพ์เพื่อเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลเอง ได้แก่ หนังสือพิมพ์เจ้าพระยา และมีการออกรายการโทรทัศน์ของบรรดาคณะรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำ ทั้งแถลงการณ์และออกมาร้องเพลงเชียร์รัฐบาลเอง

นอก จากนี้ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ก็ถูกจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก งดการจัดอภิปรายทางการเมือง และการแสดงที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น

ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งรับสื่อจากฝ่ายราชการมากกว่ามองว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกขายชาติ วัฒน์ วรรลยางกูร และคาราวานอาจมองว่า “อ้อมอกภูพาน คือชีวิตใหม่คือมหาวิทยาลัยคนกล้าหาญ” ขณะที่คนภูพานองมองว่า “แผ่นดินของพวกเขากำลังลุกเป็นไฟ” และ ขณะที่วัฒน์บอกว่าจะยาตราจากภูพานกลับไปกรีดเลือดพาลล้างลานโพธิ์นั้น เรามาดูความรู้สึกนึกคิดแบบลูกทุ่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกซื่อๆ และจริงใจอย่างยิ่งในท่อนจบของเพลงภูพานสะอื้นว่า

“ตัวไกลใจพี่ห่วงอีสาน ห่วงสาวภูพานข่าวกล่าวขานเคยได้ยิน
หลงผิดไฉนวิงวอนให้น้องยุพิน จงคิดกลับใจถวิล
สร้างสรรค์ถิ่นเฮาเทือกเขาภูพาน”

แม้ ว่าระยะนี้งานในแนวเพลงเพื่อชีวิตจะมิได้มีปรากฏสู่สายตาประชาชน แต่ในขบวนแถวของนักศึกษาปัญญาชนที่อยู่ในเมืองแล้ว ยังคงมีการสานต่อทางความคิดของศิลปินเพลงในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานอยู่ตลอด เวลา ในท่ามกลางค่ำคืนที่เมฆฟ้ามืดดำเช่นนั้น ยังมีการเดินทางสู่ฟ้าสางอย่างต่อเนื่อง

“ตะวันคือแสงเพื่อเพื่อนไทยใสสว่าง เกิดแล้วฟ้าสางส่องทางอุทิศตน
ทำลายล้างความมืดมน เพื่อมวลชนที่ทนทุกข์เห็นแสงชัย”

การ พยายามสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับประเทศชาติ (ซึ่งก็คือรัฐบาล) นั้น แท้ที่จริงกลับผิดพลาดพลิกผันอย่างมหาศาล รัฐบาลถูกมองในแง่ตลกเกินเลย และมีการเยาะเย้ยถากถางเป็นการบ่อนทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลเอง ในจำนวนกลุ่มที่พยายามทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลนั้น ก็มีทหารบางกลุ่มรวมอยู่ด้วย

เพียงไม่ถึงครึ่งปีที่รัฐบาลคอยบริหารประเทศก็มีการพยายามใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2520 นำโดยพลเอกฉลาด หิรัญศิริ แต่ ไม่สำเร็จ และพลเอกฉลาดถูกตัดสินประหารชีวิต จากสภาพการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ได้มีการแตกแยกเกิดขึ้นในหมู่ผู้นำโดยเฉพาะทหาร และชี้ให้เห็นถึงเสถียรภาพที่อ่อนมากของรัฐบาล ในที่สุดฝ่ายทหารก็ยึดอำนาจได้สำเร็จเมื่อ 20 ตุลาคม 2520 รัฐบาลใหม่หลังการยึดอำนาจมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

การ คลี่คลายทางการเมืองหลัง พ.ศ.2520 อันเป็นนโยบายการผสมผสานระหว่างการเมืองรูปแบบเก่า กับการรอมชอมการเปลี่ยนแปลง เพื่อสนองตอบสภาวะแวดล้อมอันใหม่ นั่นก็คือ การควบคุมอำนาจทางการเมืองขั้นพื้นฐานไว้ในมือข้าราชการ (ทหารเป็นนายก) ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้แสดงออกในรูปแบบของการเลือกตั้ง มีรัฐสภา ขณะเดียวกันก็มีวุฒิสมาชิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหาร

นับเป็นช่วงผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมือง

รัฐบาล ตรวจสอบสื่อมวลชนน้อยลง วิทยุ โทรทัศน์ มีเสรีภาพในการจัดรายการมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้มีสิ่งพิมพ์ที่แสดงความคิดก้าวหน้าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ออกมาได้ เช่น มติชน อาทิตย์ โลกหนังสือ และงานพ็อกเก็ตบุ๊คของปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า เป็นต้น

ในแวดวงนักศึกษา ปัญญาชน ได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวต้อนรับรุ่งสางแห่งภูมิปัญญานี้อย่างคับคั่ง เริ่มมีการเกิดขึ้นของการอภิปรายทางศิลปวัฒนธรรม การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และปัญหาต่างๆ ในสังคม อย่างเปิดเผย

และแน่นอน ในขบวนการแถวดังกล่าวมีการเกิดขึ้นของวงดนตรีเพื่อชีวิตทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย วงที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ วงแฮมเมอร์ และวงฟ้าสาง ซึ่งลักษณะของวงดนตรีเป็นวงโฟล์คที่เน้นเครื่องดนตรีพื้นบ้านประเภทสาย แนวดนตรีและเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เน้นหนักในการสะท้อนภาพสังคมและชีวิต ทั่วๆ ไป โดยเฉพาะภาพความอดอยากยากจนในชนบทภาคอีสาน ซึ่งอาจถือว่าเป็นเนื้อหาหลักที่ วงฟ้าสาง นำเสนอ เช่น เพลงลำเพลินเบิ่งอีสาน อีสานคืนถิ่น อีสานคนยาก เซิ้งสามัคคีอีสาน และนี่แหละชีวิต

อย่าง ไรก็ดีวงฟ้าสางเองก็ยังคงเป็นวงดนตรีที่แสดงจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวง มหาวิทยาลัยตามงานอภิปรายหรือนิทรรศการต่างๆ เช่น งานนิทรรศการบ้านเรา งานรับเพื่อนใหม่ โดยแสดงประกอบงานนั้นๆ นอกจากนี้ ก็ยังมีวงดนตรีที่เล่นเพลงแนวเพื่อชีวิตหลายวงได้แก่ วงชีวี ซึ่งแนวดนตรีคล้ายๆ กับวงฟ้าสาง แต่ จุดที่ชีวีเน้นกลับไม่ใช่ความยากจนในชนบท หากเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เป็นการใช้สื่อเสียงเพลงปลุกสำนึกเน้นย้ำอุดมการณ์ จุดประสงค์ของชีวีซึ่งอยู่ที่การได้เปิดเผยความจริง และได้ระบายความรู้สึกที่บีบคั้นอย่างเศร้าหมองมาโดยตลอด ความคิดที่รุนแรงและอารมณ์ความรู้สึกที่เจ็บปวดร้าวได้สะท้อนออกมาดังบทเพลง “เรามิใช่หนุ่มสาวแสวงหาอีกต่อไปแล้ว” ที่ว่า

“ความตายเพื่อนเราเป็นบทเรียน เราไม่เยาว์ เราไม่เขลา และไม่ทึ่ง
เราจึงต่อสู้เชือดเฉือน แม้ความยุติธรรมนั้นรางเลือน
แต่เรายังมีเพื่อนร่วมเดินทาง ที่นี่ ที่ไหน ล้วนสาวหนุ่ม
ร้อนรุ่มรวมพลังสรรค์สร้าง ดวงดาวแห่งศรัทธาส่องนำทาง
แม้ร่างสูญลับกับแผ่นดิน”

นอกจากเพลงนี้ยังมีเพลง ‘เสรีภาพไม่เคยได้มาด้วยการร้องขอ, ขอเพื่อนจงยืนหยัด, มาร่วมกันพลิกฟ้า, ฝ่าพายุ, บทเรียนแห่งความตาย’ ซึ่งเพลงเหล่านี้ล้วนเป็นผลแห่งความรุนแรงทางการเมืองในยุค 6 ตุลาทมิฬ ทั้งสิ้น นอกจากวงชีวีแล้ว ก็ยังมีวงสตริง อมธ. ของ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเล่นเพลงในแนวสตริงเร่าร้อนและนำเอาเพลงจากยุค 14 ตุลา มาเล่นบ้างเพลงใหม่บ้าง นอกจากนั้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงยังมีวงเกี่ยวดาว, ดาวเหนือ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มี วงนฤคหิต และที่มหาวิทยาลัยมหิดลมีวงประกายดาว

อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงคือ วงกอไผ่ ซึ่งเป็นกลุ่มนิสิตหนุ่มสาวของ มศว.บางแสน ที่รวมตัวกันเล่นดนตรี บทเพลงของพวกเขาสะท้อนออกซึ่งอุดมการณ์แห่งชีวิต เช่น เพลงกอไผ่ ที่พูดถึงความสามัคคีนำมาซึ่งเป้าหมายแห่งอุดมคติได้บรรลุชัย เพลงครู ที่ พูดถึงความเสียสละท่ามกลางความยากจนข้นแค้น อย่างไรก็ดีวงกอไผ่นั้นมิได้เน้นย้ำอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นวงดนตรีเพื่อ ชีวิตอื่นในมหาวิทยาลัย นอกจากวงดนตรีเหล่านี้แล้ว ก็มี วงลูกทุ่งเปลวเทียน, พลังเพลง, น้ำค้าง,ห พรีเชียสลอร์ด (เป็นวงชนะเลิศการประกวดเพลงโฟล์คซอง) , ทะเลชีวิต เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ แนวคิดเกี่ยวกับเพลงเพื่อชีวิต ในช่วงนี้ ก็เป็นแนวคิดที่สืบเนื่องมาจากแนวคิดในยุค 14 ตุลา นั่นเอง

“ยุค สมัยได้ย้อนรอยกลับไปสู่ยุคแสวงหาอันสับสนของคนไทยอีกครั้งหนึ่ง เรามองเห็นสำนึกบางอย่างที่มีอยู่ แน่นอนมันเป็นสำนึกในทางที่ดีงาม มีความหวัง และในความหมายถึงวันข้างหน้าว่า สำนึกเช่นนี้จะก้าวไปหาชีวิตที่ดีกว่า…” ดังนั้นบทเพลงในช่วงนี้จึง

มุ่งสะท้อนปัญหาผู้ยากไร้
มุ่งสะท้อนเรื่องราวของคนหนุ่มสาว
มุ่งสะท้อนเรื่องราวของ เหตุการณ์ 6 ตุลา


เพลงป่า-เพลงปฏิวัติ (พ.ศ.2520-2524)

จากต้นทางไกลโพ้น “เพลงเพื่อชีวิต” ก่อ รูปเป็นขบวนการทางศิลปะท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของ นักศึกษาประชาชนไทย เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมขับขานบอกเล่าความจริงในสังคม เพื่อมวลมหาประชาชนคนทุกข์ยาก บรรเลงต่อเนื่องไม่ขาดสาย บันทึกภาพลักษณ์ทางสังคมเข้าไว้หลากหลาย

เป็นสายธารเหยียดยาวบนกาลเวลาเนิ่นนานถึง 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2516 “เพลงเพื่อชีวิต” ได้สะท้อนปัญหาทางสังคม ความรู้สึกของผู้คน แต่ละสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นอก จากนั้นการแพร่กระจายของบทเพลงสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของผู้คนอย่างกว้างขวาง รวมทั้งต่อวงการดนตรีไทยโดยส่วนรวม ในระยะเวลาเกือบ 3 ปี หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต่อเนื่องเรื่อยมาตราบปัจจุบัน

ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา “เพลงเพื่อชีวิต” ได้กลายเป็นแนวเพลงเฉพาะ มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจเทปและแผ่นเสียงในประเทศไทย

กระแส แห่งสายธารนี้ หากย้อนมองจากหลักฐานบันทึก สามารถเห็นช่วงขาดหาย อันเนื่องมาจากเภทภัยทางการเมือง เหตุการณ์นองเลือดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผลักดันให้นักเพลงเพื่อชีวิตหลบหนีจากเงาทะมึนแห่งโพยภัย ปลีกตัวไปสู่ชนบท ปักหลักสู้บนภูเขา ระหว่างปี 2520-2524

“เพลงเพื่อชีวิต” หายไปบรรเลงกังวานสะท้านภูผา สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของผู้เจ็บแค้นจากทารุณกรรมกลางเมือง ประกาศกล้าเข้าต่อสู้ด้วยสงคราม สดุดีการต่อสู้และผู้นำวิถีทางการปลดแอก บอกเล่าถึงจิตใจเหิมหาญท่ามกลางชีวิตความเป็นอยู่ยากแค้นกันดาร ความมุ่งหวังและความใฝ่ฝัน แม้จะอยู่กับความอึดอัดขัดข้องของกรอบทำงาน จากสิ่งที่เรียกว่า “เพลงปฏิวัติ”

นับจากสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) เริ่ม ออกอากาศเมื่อเดือนมีนาคมปี 2505 เป็นต้นมา ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ดำเนินการอยู่นั้นเพลงปฏิวัติเป็นส่วนหนึ่งของรายการ กระจายเสียงที่คงคู่ตลอดจนกระทั่งปิดไปในที่สุด บทเพลงปฏิวัติของ สปท. เปรียบเสมือนคำแถลงและท่าทีของ พคท. ต่อเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ตลอดยุคสมัยที่ว่านั้น บทเพลงเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องมือและสื่อกลางที่สำคัญในการสร้างขวัญและ กำลังใจให้ขบวนการปฏิวัติทั้งหมด นอกจากนั้นในเสียงเพลงที่รับฟังได้จากสถานีวิทยุ สปท. ยังเจือปนไว้ด้วยความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎี ความเชื่อ ตลอดจนภาพสะท้อนบางด้านของการปฏิวัติภายใต้การนำของ พคท. ไว้ให้ศึกษาอย่างมากมาย

และนี่คืออาวุธที่ทรงอานุภาพยิ่งของ พคท. ในแนวรบด้านวัฒนธรรม ในขณะที่สงครามจิตวิทยากำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ดุเดือด แหลมคมอยู่นั้น เพลงปฏิวัติ ก็เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง และได้ผลมากโดยเฉพาะกับเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของ พคท. จนกล่าวได้ว่าในบางช่วง เวลา เพลงปฏิวัติ อยู่ในฐานะรุก เนื่องจากนำเสนอรูปแบบและเนื้อหาที่สอดคล้องเข้าถึงอารมณ์ของผู้ฟังได้ดี กว่า จนฝ่ายตรงข้ามต้องหันมาใช้เสียงเพลงแก้เกมในแนวรบด้านปฏิบัติการสงคราม จิตวิทยา


เพลงปฏิวัติ

ภาย หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมใน สังคมร่วมกับ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา แตกกระจัดกระจาย ลี้ภัยคณะปฏิรูปปกครองแผ่นดิน เข้าสู่เขตป่าเขาพื้นที่การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แปรสภาพไปเป็นศิลปินปฏิวัติ

ดังนั้นเพลงเพื่อชีวิตที่สร้างสรรค์ในสภาวะนี้ จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นเพลงปฏิวัติ

อาจมีเพลงส่วนหนึ่งของคาราวาน ซึ่งถูกตระเตรียมตั้งแต่อยู่ในเมือง เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 3 “มารครองเมือง” แต่เมื่อสภาพพลิกผันจึงต้องใช้สตูดิโอ “ป่าไผ่” กลางทิวเทือกเขาภูซาง ระหว่างรอยต่อ เลย-อุดร-หนองคาย บันทึกเสียงราวกลางปี 2520 ประกอบด้วยบทเพลง มารครองเมือง มรดกจีไอ ลุงโง่ย้ายภูเขา สามล้อ ฝนใหม่ โคราชขับไล่อเมริกา อีสานคืนถิ่น ฯลฯ

ส่วนนี้อาจจัดเป็นเพลงเพื่อชีวิต

ในที่นี้ไม่รวมถึงบทเพลงเพื่อชีวิตที่สร้างสวรรค์โดยวงดนตรีที่มีบทบาทเคลื่อนไหว ในเขตเมือง ในช่วงระยะเวลานั้นเช่น วงฟ้าสาง แฮมเมอร์ ฯลฯ

การ ศึกษาบทเพลงเพื่อชีวิต เมื่อเปลี่ยนบทบาทและเวที เข้าร่วมเคลื่อนไหวในขบวนปฏิวัติระหว่าง ตุลาคม 2519 ถึงราวกลางเดือนเมษายน 2525 จำต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ส่วน คือ บทบาทตัวบุคคลศิลปิน และบทเพลงปฏิวัติ




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2553 8:09:49 น.
Counter : 601 Pageviews.  

น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว : ประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ

กลับไปอ่าน “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว”



และงานคัดสรรของประเสริฐ จันดำ
และวิสา คัญทัพ




ชื่อ : ประเสริฐ จันดำ วิสา คัญทัพ “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว” และงานคัดสรร





ผู้เขียน : ประเสริฐ จันดำ วิสา คัญทัพ






สำนักพิมพ์ : มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา





ปีที่พิมพ์ : 2546





ราคา : 140 บาท / 120 หน้า





นับเป็นโอกาสดีที่ได้กลับไปอ่านงานวรรณกรรม บทกวี เรื่องสั้น และข้อคิดข้อเขียนในยุคก่อน 14 ตุลา โดยคณะกรรมการคัดสรรหนังสือชุด “ตุลาวรรณกรรม” มีวิทยากร เชียงกูล เป็นประธานคณะทำงาน มี วินัย อุกฤษณ์, วัฒน์ วรรลยางกูล, รัศมี เผ่าเหลืองทอง, เจษฎา ทองรุ่งโรจน์ และกัณหา แสงรายา เป็นคณะทำงาน ทั้งนี้โดยการสนับสนุนและผลักดันจาก “มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา” เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี 14 ตุลา : 2516 – 2446 เพื่อร่วมวาระประวัติศาสตร์วัน 14 ตุลา ประชาธิปไตย หนึ่งในจำนวนนั้นมีหนังสือ “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว และงานคัดสรร” ของสองกวีเพื่อประชาชนนามประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ รวมอยู่ด้วย






ทั้งประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ ต่างเป็นนักคิดนักเขียน กวี ในยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา ร่วมเคลื่อนไหวทั้งในเขตเมืองและในป่า แม้ว่าหลังจากที่ทั้งสองได้คืนเมืองก็ยังคงเคลื่อนไหวในแนวคิดและอุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าประเสริฐ จันดำ นั้นเหลือไว้เพียงตำนานนักสู้เพื่อประชาชน





เมื่อพลิกอ่าน “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว” และงานคัดสรร เล่มนี้ พบว่าเนื้อหาในหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคแรกเป็นงานเขียนบทกวี และเรื่องสั้นของวิสา คัญทัพ ภาคสอง เป็นบทบทกวี และเรื่องสั้นของประเสริฐ จันดำ ที่เขียนร่วมกับสุรชัย จันทิมาธร จากงานเขียนชุด “จารึกบนหนังสือ” ส่วนภาคที่สามเป็นกวีนิพนธ์ชุด น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว โดยประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ






ภาคแรก : บทกวี และเรื่องสั้นของวิสา คัญทัพ



ในภาคแรกของหนังสือเป็นบทกวีและเรื่องสั้นโดยวิสา คัญทัพ ประกอบด้วยบทกวีคัดสรร 5 บท และเรื่องสั้น 1 เรื่อง ด้านบทกวีคัดสรรเป็นบทกวีที่เขียนขึ้นก่อนเหตุการณ์และหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งฉายให้เห็นภาพเหตุการณ์ความสูญเสียซึ่งอิสรภาพและสูญเสียชีวิตของผู้คน รวมทั้งการรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งได้แรมรอนในเขตป่าในบทกวีชื่อ “ลมหนาวปีที่สี่กับพิราบเดือนตุลา” ซึ่งเป็นบทกวีที่วิสา คัญทัพ เขียนขึ้นภายหลังออกจากป่า ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกหนังสือ” ประจำเดือนกรกฎาคม 2524 ฉบับว่าด้วย “เรือลำใหม่กับเรือลำสุดท้าย”ว่าทัศนะความคิดของวิสา คัญทัพ และวัฒน์ วรรลยางกูร น่าจะเป็นกวีที่โดดเด่นในภาคนี้









ปก "โลกหนังสือ" ฉบับเดือนกรกฎาคม 2524




ในภาคเรื่องสั้นว่าด้วยเรื่อง “เด็กหญิงคนนั้นกับการปฏิวัติ” เป็นเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นภายหลังจากการออกจากเรือนจำชั่วคราวบางเขน เป็นเรื่องสั้นกึ่งจินตนาการในลักษณะบทบันทึกประจำวัน ระหว่างวันที่ 11 – 15 ตุลาคม 2516 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด





ทั้งบทกวีและเรื่องสั้นได้สะท้อนถึงการต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะบทกวีชื่อ “หยาดน้ำตาประชาไทย” ซึ่งเป็นบทกวีที่เขียนในโปสเอตร์ประท้วงรัฐบาลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในระหว่างเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ดังนี้



หยาดน้ำตาประชาไทย


หยาดน้ำตาประชาไทยในวันนี้



ไหลเกือบท่วมปฐพีแล้วพี่เอ๋ย



ถ้าความจริงสามารถอ้างเหมือนอย่างเคย



ก็จะเอ่ยและจะอ้างอย่างไม่กลัว



นี่มีปากก็ถูกปิดจนมิดเม้น




มันแทะเล็มถุยรดและกดหัว



ปัญหาที่เกิดนั้นก็พันพัว



ไม่อยากโทษใครชั่วเพราะกลัวตาย



ถ้าขอได้จะขอกันในวันนี้




ขอให้สิทธิ์เสรีอย่าสูญหาย



ถ้าเลือดไทยจะหลั่งโลมจนโซมกาย



ก็ขอตายด้วยศักดิ์ศรีเสรีชน ..... หน้า 21


ภาคสอง : จารึกบนหนังสือ : สุรชัย จันทิมาธร ประเสริฐ จันดำ





ในภาคสองของหนังสือเป็นบทกวีและเรื่องสั้นโดยประเสริฐ จันดำ ซึ่งเป็นบทกวีคัดสรรในยุคแรกของผู้เขียนราวปี 2507 เมื่อครั้งที่ยังเรียนอยู่ที่สวนกุหลาบวิทยาลัยต่อเนื่องมาถึงยุคแสวงหา “กลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวย” เมื่อครั้งศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนหนึ่งเป็นการคัดสรรจากหนังสือ “จารึกบนหนังสือ”ที่เขียนร่วมกับสุรชัย จันทิมาธร พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น เมื่อปี 2518 และหนังสือ “ขบวนการร้อยกรองซับแดง” ที่เขียนร่วมกับสมคิด สิงสง จัดพิมพ์โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งประกอบด้วยบทกวี จำนวน 32 บท และเรื่องสั้น จำนวน 3 เรื่อง






ประเสริฐ จันดำ ในวัยหนุ่ม


เนื้อหาในบทกวีที่นำเสนอ กล่าวถึงวิถีชีวิตชาวชนบทอีสานที่อยู่กับความแห้งแล้งกันดาร ความทุกข์ยากลำบาก ธรรมชาติที่แสนจะโหดร้าย รวมทั้งเรื่องราวการปฏิวัติเพื่อปวงชน เพื่อสังคมที่ดีในสังคม “คนกินคน” และความรำลึกความหลังเมื่อครั้งอยู่ในเขตป่าของผู้เขียน ที่น่าสนใจมีบทกวี เช่น แห่นางแมว, ฉันปลูกข้าวเพื่อใคร, กลับไปสู่แผ่นดินสูง, แปนเอิดเติด (เป็นบทเพลงของวงคาราวานในยุดต่อมา) แก่นกระดูก, สะพานข้ามห้วย, เสียงขลุ่ยเมื่อค่ำคืน, คำสาบจาก ประเสริฐ จันดำ, วันคืนเมือง, พบกันใหม่



มีบทกวีที่น่าสนใจคือ “พิมพยอม” ตำนานสาวบ้านป่าคนนั้น ขึ้นต้นได้อย่างน่าสนใจยิ่งนัก






“นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม



งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว



คีรีรอบเคียงเหมือนเวียงชัย



เอาร่มไม้เป็นปราสาทราชวังเคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่




มาฟังเรไรแซ่ต่างแตรสังข์



เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์



มากำบังใบไม้ในไพรวัลย์” ....หน้า 113






แท้จริงแล้วพิมพยอมเป็นใครกัน หญิงสาวบ้านป่าที่ยังรอคอยในบ้านป่า หรือพิมพยอมที่ปลุกเร้าอุดมการณ์ในใจของทุกคน เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ






จำวันนั้นได้ไหม



พยอมไพรฟุ้งจรุงกลิ่น



กระแสน้ำไหลเอื่อยเรื่อยเรื่อยริน



ใบไม้แห้งระดะดินเรียงราย



แดดรอนรอนอ่อนโอ้อกระโหย



ตะวันลาใช่ร่วงโรยให้ใจหาย




เป็นขวัญของผองไทยไปตราบตาย



เราท้าทายทุกท่าหาญฝ่าฟัน



พรุ่งนี้แล้วแก้วตาเห็นฟ้าใหม่



อันเรืองไรรูจีด้วยสีสัน



เพื่อชีวิตที่ดีกว่าที่ว่านั่น



มาเถิดร่วมมือกันเข้าชิงชัย .....หน้า 117-118




ฉันนั่งลงตรงชายป่า



รำลึกถึงมหานักรบประชาชน



ผู้บรรลุแล้วซึ่งความวีระอาจหาญ



ผู้ล่องลอยวิญญาณเนื่องจากการถูกลอบกัด



ฉันรู้สึกวังเวง



ในความอ้างว้างของรกชัฏ




การปฏิวัติจะต้องมี ต้องมี ต้องมี



กระซิบส่งภูตผีให้ตามล่าหมาขี้เรื้อน



พวกมันไปซุกอยู่รูไหน



จงติดตามมันไปเถิดเพื่อน



นกผีร้องเป็นสัญญาณเตือน



ศพเหล่าเจ้าพวกเถื่อนจักเกลื่อนดิน




เหล่ามันผู้ทรยศประชาชน



มุดหัวอยู่แหล่งใด



กลางนาครรุ่งเรืองศิวิไลซ์



หรือเห่าหอนมาถึงราวไพรให้ได้ยิน



บดขยี้มันให้สิ้นนะเพื่อนกู



น้ำค้างหยดต้องใบไม้สั่นเทา




กับเงื้อมเงาแห่งเทือกภู



เราจักอยู่ไยเยี่ยงคนขลาด



ประชาชาติต้องการปลดแอก บัดเดี๋ยวนี้



ก่อนกาลราตรีหลับใหล



ฝันเห็นอาทิตย์ไขแสงรูจี



ไม่นานหรอก พรุ่งนี้ต้องมีเสมอ




เมื่อเงามืดวิ่งลับจากไป ลับจากไป



จากความยากไร้ของมวลชนผู้ทุกข์ระทม



ฉันกระซิบสั่งบอกทุ่งนา



กังวานเริงร่า สั่งความถึงเทือกภู



บอกรวงข้าวสุกเหลือง บอกมัดปดที่ชายป่า



จงกวาดล้างพวกมัน จงกวาดล้างพวกมัน




แจ่มแจ้งกระจ่างใจใช่ไหมขวัญ



เร่งรุดเร็วพลันอย่างแน่วแน่



ประชากรจักต้องไม่พ่ายแพ้



ขอฝากพิมพยอมทุกทุกคน ......หน้า 122-123






ในภาคเรื่องสั้น มีเรื่องสั้นคัดสรร จำนวน 3 เรื่อง คือ “ในนามของสายน้ำ” “เป็นเช่นนี้” และ “หวังว่าวันจะฟันโค่น” เป็นเรื่องสั้นที่ประเสริฐ จันดำ เขียนขึ้นภายหลังคืนเมือง เรื่องสั้น “ในนามของสายน้ำ” พูดถึงวิถีชีวิถีชีวิตของ “คำพัน” กับ “นง” ครอบครัวชาวนาที่ประสบภัยธรรมชาติในหน้าน้ำหลาก ทำให้ต้นข้าวจนอยู่ใต้น้ำ มิแตกต่างกับชะตากรรมของชาวนาไทยในปัจจุบัน






เรื่องสั้น “เมื่อเป็นเช่นนี้” พูดถึงชะตากรรมของครอบครัวแม่ใหญ่มน ที่มีลูกเขย “จ่าก้าน” ปฏิบัติหน้าที่บ้านเมืองอย่างเคร่งครัด จนทำให้ “หม่น” และ “เหมือน” น้องเมียต้องประสพชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงเพราะความเป็น “คนป่า” กับ “คนเมือง”





ส่วนเรื่องสั้น “หวังว่าวันจะฟันโค่น” พูดถึงวิถีชีวิตชาวชนบทในสังคมการนับถือพระนับถือถือเจ้า ในขณะที่ผู้ที่ไม่สนใจใยดีกลับได้รับคำนินทาว่าเป็น “คนนอกคอก” โดยคำพิพากษาของสังคม ในขณะเดียวกันมีเรื่องของการใบ้หวยของผู้ทรงศีลที่ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน และแก้ไม่หายไปจากสังคมไทย






ภาคสาม : น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว กวีนิพนธ์ : ประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ



ในภาคสุดท้ายว่าด้วยกวีนิพนธ์คัดสรร “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว” ของประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2518 โดยในคำนำร่องของวิสา คัญทัพ ได้พูดถึงต้นคิดของกวีนิพนธ์เล่มนี้ว่าเป็นการต่อกลอนของตนกับประเสริฐ จันดำ ภายใต้ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายในวาระและสถานการณ์ที่แตกต่าง ภายใต้ความเจ็บปวด เคียดแค้น ที่ประชาชนถูกคดโกง กดขี่ เอาเปรียบ และถูกเข่นฆ่า เหมือนดังส่วนหนึ่งของบทเพลงที่ “คาราวาน” นำมาขับขาน





“น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว



ชวนหนุ่มสาวมาเดินทางไกล



หนทางนั้นอาจยืดเยื้อ




ยาวนานก็ไม่เป็นไร



อนาคตอันแสนสดใส



สุดท้ายชัยเราจึงได้มา” ...นำร่อง โดย วิสา คัญทัพ หน้า 161



วัฒน์ วรรลยางกูร และวิสา คัญทัพ ในวัยหนุ่ม



จากบทกวี 12 บท ในภาคสาม มีบทกวีที่น่าสนใจคือ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” “ประกายไฟจากท้องทุ่ง” “เจ็ดศพที่กกจำปา” “ท้าวคูลูกับดอกนางอั้ว” และ “ลิลิตพยากรณ์ น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว”




“พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” พูดถึงการต่อสู้ของวีรชนที่ทำกิจกรรมด้านการเมือง และเรียกร้องความเป็นธรรมที่ถูกฆาตกรรม อย่างไร้คำตอบมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของ “แสง รุ่งนิรันดรกุล” “นิสิต จิรโสภณ” “สำราญ คำกลั่น” “อินถา ศรีบุญเรือง” และ “มานิตย์ อินทรสุริยะ”





“ประกายไฟจากท้องทุ่ง” เป็นบทกวีที่น่าสนใจพูดถึงประกายไฟแห่งการต่อสู้ของพี่น้องชาวไร่ชาวนาผ่านกลอนสุภาพ กลอนหมอลำพัฒนา กาพย์ยานี กลอนอิสระ โคลงสี่สุภาพ ร้อยแก้ว ได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น



ประกายไฟจากท้องทุ่ง



(กลอนหมอลำพัฒนา)






พอแต่เปิดผ้าม่านกั้ง ท้าวมานั่งเถียงนา



อึดทั้งข้าวทั้งปลา เฮ็ดจั๋งไดนอนี่



เฮ็ดจั๋งไดนอนี่



ฟังเด้อพวกพี่น้อง ท้องถิ่นดินอีสาน



ผู้แบกหนี้ภาษีอาน บ่แม่นแนวนอนั่น




บุญโฮมคือชื่อข่อยอยู่บ้านป่าขาดอน ถึกมันราญรอนข่มเหงแลงเช้า



มันข่มเหงแลงเช้า มีแต่หันเข้าสู้พวกหมู่แนวหมา



ทาสรับใช้อเมริกา อย่าเอามันไว้ อย่าเอามันไว้ ...หน้า 184





(กาพย์ยานี)



ลูกทุ่งประเทศไทย ไม่ขายชาติแผ่นดิน




หยัดสู้คู่ธรณินทร์ ในนามชนผู้เสรี



มาเถิดเพื่อนจงมา ที่ทุ่งท่ามาคลุกคลี



ท้าท้ายเหล่ากาลี กระทืบซ้ำด้วยตีนเรา



เพื่อนนิสิตนักศึกษา ผู้ก้าวหน้าแต่วัยเยาว์




ยอมแบกภาระเอา ไม่เคยคร้ามขานความตาย



นักเรียนตัวจ้อยจ้อย อย่ารอคอยมันจะสาย



มาช่วยกันทำลาย พังแอกทาสที่กดคอ



กรรมกรและชาวนา จงเร่งมาอย่ารีรอ



ประสานมือพร้อมพอ เข้าต่อสู้พวกเหล่าพาลชน..หน้า 184





(กลอนอิสระ)



รุ่งแจ้งแสงทอง บุญโฮมมองฟ้า เช้านี้ต้องไถ่นา มาไอ้ตู้ไปเถิดเราไถดะไว้ก่อน แดดร้อนมึงต้องอดทนหน่อย พ่อเอาก่องข้าวน้อย ส่งมาให้หน่อย ข้อยจะไปไถนา เที่ยงวันคงเสร็จ จะไปหาเห็ดในป่า เอามีดอีโต้ด้วยหนา จะได้ฟืนมาหุงข้าวกิน เรื่องเงินกู้สหกรณ์ มันเป็นพวกสหกิน พ่อฟังแล้วจงยิน อย่าไปยุ่งกับพวกมัน ขูดเลือดเราแน่แน่ เราแย่ลงทุกวัน เขาอิ่มหมีพลีมัน จำให้ดีนะพ่อนะ ....หน้า 184-185





(โคลงสี่สุภาพ)





เที่ยงวันได้ฤกษ์แล้ว เสร็จงาน



ต้องเข้าป่าเป็นพราน สักมื้อ




หาเห็ดแกงอร่อยหวาน อร่อย อร่อย



ปลดไถแล้วเดินทื่อ ขึ้นภู ....หน้า 187





(กลอนสุภาพ)





แคนขับขานลาจากอย่างยากเย็น




ยะเยียบเย็นลมหนาวจากราวป่า



บุญโฮมหนุ่ม-ใจสาวผ่าวอุรา



ประกายไฟจากทุ่งนาทับทวี



แคนคืนนี้ขับร้องทำนองรัก



พรุ่งนี้แคนอาจจักไม่มีพี่



ได้ข่าวจากรัฐบาลเมื่อวานนี้




ว่าเขาจะบดขยี้ชาวนาจน ....หน้า 191





“เจ็ดศพที่กกจำปา” ความทรงจำของโศกนาฏกรรมของหนุ่มภูไทพ่อค้าเจ็ดคนจากเรณูนคร นำสินค้าพื้นบ้านไปขายที่ต่างถิ่น สุดท้ายจบชีวิตที่กกจำปา แดนนาแก นครพนม





เจ็ดศพที่กกจำปา



ชาวนาประเทศเป็นอย่างนี้




ทำนาใช้หนี้ยากไร้



รัฐบาลไม่เคยปราณีใคร



ปกป้องรับใช้ศักดินา



ปกป้องรับใช้นายทุนใหญ่



เผด็จการขนานใหม่คอยเข่นฆ่า




รับใช้จักรพรรดินิยมอเมริกา



ทำลายปวงประชาประเทศไทย



สิ้นนาชายทั้งเจ็ดจึงระเห็จระเห



เป็นพ่อค้าร่อนเร่ขายกระหลั่ย



เพื่อสะสมเงินตราเอามาไว้



เก็บไว้ใช้ก่อนปีที่มีนา .......หน้า 177




คืนทั้งคืนฟ้าทั้งฟ้ามืดสนิท



หกคนดับชีวิตรอเกิดใหม่



เหลือคนเดียวบุญเถิงอยู่กลางไพร



เจ็บปวดแทบสิ้นใจเขาอดทน



เขาตะเกียกตะกายน้ำตาหลั่ง




ครั้งนี้กูสิ้นหวังไม่เห็นหน



กลางป่าไม่มีผู้คน



ใครจะช่วยความอับจนกูครั้งนี้



จนตะวันเยือนโลกกระจ่างแสง



เลือดแดงท่วมร่างไหลปรี่




เพื่อนชาวดงผ่านมาพอดี



รู้แจ้งเหตุกาลีด้วยน้ำตา ..... หน้า 198


“ท้าวคูลูกับดอกนางอั้ว” บทกวีว่าด้วยท้าวคูลูและนางอั้วทิ้งยุคใหม่บ้านทุ่งท้องไร่ท้องนาไปใช้ชีวิตเป็นกรรมกรในเมืองหลวง เป็นชะตากรรมที่มิแตกต่างไปจากท้องทุ่ง ดังบทกวีที่กล่าวไว้





ท้าวคูลูเป็นคูลูหนุ่ม



เดินดุ่มทนสู้จากหมู่บ้าน




ละท้องนาทิ้งไถไม่ทันนาน



คูลูมาได้งานเป็นกรรมกร



นางอั้วเก็บคมเคียวเลิกเกี่ยวข้าว



เมื่อเจ็บปวดรวดร้าวก็เร่รอน



ลาไอ้ทุยเขาทู่สู่นาคร




มาเป็นกรรมกรในเมืองกรุง



เป็นผู้ใช้แรงงานขนานใหม่



อาบเหงื่อไคลไม่ผิดกับท้องทุ่ง



แต่มิได้เม็ดข้าวมาใส่ยุ้ง



เพราะมันกองในพุงของนายเงิน ....หน้า 203


“ลิลิตพยากรณ์ น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว” แสดงให้เห็นถึงความละเมียดละไมในเชิงกวี ประกอบด้วย ร่าย อิทิสังข์ฉันท์ ๒๑ กลอน โคลงสอง กาพย์ยานี ภุชงค์ประยาตร์ ๑๒ โคลงสี่สุภาพ และโคลงห้าพัฒนา






ลิลิตพยากรณ์ น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว



(ร่าย)





โอม เออำนาจมหาประชาราษฎร์ องอาจกล้าท้าอธรรม ที่มันย่ำมันหยัน ที่ฟาดฟันเหล่ากู ต้องลุกสู้อย่าถอย จารเป็นรอยประวัติศาสตร์ ว่าไทยชาตินักรบ ไม่สยบผู้รุกราน ต้องต้านทานเหล่าโจร ที่มันปล้นกินเมือง วางตัวเขื่องข่มขู่ เข่นฆ่าผู้ลงแรง เลือดสีแดงกระเซ็นสาด หยาดหยดพื้นธรณินทร์ให้มึงกินต่างข้าว กูปวดร้าวสยอน กูกินนอนบ่ได้ กูไร้สิ้นบ่มี แผ่นดินนี้ของใคร ฤาจักให้มันหยาม หรือจักคร้ามขัดเขิน มาเราเดินดุ่มผงาด กอบกู้เอกราช น้ำท่วมฟ้าฟองฟาด กราดเกรี้ยว กินเดือน ......หน้า 207





(อิทิสังข์ฉันท์)



มีน่ะหรือที่คนจะยอมคะมำ




จะล้มคะเมนให้มึงขม้ำ เขมือบไทย



เฮ้ย-วะกูจะกู้ประกาศชัย



ถะโถมถลันทะลวงรุกไล่ กระสือเมือง ....หน้า 207





(กลอน)




มหาประชาชนร่ำร้องหา



อิสรเสรีที่จะมา



ด้วยเลือดและน้ำตาอิ่มอาดูร



ผู้ปกครองทั้งหลาย



คนเป็นคนใช่ควาย-ค่าคนศูนย์




กองกระดูกที่มองเป็นกองกูณฑ์



เพิ่มพูนนักสู้คนต่อไป .....หน้า 208





(โคลงสอง)





ต้องเตรียมการต่อสู้ หมั่นฝึกหมั่นเรียนรู้



เล่ห์ร้ายทรชน




ประชาชนถูกต้อง ยืนหยัดเรียกร้อง



คัดค้านอธรรม นั่นแล ....หน้า 212





(กาพย์ยานี)





ทรยศและยุยง ให้แตกร้าวชาวไร่นา




เขาขู่ปวงประชา เขาเข่นฆ่าอย่างมันมือ



แลไปสะดุ้งไป ประเทศไทยอย่างนี้หรือ



ขี้ข้านั่นก็คือ เหล่ามหาประชาชน



....หน้า 212





(ภุชงค์ประยาตร์ ๒๑)






เถอะน้ำฟ้าจะท่วมถึง และดาวดึงส์ก็ปลากิน





กตัญญูประชาริน ละหยดเลือดกลีเมือง



ก็ครองประหนึ่งทาส คณาราษฎร์ฤแค้นเคือง



มอมเมาประชาเนือง และปิดเรื่องตลอดมา




....หน้า 213





(โคลงสี่สุภาพ)





เหตุเพราะน้ำท่วมฟ้า ท่วมทาว



ปลาจึงแล่นกินดาว ดาดฟ้า



พยากรณ์ว่าถึงคราว วิบัติ




คนชั่วขึ้นครองหล้า โลกร้อนระอุไฟ ... หน้า 214





(โคลงห้าพัฒนา)





น้ำท่วมฟ้า พยากรณ์



จุ่งสังวร วาดไว้



สถาพร สัจจะ




บ่รู้ไว้ หลบหาย เลือนหาย ...หน้า 217





การได้กลับไปอ่าน “น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว” และงานคัดสรรของประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ เหมือนหนึ่งได้กลับไปอ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ในนามการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์อันเด็ดเดี่ยว นับเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน ขอบคุณสำหรับคณะกรรมการคัดสรรหนังสือชุด “ตุลาวรรณกรรม” ที่ทำให้นักอ่านรุ่นใหม่ได้ซึมซับอุดมการณ์จากกวีนิพนธ์ของสองกวีของประชาชนนามประเสริฐ จันดำ และวิสา คัญทัพ

เก็บมา //www.baanmaha.com/community/thread19893.html




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2553 1:04:56 น.
Counter : 687 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

> เอ้ < photo
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




บันทึกของช่างภาพ ที่ชอบท่องเที่ยว ถ่ายภาพ รักสายลม แสงแดด ทะเลสีใส ชอบสาว ๆ แล้วก็ รักเด็กครับ

บล๊อกนี้ทดลองรวมเอาทุกอย่างที่ชอบ และสนใจ มาบันทึกรวมกันไว้
เรื่องราวมากมายเลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่ Group Blog ทางด้านซ้าย
บาง Group Blog อาจยังไม่สมบูรณ์แต่จะเติมให้เต็มในไม่นานนี้
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม

ติดต่อ ส่งข้อความถึง หรือ ติดตามผ่าน facebook คลิก Like page facebook/SorawichTravelจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว ที่พัก อาหาร การเดินทาง
หรือ facebook/Sorawichphotographyเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพ
และ+มาได้สำหรับคนใช้ google plus ครับ


♡♥ เดินทางไป บนเส้นทางแห่งความฝัน จะไปด้วยกันก็เชิญ ♡♥

♡♥ apologies... my blog Under construction ♡♥


Copyright © allrights reserved SORAWICH BUPPA
my blog บันทึก และ ตัวอย่างงาน
sorawich.portfolios
facebook.com/Sorawichphotography
sorawichphoto.multiply.com
sorawichphotography.blogspot.com

ติดต่อ ติดตาม ส่งข้อความผ่าน facebook ตามสมัยนิยมนะครับ
SorawichTravel

Promote Your Page Too


♡♥♡♥♡♥♡♥♡♥♡♥♡♥♡♥♡♥♡


free hit counter

" เมื่อเรามุ่งไขว่คว้าหาดวงดาว
ถึงเราจะไม่ได้มาสักดวงหนึ่ง
แต่อย่างน้อย
เราก็ไม่จบลงด้วยมือที่เปื้อนโคลน "


Friends' blogs
[Add > เอ้ < photo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.