ในปี ค.ศ. 2011 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลเดนมาร์กแห่งปี, ดัตช์ฟุตบอลทาเลนท์ออฟเดอะเยียร์, อายักซ์ทาเลนท์ออฟเดอะเยียร์ และติดทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลยูโร รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เขาคว้าแชมป์ลีกของดัตช์กับอายักซ์ ในฤดูกาล 201011, 201112 และ 201213 ก่อนย้ายไปเล่นให้กับทอตนัมฮอตสเปอร์ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ด้วยค่าตัว 11.5 ล้่านยูโร ในฤดูกาล 201314 เขาได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และในปี ค.ศ. 2015 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลเดนมาร์กแห่งปี สมัยที่สามติดต่อกัน
เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010[7] และลงเล่นนัดแรกในนัดกระชับมิตรพบกับทีมชาติออสเตรียในเดือนถัดมา[8] กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยสุดอันดับที่ 4 ที่ติดทีมชาติปีนั้น และยังเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดตอนติดทีมชาติครั้งแรก[9]
วันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 หัวหน้าผู้ฝึกสอน มอร์เตน ออลเซน ประกาศว่า คริสเตียน เอริกเซน จะติดทีมชาติในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดที่ลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนั้น เขาลงเล่นไปสองนัด พบกับเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ก่อนที่ทีมของเขาจะยุติเส้นทางในรอบแบ่งกลุ่ม
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2011 เขาได้รับตำแหน่งผู้เล่นประจำแมตช์ในนัดที่แพ้อังกฤษ 12 และได้รับการชื่นชมจากนักฟุตบอลหลายคน รวมไปถึงแฟรงก์ แลมพาร์ด จากสโมสรฟุตบอลเชลซี, ริโอ เฟอร์ดินานด์ จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ผ่านทางทวิตเตอร์), และโค้ชของเขา มอร์เตน ออลเซน ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2011 เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติ นัดที่ชนะไอซ์แลนด์ 20 ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก เขาเป็นผู้เล่นชาวเดนมาร์กอายุน้อยสุดที่ทำประตูในรอบคัดเลือก โดยน้อยกว่ามิชาเอล ลอดรัป ที่ทำได้ในปี ค.ศ. 1983 อยู่ 9 วัน
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป เดนมาร์กถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่ม อี โดยมีทีมแข็งอย่างโปแลนด์และโรมาเนีย เอริกเซน เป็นผู้เล่นคนหนึ่งที่สำคัญ เขาทำได้ 8 ประตู ช่วยให้เดนมาร์กผ่านเข้ารอบเพลย์ออฟ พบกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เขาทำแฮตทริก ในนัดที่สองของเพลย์ออฟ เอาชนะไอร์แลนด์ไปได้ 51 ช่วยให้เดนมาร์กได้ไปเล่นฟุตบอลโลกที่ประเทศรัสเซีย สรุปแล้ว เขาทำประตูทั้งสองรอบไปทั้งสิ้น 11 ประตู เป็นรองเพียงโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (16) และคริสเตียโน โรนัลโด (15) เขาได้รับการชื่นชมจากผู้จัดการทีม เอจ ฮาเรด ที่จัดให้เขาอยู่ใน 10 ผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลก