ชนชนไท-ไต ไท-ลาว กลุ่มต่างๆ กลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทกะไดนั้น แต่เดิมมีถิ่นฐานกระจายตัวอยู่บริเวณแคว้นยูนนาน แคว้นกวางโจว กวางสีตะวันตก เสฉวน และบริเวณจีนตอนใต้แห่งอื่นๆอีกมากมาย ต่อมาได้กระจายตัวกันไปบริเวณต่างๆในทิศใต้ลงไป หากเราจะแบ่งกลุ่มคนที่พูด ภาษาตระกูล tai-kadai ออกเป็นกลุ่มๆเราก็จะได้ เป็น 3กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่พูดภาษาไทสาขาเหนือคือบริเวณจีนตอนใต้ เช่น กวางสีตะวันตก ยูนนานตะวันออก เป็นกลุ่ม1 กลุ่มที่2 คือบริเวณเวียดนามตอนเหนือที่ติดกับจีน เช่น พวกไทนุงไทยาว และกลุ่มสาขาที่3 คือ กลุ่มพวกไทยสาขาใต้ คือ พวก ไท-ไต ในรัฐฉาน กลุ่มไทในประเทศไทย ไท-ลาวในลาว และพวกไทดำไทขาว เป็นต้น ชนชาติไท-ลาวและตำนานความทรงจำแห่งการอพยพสู่ทิศใต้ คนไทมาจากไหน?? คำถามนี้เราได้ยินกันมาไม่มากก็น้อยแล้วก็พากันเชื่อหรือตั้งทฤษฎีไปกันต่างๆนาๆ ทั้งที่จริงๆแล้วเค้าโครงการอพยพมันมีให้เห็นอยู่ชัดในตำนานโบราณต่างๆของพวกกลุ่มชนชาติไทย-ลาว ไต-ไท อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นนิทานขุนบรม หรือ ตำนานสิงหนวัต และชินกาลมาลี หรือตำนานของไตลื้อที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในยูนนานก็มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับการอพยพลงมาทางใต้ที่สอดคล้องกันว่าชนชาติที่พูดภาษาไตกะได (tai-kadai language family ) ไม่ได้เป็นชนชาติที่ดั้งเดิมของดินแดนแถบนี้ เพราะตำนานต่างๆ มักจะกล่าวถึงย้ายถิ่นฐานมาตั้งเช่น พงศาวดารหลวงพระบางกล่าวว่า "เดิมมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อขุนบรมราชาลงมาแต่เมืองแถน มาสร้างเมืองแถนมาเป็นพระนครใหญ่"หลักฐานชิ้นนี้สอดรับกับหลักฐานของประชุมพงศาวดารภาคที่ 77 ประวัติศาสตร์ยูนนานและทางไมตรีกับจีน ที่กล่าวกษัตริย์น่านเจ้าพระองค์หนึ่งชื่อ ฝงเหยี่ยว ได้รับพระราชทานตำแหน่งจากจีนเป็น เทียนอ๋อง(การพระราชทานตำแหน่งนี้เป็นเพื่อสร้างสัมพันธ์ไมตรีระหว่างรัฐ เพราะน่านเจ้ากับจีนนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน เราจะเห็นได้ว่ารัฐน่านเจ้านั้นยังเป็นเอกราชอยู่เพราะได้ไปเข้าตีแคว้นตังเกี้ยหรือเวียดนามที่จีนได้อ้างสิทธิ์ปกครอง) ในรัชสมัยนี้ได้ส่งกองทัพเข้าไปปราบปราบแคว้นตังเกี้ยในปีพ.ศ.1401 และตั้งชื่อใหม่ว่า "ตุงกิง"หรือราชธานีตะวันออก เรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกับ การลงมาตั้งถิ่นฐานของขุนบรมราชาจากพงศาวดารหลวงพระบางเป็นอย่างมาก คำว่าเทียนกับแถนอาจจะเกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่งก็ได้ ดังนั้นขุนบรมราชาอาจะลงมาจากเมืองเทียนอ๋องหรือเมืองแถนและมาตั้งเมืองใหม่ในแคว้นตั้งเกี้ยเป็นเมืองใหญ่ที่เรียกว่าตุงกิง จากตำนานของพวกลาวก่อนที่ขุนลอจะเอาพลมาสร้างเมืองชวา(หรือโจมตีเพราะเมืองชวาเดิมเป็นชื่อเมืองของชนพื้นเมืองเดิม) ที่ต่อมาจะกลายเป็นแคว้นเมืองหลวงพระบาง ก่อนหน้านั้นมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองแถนที่มีนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็นเดียนเบียนฟูในเวียดนาม ถ้าเมืองแถนเป็นเมืองเดียนเบียนฟูจริงทุกอย่างก็จะลงล็อคตามเรื่อง นี่คือการกระจายตัวมาทางใต้ของชาวไทยครั้งหนึ่งที่ต่อมาคงจะเป็นพวกไทในเวียดนามเหนือก็เป็นได้ พอดีข้าพเจ้าได้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูจากตำนานสิงหนวัตของ มานิต วัลลิโภดมดู ในหน้า21พบว่าเมืองคุนมินในยูนนานปัจจุบันเดิมนั้นมีนามว่าเมืองเทียนหรือเมืองแถน นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้พงศาวดารหลวงพระบางกล่าวว่าขุนบรมราชามาแต่เมืองแถนมาสร้างเมืองราชธานีใหญ่เป็นเมืองแถนอีกกระมังเพราะเมืองตุงกิงเป็นสาขาแยกของน่านเจ้าและราชธานีตะวันออกในสมัย สมัยต่อมาจึงจำว่าเป็นเมืองแถนไปกลายเป็นเมืองแถนสองเมืองแทนที่จะรับรู้ว่าเป็นเมืองในอิทธิพลของน่านเจ้าหรือเทียนอ๋อง
อธิบายเรื่องผีแถนกับเทียนและความเชื่อมโยงทางความเชื่อสู่ข้อสันนิษฐาน ในช่วงปีก่อนพุทธกาลที่บริเวณลุ่มนำ้แยงซีเกียงและแคว้นจกของประเทศจีนนั้น เเต่เดิมเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่มากมายรวมถึงพวกไท หรือ ไป่ ที่ชาวจีนเรียกชาติพันธุ์หลายๆชาติพันธุ์นี้ว่าพวก ไป่หยี้ หรือพวกอนารยชน ชนพวกนี่นั้นโดนชาวจีนเข้ามาปกครองในสมัยของจักรพรรดิ์เหลืองที่เป็นต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า จักรพรรดิ์เหลืองของจีนนั้นได้ส่งราชบุตรสององค์มาปกครองพื้นที่บริเวณนี่ คนหนึ่งปกครองแคว้นจกหรือเสฉวนโบราณอีกและแคว้นอีก6แคว้นย่อยในแคว้นจกนั้น มีศูนย์กลางหรือเมืองหลวงอยู่ที่เชียงตู้ ส่วนพระราชโอรสอีกพระองค์นั้นปกครองอยู่ที่บริเวณลุ่มแม่นำ้เหลือง ทำให้ชนพื้นเมืองเหล่านี้ได้รับเอาคติความเชื่อในการบูชาผีสางและธรรมชาติตามแบบฉบับของลัทธิเต๋าลัทธิเต๋านี้ยังมีการเครพ เทพที่เป็นใหญ่ที่สุดคือเทียน ในภาษาแต้จิ๋วที่แปลว่าท้องฟ้า มีการทำพิธีบูชาวิญญาณต่างๆตามครอบครัวต่างๆแน่นอนว่าถ้าผู้ปกครองจะปกครองผู้คนเหล่านี้ได้เขาก็จะต้องเป็นผู้ที่บูชาเทพเจ้าที่สูงสุดและควบคุมวิญญาณธรรมดาเหล่านี้ด้วย การทำพิธีการเซ่นไหว้ของกษัตริย์และการอ้างตัวเองเป็นโอรสของเทพเจ้าชั้นสูงหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือโอรสสวรรค์นั้นเอง คตินี้ถูกส่งทอดมายังชนพื้นเมืองในพื้นที่ที่ถูกจีนปกครองไปด้วย นั่นก็คือเทียนกลายเป็นผีแถนฟ้านั่นเองอันเป็นคติที่สืบทอดมายังชาวไท-ลาว ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นชาวอีสานหรือเหนือก็เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายลงมาของกลุ่มชนพื้นเมืองที่ได้รับคติบูชาวิญญาณนิยมจากจีนด้วย ผีแถนและขุนบรมในตำนานของชาวล้านช้างและชาวไทในลุ่มนำ้กกนั้นก็คงได้รับเค้าโครงเรื่องมาจากตำนานลัทธิเต๋าของจีน สาเหตุของการเคลื่อนย้ายของคนที่พูดภาษากลุ่มไท-กะได (tai-kadai language family) นั้นส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการรบพุ่งชิงราชสมบัติของราชโอรสทั้งสองของจักรพรรดิ์เหลือง ทำให้ชาวไทยในลุ่มนำ้แยงซีเกียงหรือลุ่มนำ้เหลืองได้รับการกระทำที่ต้องรบพุ่งกันตามไปด้วยจนทำให้ชนพื้นเมืองหล่าวนี้เคลื่อนย้ายลงไปทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของ(และเอเชียอุษาคเนย์)แคว้นจก และกลุ่มไทเเม่นำ้เหลืองอพยพขึ้นไปทางเหนือ ต่อมากลุ่มชาวจีนมีปัญหาภายในในยุคเลียดก๊ก ทำให้ชาวไทกะไดและชาวพื้นเมืองสามารถกลับมาตั้งตัวได้ใหม่อีกครั้งเป็นสามแคว้นคือ แคว้นญ้อ แคว้นจก และแคว้นปา(ในฮูเป) แต่ในที่สุดใน พ.ศ.320 แคว้นทั้งสามก็ถูกจิ๋นสีฮ่องเต้พิชิตได้ ขุนนางแคว้นญ้อได้นำทหารกลุ่มหนึ่งไปตีเมืองเทียน(หรือคุนหมิงในปัจจุบันมลฑลยูนาน)และตั้งตัวขึ้นใหม่ที่นั้นและตั้งแคว้น ผาสื่อที่มีอาณาเขตกว้างขวางขึ้นมา แคว้นผาสื่อการแตกแยกสู่การล้มสลาย
ตระกูลที่ปกครองรัฐญ้อนั้นตามตำนานจากเอกสารจีนนั้นเล่าว่ามีบรรพบุรุษมาจากอินเดียและได้แต่งงานกลับหญิงชาวพื้นเมือง(กลุ่มชาติพันธุ์ ไทกะได)หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าในร้ฐนี้ได้รับวัฒนธรรมอินเดียมาใช้นั้นเอง แคว้นผาสื่อต่อมาในช่วง พ.ศ. 500 ในรัชสมัยฮั่นบู๊เต๊ แคว้นผาสื่อแตกออกเป็นรัฐตะวันออกและตะวันตก คือตระกูลขุนนางที่มาตั้งเมืองในทิศตะวันออกของหนองแสร และทิศตะวันตกในหนองแสรตาลีฟูตระกูลเจ้าญ้อ(ไทยเมือง)ตั้งตัวกลับขึ้นมาคือขุนเมืองหรืออีกชื่อเทวกาลได้และด้วยการสนับสนุนของฮั่นบูเต้ ตระกูลไทยเมืองก็กลับมาเป็นใหญ่ได้และรวมทั้งสองรัฐ(ตะวันตกตะวันออก)ขึ้นกลับมาเป็นรัฐเดียวกัน แต่ในที่สุดก็กลับมามีปัญหากับจีนในเรื่องเส้นทางการค้าทางบกจนเกิดสงครามขึ้นในปี พ.ศ. 443-456 และผาสื่อน่านเจ้าก็ถูกพิชิตในที่สุด ชาวไท-ลาวจำนวนมากได้อพยพลงไปสู่แม่นำ้โขงและเเม่นำ้สาละวิน สาเหตุที่ทำให้ผาสื่อแพ้ก็คือแตกแยกภายในและแบ่งออกเป็นสามแคว้นมีประมุขของตัวเอง คือ ขุนหาญเสือแคว้นหนึ่ง ขุนเมาแคว้นหนึ่งและแคว้นหนองแสรแคว้นหนึ่งบางแคว้นไปขึ้นกับจีนทำให้กลุ่มผาสื่อได้แตกพ่ายในที่สุด แต่จากตำนานสิงหนวัตกุมารนั้นได้บรรยายถึงเหตุการณ์นี้ได้ดีและได้เบาะแสของการเชื่อมต่อของแคว้นผาสื่อกับโยนรัฐตอนต้นได้เป็นอย่างดีสรุปได้ดังนี้ "มีพญาตนหนึ่งเป็นใหญ่ในแดนฮ่อคือเทวกาลและได้แบ่งให้ลูกชายลูกสาวไปปกครองเมืองต่างๆทิศตะวันออกเฉียงใต้" สิงหนวัตนั้นตามตำนานแล้วเป็นโอรสของเทวกาลที่ได้ยกครัวเรือนมาตั้งเมืองโยนกนาคพันธ์ อีกอย่างที่เชื่อมโยงกันว่าเทวกาลและเจ้าขุนเมืองนั้นเป็นคนเดียวกันก็คือ การเป็นใหญ่ในเมืองฮ่อหรือเมืองไทยเทศนครราชคฤห์ก็คือมลฑลยูนนาน อีกอย่างหนึ่งคือ โบราณศักราช 17ตัว เป็นปีที่เทวกาลขึ้นครองราชย์ถ้าเราอ้างอิงตาม ตำนานสิงหนวัต ฉบับสืบค้น โบราณศักราช 17ตัวก็ = พ.ศ.430 ที่ขุนเมืองขึ้นครองแคว้น ผาสื่อพอดี ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า เทวกาล-ขุนเมือง คือคนเดียวกัน และสิงหนวัตกุมารก็คือน่าจะเป็นกลุ่มอพยพกลุ่มหนี่งจากความวุ่นวายในยูนนาน ผาสื่อลงมาในดินแดนแหลมทองนั้นเอง.
ตอนหน้าจะกล่าวถึงความเชื่อมต่อของรัฐไทยในจีนใต้และสุโขทัย,รัฐไทยตอนเหนือลุ่มนำ้โขง-กก และรัฐไทยรุ่นแรกๆเมื่อท่านผู้อ่านได้อ่านครบทั้งสองบทแล้ว (บทนี้กับบทหน้า) หวังว่าจะเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีไทยมาจากจีนใต้ได้ดียิ่งขึ้น
(เขียนโดย:นิธิศ จตุรภุชพรพงศ์)
เอกสารอ้าง - หนังสือ ไทยยวนคนเมือง - หนังสือ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 11 -หนังสือ ประชุมพงศาวดารภาคที่ 77 -หนังสือ ตำนานสิงหนวัต ฉบับสอบค้น
Create Date : 25 มีนาคม 2565 |
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2566 8:45:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 578 Pageviews. |
|
|