
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
ม.๖
ม.๖
ตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ไม่ค่อยมีเรื่องในตอนม.๕มาเล่ามากเท่าไรเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้สร้างวีรกรรมแหวกแนวเท่าไหร่หรือจำไม่ได้กันแน่ (แต่ค่อนข้างจะโอนเอียงไปโทษความจำที่ไม่ดีของตัวเอง) อีกเหตุผลนึงที่เป็นไปได้นั่นคือระยะเวลาเรียนที่น้อยกว่าในชั้นม.๕ (แค่สองเทอม) อีกทั้งผมเป็นพวกชอบอยู่แบบสบายๆเลยค่อนข้างจะ Low Profile ไปหน่อย แต่รับประกันได้ว่าในช่วงม.๖นั้นพวกเราได้สร้างวีรกรรมกันเต็มไปหมด มีกันมากมายเล่ากันได้สามวันแปดวันเลยทีเดียว
ยิงปืน
ก่อนที่จะเล่าถึงเรื่องวีกรรมต่างๆที่สร้างไว้จนเหล่าอาจาร์ยต้องส่ายหน้า ผมขอมีสาระกันนิดนึงก่อน (มีสาระนิดเดียวจริงๆ) โรงเรียนของผมนั้นค่อนข้างจะเน้นหนักไปด้านกีฬา ดังนั้นเราจึงมีกิจกรรมด้านกีฬาให้เลือกกันอย่างมากมาย ไม่ว่าปีนเขา ฟุตบอล ว่ายน้ำ ฮ๊อคกี้ คริกเก็ต และยิงปืน
กีฬายิงปืนเป็นกีฬาที่ผมชอบมากที่สุด เป็นเพราะว่าตอนเด็กๆเวลาผมอยู่กับน้าชาย เขาจะเอาปืนออกมาทำความสะอาด และสอนให้รู้จักวิธียิง ให้ลองจับ สอนหลักความปลอดภัยในการใช้ปืนอยู่บ่อยๆ แต่ว่าไม่เคยให้ยิงเลย (เคยให้ยิงแค่นัดเดียว) เมื่อทางโรงเรียนได้นำกีฬายิงปืนเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมผมจึงไม่รอช้าที่จะกระโดดไปแจมชมรมยิงปืนนี้ด้วย (ถ้าจำไม่ผิดนั้นโรงเรียนตั้งชมรมยิงปืนตอนผมอยู่ม.๔) ส่วนประเภทของปืนนั้นเป็นปืนอัดลมแข่งขัน ทั้งปืนยาวและปืนสั้น และถึงแม้ว่าจะเป็นชมรมเล็กๆในโรงเรียน แต่ว่าชมรมยิงปืนเป็นชมรมเดียวของโรงเรียนที่สามารถส่งนักกีฬาไปแข่งในระดับตัวแทนของรัฐและคว้ารางวัลกลับมาได้
พวกเรามีโค๊ชมือดีมาคอยดูแลให้ โค๊ชเราเป็นนักกีฬายิงปืนทีมชาติมาก่อน และก็เคยปั้นนักกีฬาทีมชาติของอินเดียมาแล้วและหนึ่งในนั้นคือลูกชายของเขาเอง ดังนั้นความสำเร็จของทีมเราต้องยกให้โค๊ชเราที่คอยแนะนำ เคี่ยวเข็น และเป็นกำลังใจให้พวกเรามาตลอด
โดยทีมยิงปืนของโรงเรียนจะมีตัวยืนคือรุ่นพี่ของผมคนหนึ่ง ขอเรียกแกว่า โบปปุ๊ แล้วกัน โบปปุ๊นี่เก่งมากครับมือนิ่งใจเย็น เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งของโรงเรียนและเป็นกัปตันทีมของพวกเราด้วย เขาสามารถคว้าเหรียญทองระดับประเทศได้เกือบทุกปีที่ไปแข่ง ส่วนตัวผมนั้นก็เป็นได้แค่เงาของเขา เมื่อโบปปุ๊เรียนจบออกไปความรับผิดชอบของทีมจึงตกมาอยู่กับผม (โบปปุ๊เป็นรุ่นพี่ผมปีนึง) พวกเราก็คงฝึกซ้อมกันอย่างหนักและก็สามารถคว้ารางวัลการแข่งขันเยาวชนระดับประเทศต่างๆมาได้ ไม่น้อยหน้าผลงานพวกรุ่นพี่ที่เคยสร้างเอาไว้
เอาหละหลังจากได้ยกหางตัวเองพอหอมปากหอมคอแล้ว เรามาเข้าเรื่องวีรกรรมกันบ้าง วีรกรรมของชมรมยิงปืนจะมีแค่ช่วงที่ไปแข่งขันเพราะว่าคนที่คุมทีมจะมีแค่โค๊ช ไม่มีครูของทางโรงเรียนไปด้วยแถมโค๊ชพวกเราก็ใจดีจึงทำให้เราซ่ากันได้เต็มที่ มีอยู่ครั้งนึงพวกเราต้องไปแข่งที่เมืองทางใต้ของอินเดีย (คิดว่าน่าจะเป็นที่ Madras) ซึ่งเราต้องเดินทางโดยนั่งรถไฟกันถึงห้าวันกว่าจะถึง วันแรกๆของการเดินทางก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ โดยส่วนใหญ่ก็จะจับกลุ่มเล่นไพ่บ้าง เล่นเกมบ้าง ไม่ก็อ่านกาตูน แต่พอเขาถึงวันที่สามทุกๆอย่างมันก็เริ่มน่าเบื่อจึงต้องหาอะไรมาทำแก้เซ็ง
ทุกๆเช้าหลังจากผมตื่นนอนผมจะสังเกตุเห็นคนอินเดียนั่งยองๆอยู่ข้างรางรถไฟกันเป็นตับ โดยมีกระป๋องน้ำพลาสติกหลากสีวางอยู่ข้างๆ ตอนแรกๆผมก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มานั่งหันหลังให้ทำไม แต่พอมองดูดีๆก็เข้าใจว่าเขามาถ่ายทุกข์กัน โอย..เป็นการต้อนรับวันใหม่ที่ดีมาก ตูดเป็นร้อย แถมมีแต่พวกผู้ชายเสียอีก ทุกๆครั้งที่เห็นพวกเราแทบจะควักลูกตาออกมาล้างให้รู้แล้วรู้รอด แต่พวกเราก็ฉลาดพอที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เราเลยใช้ก้นของชายฉกรรณ์เป็นร้อยๆนี้ให้เป็นประโยชน์ นั่นคือเป็นเป้าซ้อมยิง
ไม่ต้องกังวลกันว่าพวกเราจะไปเจาะรูที่ก้นของเหล่าชายผู้น่าสงสารนั้นนะครับ เพราะว่าปืนที่ใช้นั้นเป็นปืนอัดลม แถมยังมีระยะห่างสิบกว่าเมตรบวกด้วยอีกลมปะทะจึงทำให้กระสุน (Pallet) ด้านๆของเรามีผลแต่แสบๆคันๆ ยกเว้นแต่ว่าจะแจ๊กผอตไปโดนพวงสวรรค์ที่เรียงรายห้อยอยู่ ถ้าโดนเข้าไปคงได้ล้มทั้งขี้
ดังนั้นพวกเราจึงแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้าเพื่อที่จะมีเวลาล่าแจ๊กพ๊อตให้มากที่สุด เป็นเรื่องดีที่เรานั่งรถไฟชั้นสอง เพราะว่ามันแบ่งเป็นห้องๆและไม่ใช่ห้องแอร์ทำให้สะดวกต่อการซุ่มยิง การยิงเป้าจากรถไฟนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะว่าเราเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา และการสั่นสะเทือนก็มีมาก แถมด้วยยังต้องกะวิถีกระสุนจากลมประทะที่รุนแรง ทำให้โดนเป้าที่ต้องการยากมาก ส่วนการตรวจสอบว่าเรายิงถูกเป้ารึปล่าวนี่ง่ายมากเลยครับ ถ้าเรายิงแล้วมีคนกระโดดยืนขึ้นเอามือกุมตูดก็แสดงว่ายิงถูกเป้า ถ้ายังนิ่งกันก็แสดงว่าไม่โดน พวกเรายิงนับแต้มกันสนุกสนานตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ แต่มีอยู่ครั้งนึงที่เพื่อนผมมันดันไปยิงโดนวัวที่ยืนอยู่ข้างๆเหล่าชายที่กำลังก้มหน้าก้มตาเบ่งยามเช้าอย่างเพลิดเพลิน วัวเจ้ากรรมดันตกใจวิ่งใส่ฝูงคนที่นั่งเรียงรายกันกระเจิง ที่น่าสงสารก็พวกที่คงยังไม่สุดดี เก้ๆกังๆจะวิ่งก็กลัวจะเลอะ ถ้าไม่ขยับก็เจอวัวเหยียบคากีบแน่ๆ เสียดายที่ไม่เห็นว่าจบยังไงเพราะรถไฟวิ่งเร็ว แต่เห็นลับๆว่าวัวคงสงบไปแล้ว คิดว่าพวกคนเหล่านั้นที่พวกเราสอยดาวคงหลอนไปอีกนานเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านพวกเขาตอนเช้า
--------------------------------------------------------------------------------
ที่อินเดียจะมีเทศกาลใหญ่อยู่สองครั้ง เทศกาลแรกคือ Holi ซึ่งเหมือนๆกับสงกรานต์บ้านเรา แต่ว่าเขาจะเล่นสาดสีฝุ่นกันแทน เละเทะมาก..ผมไม่ค่อยชอบเล่นเท่าไหร่ เทศกาลที่สองคือ Diwali พวกเขาจะเล่นดอกไม้ไฟกัน แน่นอนว่าเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆทั้งหลาย (ผมจำความหมายของสองเทศกาลนี้ไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะครับ) และอีกวีรกรรมของพวกเราตอนม.๖ ก็เกิดขึ้นในเทศกาล Diwali นี้เอง
โรงเรียนของผมมีประวัติไฟไหม้ใหญ่มาแล้วสองครั้ง ฉะนั้นทางโรงเรียนจึงค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องการเล่นดอกไม้ไฟ รวมถึงออกกฏการเล่นดอกไม้ไฟให้นักเรียนเล่นกันอย่างปลอดภัยด้วย เช่นห้ามนำประทัดขนาดควายๆ แรงๆ มาจุด และห้ามนำดอกไม้ไฟจำพวกจรวดมาเล่นยิงใส่กัน อีกทั้งประกาศชักชวนให้นักเรียนไม่เล่นดอกไม้ไฟเพื่อเป็นการไม่สนับสนุนแรงงานเด็กที่ใช้ในโรงงานดอกไม้ไฟ แต่มีหรือที่พวกเราจะไม่เล่น..หึๆ
ทางโรงเรียนให้นักเรียนเล่นดอกไม้ไฟที่สนามชั้นสองและสามเท่านั้น โดยเหล่าครูๆ (รวมถึงครูใหญ่) จะคอยดูนักเรียนจากชั้นหนึ่งลงมา และให้เล่นตอนกลางคืนหลังอาหารเย็นเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะว่าเล่นดอกไม้ไฟตอนกลางวันมันสนุกตรงไหนล่ะ พอทานอาหารเย็นเสร็จเหล่านักเรียนก็รีบแจ้นลงไปที่ชั้นสองและชั้นสาม พวกเด็กเล็กๆ ตั้งแต่ม.๓ ลงไปจะเล่นที่ชั้นสามเสียส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเด็กโตชอบเล่นกันโหดๆ โหดอย่างไรหรือ? ก็แกล้งกันไงครับ
ในคืน Diwali ทางโรงเรียนจะไม่เปิดสปอตไลท์ที่สนาม เพื่อที่ว่าแสงสปอตไลท์จะได้ไม่กลบสีของดอกไม้ไฟ (และประหยัดตังค่าไฟ) ดังนั้นพวกเราก็จะเล่นกันมืดๆ มีเพียงแสงดาวและแสงจันทร์เหมาะแก่การแอบจุดประทัดไกล้ๆเพื่อน และรุ่นน้องให้ตกใจเล่น แต่ว่าแกล้งๆแค่นั้นมันจะสนุกเหมือนแบ่งข้างยิงจรวดใส่กันหรอ?
จรวดที่ผมพูดถึงก็คือไอ้ "วี๊ดบึ้ม" นั่นแหละ พวกเราจะไปในเมืองกันตอนกลางวันเพื่อไปซื้อพวกวี๊ดบึ้มมาตุนไว้ พอจังหวะที่มันเริ่มมืดได้ที่ ประมาณว่าพวกครูที่อยู่ข้างบนมองไม่เห็นแล้วว่าใครเป็นใคร พวกเราก็จะแบ่งฝ่ายไปสองฝั่งของสนามแล้วเปิดฉากยิงวี้ดบึ้มใส่กัน ขนาดของสนามมันก็เท่ากับสนามฟุตบอลพอดี ซึ่งเป็นระยะที่วี๊ดบึ้มมันจะ "บึ้ม" พอดี ยิ่งให้จรวดมันระเบิดใกล้กลุ่มของอีกฝั่งเท่าไหร่ก็ยิ่งสนุกยิ่งขำ (นึกๆย้อนไปแล้ว รู้สึกว่าโคตะระอันตราย..ตอนนั้นมันห่ามจริงๆ) พวกเรายิงโต้กันได้สี่ห้าเม็ดก็ได้ยินครูใหญ่ตะโกนลงมาจากชั้นหนึ่งว่าให้หยุดยิงจรวดใส่กัน แต่มีหรือที่พวกเราจะกลัว ยังไงก็มองไม่ให้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร ว่าแล้วก็ยิงกันต่อ
พวกเรายิงใส่กันอีกได้ไม่กี่เม็ด เพื่อนที่อยู่ข้างๆผมก็สะกิดให้ผมดูว่ามีเงาคนรูปร่างตุ๊ต๊ะเดินลงบันไดจากชั้นหนึ่งลงมาชั้นสอง พวกเราหยุดเล่นประทัดแล้วช่วยกันเพ่งว่ามันเป็นผู้ไดเพราะว่าช่างหาญกล้าเดินไปที่กลางสนามแล้วหยุดยืนอยู่อย่างนั้น แล้วความสงสัยนั้นก็หมดไปเมื่อเงานั้นประกาศตัวเองว่าเป็นครูใหญ่และให้นักเรียนทุกคนที่ยิงจรวดใส่กันขึ้นไปชั้นบนเพื่อรับโทษ!
โอ้..พวกเราทุกคนทั้งแปลกใจทั้งตกใจ ที่ครูใหญ่ลงทุนลงมายืนที่กลางสนามโชว์พาวด้วยตัวเอง ขณะนั้นทุกคนหยุดเล่นดอกไม้ไฟกันหมด ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีใครขยับ...และแล้วเหมือนกับว่านัดกันไว้ก่อน จรวดมากมายจากทั้งสองฝั่งก็ถูกจุดขึ้นและทุกๆอันก็เล็งไปที่ครูใหญ่!
แหมก็โอกาสที่จะแกล้งครูใหญ่อย่างนี้แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วการที่ครูใหญ่ลงมากลางสนามอย่างนี้เหมือนกับติดป้ายนีออนว่า "ยิงกรูดิ" แล้วพวกเราจะพลาดได้อย่างไร? ที่น่าแปลกใจคือพวกเราทั้งสองฝั่งคิดได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน
ตอนนั้นมันเหมือนกับได้ดูหนังเรื่อง Matrix ในชีวิตจริงเลยล่ะครับ แน่นอนที่สุดว่าครูใหญ่เราได้เล่นเป็นคีอานูรีฟ ส่วนห่ากระสุนก็ถูกแทนที่ด้วยวี๊ดบึ้ม พวกเราระดมยิงจรวดกันอย่างบ้าระห่ำ ฝั่งผมเล่นเอาจรวดมาวางเรียงกันบนพื้นเป็นสิบๆอันเป็นแถวแล้วไล่จุดเพื่อที่จะได้ยิงให้เร็วที่สุดเลยทีเดียว
ครูใหญ่ของพวกเราแสดงการหลบวี๊ดบึ้มแบบ Matrix โดยไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษช่วยได้ไม่กี่อึดใจ จากที่แหกปากว่าให้ "หยุดๆๆ" ก็กลายเป็น "ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!" แล้วก็วิ่งจากกลางสนามขึ้นบันไดไปชั้นหนึ่ง โดยที่มีวี๊ดบึ้มยิงตามตูดอย่างไม่ลดละ (กะว่าวันนี้ข้าเอาเอ็งตายแน่)
สักพักเดียวพวกเราก็สลายตัวกันอย่างรู้หน้าที่ วิ่งอ้อมสนามแล้วขึ้นไปบนหอจับกลุ่มนั่งโม้อวดกันว่าใครยิงใส่ครูใหญ่ได้มากกว่ากัน เช้าวันรุ่งขึ้นครูใหญ่ก็เรียกประธานนักเรียนและเหล่า Prefects เข้าไปคุยเพื่อให้สืบหาว่ามีใครบ้างที่จุดวี๊ดบึ้มใส่แกอย่างที่ไม่กลัวโดนไล่ออก แต่ขอโทษเหอะ...ไอ้ประธานนักเรียนตัวดีที่ครูใหญ่ฝากความหวังเอาไว้ที่จะคนทำผิดมาลงโทษเนี่ย เป็นคนฝั่งผมที่ออกไอเดียว่าให้วางวี๊ดบึ้มเรียงกันแล้วจุดใส่แกเอง ส่วนไอ้พวก Prefect ที่เหลือก็แจมกันด้วยทั้งนั้น...อย่าว่าจะให้จับคนทำผิดเลย แค่แพะก็ไม่มีให้จับละครับงานนี้
Create Date : 23 ธันวาคม 2552 |
|
7 comments |
Last Update : 24 ธันวาคม 2552 14:14:58 น. |
Counter : 3389 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: chabori วันที่: 23 ธันวาคม 2552 เวลา:16:42:38 น. |
|
โดย: Mariomab IP: 190.2.133.230 วันที่: 12 มิถุนายน 2564 เวลา:19:17:26 น. |
|
โดย: BennieRar IP: 190.2.130.167 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2564 เวลา:21:13:14 น. |
|
โดย: Louisunalo IP: 89.38.97.125 วันที่: 10 ธันวาคม 2564 เวลา:21:47:11 น. |
|
โดย: DJCharlesSyday IP: 46.166.182.65 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา:15:16:58 น. |
|
โดย: Richardsaisa IP: 213.159.38.90 วันที่: 13 พฤษภาคม 2565 เวลา:23:30:33 น. |
|
โดย: Wallacevof IP: 194.32.122.18 วันที่: 21 กันยายน 2566 เวลา:4:12:34 น. |
|
| |
|
Karakgnut |
 |
|
 |
|
ย่างเข้าปีใหม่สุขใจทุกวัน
ไม่ว่าปีไปวันไหม่เวียนผ่าน
กาลเวลาแสนนาน
ขอให้ยังเบิกบานในใจ
ขอให้มีความสุขตลอดปี
ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหนๆวันเปลี่ยนเวียนไป
ขอให้สุขใจจริงเอย