วิธีวางแผนเงินออม เงินลงทุน เพื่ออิสรภาพทางการเงิน
ทำไมหลายคนมีเงินเดือนสูงแต่ไม่รวยซักที... ทำไมคนส่วนน้อยบางคนมีเงินเดือนนิดเดียว แต่กลับมีเงินเก็บพอกพูนขึ้นทุกวัน ? เป็นเพราะสมการในการใช้ชีวิตต่างกัน... คุณย่อมรู้อยู่แล้วว่า ต้องกันเงินไว้ใช้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่ากินอยู่ ในแต่ละเดือนในแต่ละเดือนเท่าไหร่ ให้ทำอย่างนั้นกับเงินเก็บบ้างสิคะ!!!!! หลายคนมักจะคิดว่าแค่รายจ่ายประจำวันก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วจะไปเอาเงินส่วนใดมาเก็บก่อนใช้จ่าย... จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู๋กับสิ่งเดียว คือ ทัศนคติ โดยให้ปรับทัศนคติว่า เงินออมเป็นเงินเพื่อซื้ออนาคตที่สุขสบายตามอัตภาพ หากไม่กันไม่เก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด โดยยึดหลักที่ว่า "ออมก่อน จ่ายทีหลัง" ทันที ที่เงินเดือนออก หักออกมาเป็นจำนวนที่คุณ"รู้อยู่แล้ว" ว่าวางแผนจะเก็บเท่านี้ทุกๆเดือน และ "กันเงินไว้แล้ว" สำหรับหยอดกระปุก ไม่ยอมให้กระปุกแห้งเหี่ยวอีกต่อไป เหลือเท่าไหร่นั่นแหละ จึงจะเป็นค่าใช้จ่าย ที่คุณต้องเอาตัวให้รอดถึงสิ้นเดือนให้ได้ด้วยจำนวนเงินแค่นั้น รายได้ - เงินออม = ค่าใช้จ่าย หลักในการวางแผนเงินออมและเงินลงทุน ควรแบ่งรายได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ค่าใช้จ่าย และเงินออม โดยค่าใช้จ่ายให้แบ่งเป็น 4 กระเป๋า ดังแผนภาพ - เงินใช้หนี้ : มีหนี้ก็ใช้ซะ หรือเงินใช้หนี้บุพการีและผู้มีพระคุณ บำรุงพ่อแม่ให้ท่านสุขสบาย
- เงินใช้จ่ายส่วนตัว : ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง รวมทั้ง เลี้ยงดูบริวารลูกน้อง
- เงินทำบุญ : เงินส่วนนี้ไว้สำหรับทำบุญทุกประเภท
- เงินเตรียมลงทุน : เพื่ออนาคต ยังไงก็ต้องเอาเงินมาลงทุนต่อเป็นเงินใหม่นะ
หลักการ คือ ให้แบ่งสี่ส่วนไม่ต้องเท่ากัน ตามแต่ความเหมาะสม แต่ยังไงก็ต้องแบ่ง อาจเริ่มต้นแบ่งออมเงินจากหลักร้อย หรือหลักพันต่อเดือน หากเวลาผ่านไปภาระหนี้สินลดน้อยลง ค่อยปรับเพิ่มสัดส่วนเงินออมให้สูงขึ้นภายหลังได้ วิธีการบรรลุอิสรภาพทางการเงิน -
เก็บออม (saving) -
ประกันความเสี่ยง (hedging) -
ให้ทรัพย์สินที่เราเก็บออม ไปทำงานแทนเรา (investing) และหัวใจสำคัญของบันไดสามขั้นนี้ จะสำเร็จได้ต้องเข้าใจหลัก 3 ข้อต่อไปนี้ก่อน
- มองภาพใหญ่ ว่าจุดหมายเราคืออะไร อยู่ที่ไหน
- มองภาพตามความเป็นจริง ไม่ใช่มองแต่โลกในแง่ดี (be realistic, not optimistic)
- เลือกหรือปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุน ตามความเหมาะสมของเราเอง วิธีแต่ละคนอาจจะเหมือนกัน หรือแตกต่างกันขึ้นกับความรู้ ความเข้าใจ และ lifestyle ของแต่ละคน
ตุ่ม A = เงินสดเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เป็นตุ่มที่สำคัญที่สุด ถ้าตุ่มนี้ยังไม่เต็มก็อย่าเพิ่งเอาเงินไปใส่ตุ่มอื่นหรือเอาไปทำอย่างอื่น เงินสดที่ควรเก็บเผื่อฉุกเฉินคือ "ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของเรา x 7 " = ปริมาณเงินที่ต้องเติมให้เต็มตุ่ม A ตุ่ม B = เงินประกันความเสี่ยงขั้นวิกฤติ ดังนั้น ควรเจียดเงินมาซื้อประกันชีวิต เอาไว้เพื่อให้ได้วงเงินเหมาะสมที่จะคุ้มครองเราและคนข้างหลังเราได้.......... แต่ในการ ทำประกัน อย่ามองที่ผลตอบแทน เพราะเราต้องการ "ประกันความเสี่ยง" ไม่ใช่การลงทุน
เราซื้อประกันความเสี่ยง เราไม่ได้หวังรวยจากดอกเบี้ยประกันชีวิต ดอกเบี้ยสูงจะมีประโยชน์อะไร ถ้าค่าครองชีพสูงตาม????? ในตุ่ม B นี้เราจ่ายเงินเพื่อต้องการแค่ "การประกันความเสี่ยงเท่านั้น" ไม่ได้หวังจะได้เงินคืนเลย ดังนั้นที่ถูกแล้ว ให้เลือกแบบประกันที่ "แทบไม่ได้รับเงินคืนเลย " เพราะแบบประกันพวกนี้ จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. คุ้มครองชีงิต ถึงอายุ 60 หรือตลอดชีวิต 2. เบี้ยถูกมากกกกกก
ตุ่ม C = เงินออมเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข
การลงทุนของตุ่ม C ต้องมีการคุ้มครองเงินต้น แต่ถ้าดอกเบี้ยต่ำมาก อาจมีทางออก คือ แบ่งเงินจากตุ่ม C มาใส่กระเป๋า "ลงทุน" โดยเลือกลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ จะเห็นว่า ในตุ่มเก็บเงิน A B C นี้ มีตุ่มA เท่านั้นที่เป็นเงินร้อน คือ ต้องเก็บในที่สภาพคล่องสูง เช่นฝากธนาคาร มีเหตุฉุกเฉินเมื่อไหร่ต้องถอนมาใช้ได้ทันที
ส่วน ตุ่ม B กับ C เป็นเงินเย็นเจี๊ยบ แช่แข็งในส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่ถอนยาก ถอนลำบาก คือมั่นใจว่า เรามีอะไรเดือดร้อน เราไม่แตะ สองตุ่มนี้ เงินสองตุ่มนี้ฝากแล้วปิดตาย อีก 2 20 ปีค่อยมาถอนได้
ขอให้แยกแยะให้ดี อยากได้อะไร ก็หักเงินค่าใช้จ่ายไปซื้อ อย่ามาแตะ 2 ตุ่มนี้เด็ดขาด!!!!!
Create Date : 31 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2556 0:43:34 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2282 Pageviews. |
|
|