Fic : Skinship Story (ฮวังดีพ ver.) | Ep.5

Ep.5 : โรคกลัวสัมผัส






ในช่วงเวลาโพล้เพล้ที่ดวงตะวันกำลังคล้อยต่ำลงภายใต้ท้องฟ้าสีเหลืองสลับเลื่อมกับส้มแก่

ณลานกว้างในสนามเด็กเล่นแห่งหนึ่ง

เด็กชายตัวน้อยสองสามคนกำลังจับกลุ่มกันเล่นเครื่องเล่นอย่างสนุกสนาน

เด็กที่ตัวเล็กสุดกำลังหัวเราะเอิ้กอ้ากกับการที่เห็นเด็กคนอื่นเล่นสไลเดอร์ลงมาเด็กน้อยไม่ทันรู้ตัวก็มีลุงท่าทางใจดีคนนึงมานั่งยองๆอยู่ข้างๆ

คุณลุงยิ้มหวานยื่นลูกอมในมือให้

เด็กน้อยจึงยิ้มกลับไปพลางก้มหัวเป็นการขอบคุณก่อนจะคว้าลูกอมมาทาน



' อร่อยมั้ย?'

คุณลุงถาม



เด็กน้อยยิ้มกว้างทั้งที่ยังมีลูกอมอยู่เต็มปาก



' อาหย่อยยยคับ'



รอยยิ้มสดใสยิ่งเป็นประกายมากขึ้นเมื่อคุณลุงบอกว่า คุณลุงยังมีขนมอีกเยอะแยะเลย

คุณลุงลุกขึ้นอย่างช้าๆพลางจูงมือเด็กน้อยออกมาอย่างเป็นกันเอง



เจ้าตัวเล็กมัวแต่สนใจห่อลูกอมสีสวยที่เพิ่งถูกหยิบยื่นมาให้จึงเดินตามไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังค่อยๆไกลจากสนามเด็กเล่นออกไปเรื่อยๆ





คุณลุงพาเขาเดินผ่านถนนใหญ่ตัดเข้าตรอกและซอยเล็กๆที่เขาไม่คุ้นตา

ท้องฟ้าค่อยๆมืดครึ้มลงพร้อมๆกับทัศนียภาพรอบด้านที่เริ่มทึบทึน



รอบด้านของเขาตอนนี้เห็นแต่เพียงกำแพงที่สูงชันและเงาร่างของตึกเก่าโทรมๆที่อยู่ด้านหลังกำแพง

ในสถานที่อับชื้นที่ไร้ผู้คน

ช่องทางออกทางเดียวที่เห็นถูกขวางไว้ด้วยร่างที่ใหญ่โตของคุณลุงแปลกหน้า





ชั่วขณะนั้นคุณลุงใจดีที่เดินมาด้วยกันก็กลับดูน่ากลัวขึ้นมา

รอยยิ้มที่มองมาที่เขาเหมือนพวกตัวตลกในหนังสยองขวัญที่ดูน่าขยะแขยง






เด็กชายใช้แรงที่มีอยู่สะบัดมือให้หลุดพ้นจากมือหนา

แต่เรี่ยวแรงของเด็กน้อยก็ไม่อาจฝืนหรือต้านแรงของคนที่โตกว่าได้เลย






มือหยาบกร้านคู่นั้นจงใจบีบข้อมือน้อยๆแรงขึ้น..แรงขึ้น

ยิ่งเด็กน้อยออกแรงต่อสู้มากเท่าไรคนตรงหน้าก็ยิ่งดูชอบใจ



ยิ่งเห็นเจ้าตัวเล็กหมดแรงสู้ก็ยิ่งออกแรงบีบข้อมือเสียจนมือน้อยๆห้อเลือดขึ้นมา






' กลัวเหรอ?'



ใบหน้าที่มีแต่ริ้วรอยโน้มเข้ามาใกล้ในระยะประชิด





' นายนี่หน้าตาน่ารักนะ.. อย่างกับตุ๊กตาเลย '



มือหยาบกร้านอีกข้างลูบไล้ใบหน้าเด็กน้อยอย่างหื่นกระหาย









..ไม่…ไม่…









เด็กน้อยดีดดิ้นสุดแรงทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งชก

แต่แขนขาที่ไร้เรี่ยวแรงกลับทำได้เพียงเหวี่ยงไปมาในอากาศ







ร่างเล็กๆถูกดันกระแทกติดกำแพงเขารู้สึกได้ถึงสีข้างที่เจ็บแปลบขึ้นมา











.

.

.



จินยองลืมตามองพื้นห้องอย่างงงๆ



ในขณะที่ก้มมองตัวเองที่พันด้วยผ้านวมผืนโตมีหมอนกับหมอนข้างกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

ความเจ็บที่สีข้างแล่นแปลบ…











อ่อ… นอนตกเตียง นี่เอง



ร่างบางลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่ายังฝันอยู่ หรือตื่นแล้วกันแน่

เขาโยนหมอนและผ้าห่มลงบนเตียงอย่างอารมณ์เสีย





ไม่ได้ฝันถึงเหตุการณ์นี้มานานมากแล้ว..

มันเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย









. . ครืดครืด..



เสียงข้อความเข้าดังพร้อมกับไฟหน้าจอสว่างวาบ

มือบางรีบคว้าแมสแซสมาอ่านแม้ว่าปลายทางจะเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย











' อยากคุยเรื่องการคัดเลือกโปรเจคช่องWone

เจอกันที่ชั้น4 Amour Cafe ข้างตึก ตอน 10:00 '











" Amour Cafe ชั้น4 !? "



จินยองทวนคำ

Amour Cafe นั้นเขารู้จักดี เพราะเป็นร้านกาแฟร้านใหญ่ที่อยู่ติดกับตึกบริษัท เป็นร้านยอดนิยมและได้รับการจัดอันดับในนิตยสารอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นร้านไฮคลาสที่มีการตกแต่งร้านอย่างมีรสนิยมและมีเมนูทั้งของหวานและของคาวที่ขึ้นชื่อ

แต่ที่ทำให้เขาต้องแปลกใจคือ ข้อความในนี้ระบุให้เขาขึ้นไปชั้น 4

แต่เท่าที่เขารู้มาร้านนี้เปิดให้บริการแค่ ชั้น1กับชั้น2เท่านั้น ชั้นที่3น่าจะเป็นที่สำหรับพนักงาน

แล้วชั้น4 มันมีด้วยเหรอ??







หลังจากรีบอาบน้ำแต่งตัวและรีบออกมาให้ทันรถบัส

ไม่นานจินยองก็มายืนอยู่หน้าร้านAmour Cafe และได้ค้นพบว่าจริงๆร้านนี้มี 4 ชั้นจริงๆ



เบื้องหน้าของเขาคืออาคารพาณิชย์4 ชั้นที่มีรูปทรงเหมือนสถาปัตยกรรมตะวันตกมีการตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นสะอาดและสบายตา ข้างในมีพื้นที่กว้างและมีการแบ่งปันสัดส่วนอย่างพอเหมาะพอดีไม่ให้อึดอัดจนเกินไป



จินยองเดินขึ้นไปถึงชั้น2 และหยุดอยู่ตรงประตูที่เป็นคีย์การ์ดที่มีป้ายบอกตัวใหญ่ระบุว่า

' สำหรับพนักงานเท่านั้น'



เขายืนเก้ๆกังๆได้ไม่นานพนักงานหญิงคนนึงก็เดินเข้ามา



" มีอะไรให้ช่วยไหมคะ"



ร่างสูงรีบโชว์แมสเซสที่เขาได้รับเมื่อเช้าทันที

เธอรับมือถือมาอ่านก่อนจะส่งมือถือคืนพร้อมทั้งยื่นคีย์การ์ดให้



" คีย์การ์ดสำหรับชั้น4 มีแค่2อันนะคะ อันนี้อันที่2 ”

“ ส่วนเครื่องดื่มเพิ่งจะนำไปเสริฟ์เมื่อสักครู่”

“ ถ้าคุณลูกค้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถสั่งผ่านอินเตอร์โฟนในห้องได้เลยนะคะ"





จินยองใช้คีย์การ์ดผ่านชั้น3 และขึ้นไปอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าของชั้น4

เขายังคงเก็บความสงสัยมาตั้งแต่ได้รับแมสแซสจนกระทั่งตอนที่เข้ามาถึงในร้าน



ถ้าเป็นทีมงานของบริษัทจริงทำไมเขาไม่เห็นพี่ทีมงานคนอื่นๆ ? ..แม้แต่เด็กฝึกด้วยกันก็ไม่เห็น ??

ร่างบางมองคียการ์ดในมืออย่างงุนงง



..พนักงานบอกมีคีย์การ์ดแค่2ใบ นั้นหมายความว่าถ้าเขาเข้าไปข้างใน

..ก็ต้องอยู่กับคนในห้องแค่2 คน..





หลังจากชั่งใจอยู่พักใหญ่ร่างบางก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไป

เขาแนบคีย์การ์ดก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกเผยให้เห็นถึงห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ที่มีมุมนั่งเล่นทั้งในส่วนอาคารและนอกอาคาร

ตรงกลางห้องเป็นเคานเตอร์บาร์ขนาดย่อมที่มีเครื่องดื่มเรียงราย

มีโซฟาเบดขนาดใหญ่บุกำมะหยี่สีอ่อนอย่างดีวางไว้มุมหนึ่งโดยมีฉากไม้ฉลุลายกั้นเป็นสัดส่วนแยกไว้ ถัดมาเป็นโฮมเทียเตอร์และเซตเครื่องเสียง

อีกด้านหนึ่งเป็นมุมหนังสือที่มีชั้นหนังสือเรียงราย และมีโต๊ะทำงานไม้โอ๊คสีเข้มขนาดใหญ่

ถ้าดูเผินๆก็ให้ความรู้สึกเหมือนเพนชั่นส่วนตัวของระดับผู้บริหาร



จินยองเดินสำรวจข้างในอย่างตื่นเต้น



ภายในนั้นมีการตกแต่งที่ปราณีตเน้นโทนสีอบอุ่นเหมือนคาเฟ่ด้านล่าง

ทั้งยังดูสะอาดสะอ้านแล้วก็โปร่งสบาย



ภายในอาคารกับด้านนอกอาคารถูกกั้นด้วยกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่



ร่างเล็กเพ่งสายตาสอดส่องผ่านแผ่นกระจก

ด้านนอกมีร่มผ้าใบสีขาวกั้นแดดขนาดใหญ่ แล้วมีชุดโต๊ะเก้าอี้แบบเดียวกับที่คาเฟ่ด้านล่างแต่ดูมีชีวิตชีวากว่าด้วยสีเขียวของมวลพรรณไม้ที่ประดับประดาจนดูเหมือนสวนขนาดย่อม



!!

จินยองตาโตรู้สึกตื่นเต้นกับสถานที่ตรงหน้าไม่พอ

ยังต้องตกใจมากไปกว่านั้นเมื่อเห็นคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น



ฮวังมินฮยอนในลุคสบายๆ ไม่ได้ใส่สูทแต่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวลายทาง สวมแว่นตา กำลังนั่งไขว้ห้างจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์





.

.

ทันทีที่มินฮยอนห็นจินยองร่างสูงก็ยิ้มกว้างให้ พลางกวักมือเรียก

จินยองเดินไปนั่งด้วยอาการที่เกร็งและประหม่าพยายามประติดประต่อเรื่องราว



" พอดีฉันมีโปรไฟล์ของนายน่ะก็เลยได้เบอร์โทรนายมา "



ศิลปินรุ่นพี่พูดเสียงเรียบพลางส่งแก้วกาแฟร้อนให้พร้อมถาดน้ำตาลและนม



" แค่ผม!?"



ร่างบางเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง



" อืม"

เป็นรอยยิ้มละมุนละไมที่ส่งกลับมา



ทั้งที่มีคำถามอีกมากมายแต่พอมองหน้าพี่มินฮยอนแล้ว คำถามทั้งหมดก็ถูกกลืนลงไปในลำคอ

จินยองรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกจึงได้แต่ก้มหน้ามองแก้วกาแฟราวกับจะขอร้องให้มันช่วยพาเขาออกไปจากที่นี้ที



" นายดูไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์เท่าไรเลยนะ"



ศิลปินรุ่นพี่วิจาร์ณอย่างตรงไปตรงมาทำให้คนถูกว่าต้องเงยหน้าขึ้นมาจากแก้วกาแฟ



" ..แค่กับคนที่ไม่รู้จักนะครับ"



จินยองตอบยังคงไม่กล้าสบตามินฮยอนอยู่ดี




" พี่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนายเหรอ?"



ไม่พูดเปล่ามือหนาถือวิสาสะช้อนใบหน้าคนตัวเล็กกว่าให้สบตาขึ้นมองที่เขา




" ไอดอลที่ดีน่ะต้องกล้าที่จะสบตาทุกคนนะ "



ดวงตาทั้งคู่จ้องประสานกันแต่ได้เพียงไม่นาน คนตัวเล็กกว่าก็หลบสายตา กลับไปก้มหน้าอีกครั้ง




" ..ผ..ผมนึกว่าเป็นพี่ๆทีมงานที่แมสเซสมา"



จินยองรีบเปลี่ยนเรื่องคุย



" นั่นเบอร์พี่เองนายเซฟเก็บไว้ได้ แต่อย่าเอาไปให้คนอื่นนะ เบอร์นี้พี่ให้แค่ไม่กี่คน "



จินยองตาโตอีกครั้งมองมินฮยอนที่จ้องมาที่เขาอย่างเปิดเผย





" พี่สนใจนาย.. "



มินฮยอนเว้นช่วงไปพักใหญ่ก่อนจะเสริมเพิ่มเพื่อให้คนที่กำลังตกใจตีความคำพูดของเขาใหม่






" ทำไมคนๆนี้ถึงกลัวคนขนาดนี้นะ?.. ขี้อาย? หรือขี้กลัว??

แล้วทำไมถึงมาเป็นนักร้อง?

ขนาดแค่สบตายังทำไม่ได้แล้วอยู่บนเวทีจะรอดเหรอ?



พี่น่ะตั้งแต่เจอนายก็มีคำถามแบบนี้อยู่ในหัวตลอดเลย "







..สนใจของพี่เขา…คือแบบนี้เอง

ไม่ใช่สนใจ อย่างที่เขาคิดซักหน่อย..







จินยองส่ายหัวไปมานึกตลกตัวเองที่คิดไปไกล







" ..คือผมมีปัญหานิดหน่อย..กับ..ค..คนที่ยังไม่สนิทด้วยนะครับ "

ร่างเล็กกำถ้วยกาแฟในมือพลางลังเลอยู่ว่าควรจะพูดออกไปไหม

แต่พอเห็นสีหน้าคู่สนทนาที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างตั้งใจ



เขาก็อดที่อยากจะแบ่งปันมันไม่ได้..

ทั้งๆที่มีเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้



" จะเรียกว่าเป็นความทรงจำแย่ๆในวัยเด็กก็ได้ครับ"



" เพราะหน้าตาแบบนี้ก็จะมีหลายคนที่เข้าใจผิดว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง ก็เลยจะโดนจับ โดนกอดอยู่บ่อยๆ"




" แต่มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่โดนลักพาตัวไปทำไม่ดี…"



คิ้วคนฟังขมวดมุ่นเป็นปมทันทีที่จินยองเล่ามาถึงตรงนี้



" แต่ตอนนั้นรอดมาได้เพราะมีคนมาช่วยทันนะครับ"



ร่างบางรีบอธิบายเพราะกลัวคนตรงหน้าจะเข้าใจผิด

" ..ต..แต่เหตุการณ์นั้นกลับส่งผลกระทบกับผม"







" ทุกครั้งที่ต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวร่างกายผมมันจะต่อต้าน

… เหมือนกับว่ามันสกปรกนะครับ "









จินยองก้มหน้าสารภาพมือเรียวกำแก้วกาแฟที่ตอนนี้เย็นชืดโดยไม่กล้าเงยหน้ามองคนตรงหน้า





" งั้นที่นายดูเหมือนไม่มีใครคบ..

ก็เพราะนายรู้สึกรังเกียจคนอื่นๆแล้วก็เลยกันตัวเองออกจากคนอื่นงั้นเหรอ? "



มินฮยอนถามรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังไม่น้อย







" ก็ไม่ขนาดนั้นครับ..

ก็แค่รักษาระยะห่างไว้ประมาณนึง"







จินยองแก้ตัวได้อย่างไม่เต็มปาก



เอาจริงๆสาเหตุที่เขาไม่ค่อยอยากมีปฎิสัมพันธ์หรือสมาคมกับใครส่วนหนึ่งก็เพราะอยากเลี่ยงการสัมผัสอย่างที่มินฮยอนว่านั้นแหละ



แต่ยิ่งจินยองอธิบายมินฮยอนก็ยิ่งนึกภาพไม่ออก!



ร่างสูงเคยชินแต่กับการสัมผัสเพราะเชื่อมาตลอดว่ามันคือรูปแบบการสื่อสารชนิดหนึ่งของมนุษย์

เขาพยายามจินตนาการถึงการใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยที่หลีกเลี่ยงการสัมผัสคนอื่นแล้วก็พบว่ามันยากมาก



โดยเฉพาะในวงการบันเทิง





" แล้วนายจะเป็นไอดอลได้เหรอถ้านายยังกลัวคนอยู่แบบนี้? "





คำถามจี้ใจดำเสียดแทงคนถูกถามจนถึงกลับหน้าเสียไปเลย

จินยองเองแม้จะเลือกเส้นทางนี้มาแต่ก็พยายามหลอกตัวเองมาตลอดว่าเขาสามารถที่จะแก้ไขมันได้

แต่จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังทำมันไม่ได้

การที่โดนแตะไหล่บ้างโอบคอบ้างในหมู่เด็กฝึกยังคงทำให้เขากระอักกระอ่วนทุกครั้ง





มินฮยอนเห็นร่างบางหน้าถอดสีก็ให้รู้สึกเห็นใจ

ลูกแกะของเขาตัวนี้นอกจากจะดูหัวอ่อนแล้วยังดูน่าสงสารขนาดนี้

ใครหนอจะใจร้ายรังแกได้ลง..














รอยยิ้มร้ายแย้มที่มุมปาก









" งั้นให้ฮยองสอนให้ไหม? สกินชิพน่ะ ฮยองถนัดนะ "














มินฮยอนยิ้ม..รอยยิ้มของพี่ชายผู้ใจดี ..

มือหนาถือวิสาสะอีกครั้งในจังหวะที่ลูกแกะกำลังเผลอคล้อยตามไปกับรอยยิ้มร่างสูงก็คว้ามือบางที่กำลังเกาะกุมแก้วกาแฟออกมากุมไว้เอง

จินยองตกใจกับการรุกที่รวดเร็วด้วยความเกรงใจเขาจึงต้องจำยอมผยักหน้าให้รุ่นพี่อย่างช่วยไม่ได้



มือหนากุมมือข้างนึงของแกะน้อยไว้ในอุ้งมือทั้งสองของเขา



.

.

.



ในตอนแรกมันก็ดูเหมือนการจับมือกันธรรมดา

ซึ่งจินยองก็พอจะทำความคุ้นเคยได้อยู่







แต่ต่อเมื่อมินฮยอนเริ่มใช้ปลายนิ้วไล้วนอยู่ที่หลังมือเขา..ร่างบางก็เริ่มจะหายใจได้ไม่ทั่วท้อง





" รังเกียจฮยองไหม?..ยังรู้สึกว่ามือฮยองสกปรกรึเปล่า? "





สองมือของมินฮยอนคล้ายกำลังหยอกล้อและสนุกกับการได้อ้อยอิ่งอยู่ที่โคนนิ้วของเขา. . โดยบรรจงไล่มาทีละนิ้วก่อนจะวนไล้อยู่ที่ฝ่ามือ



จินยองหลับตาแน่น..รับรู้ถึงความร้อนจากสัมผัสของอีกฝ่าย





" อย่ากลัวซิจินยอง "



เสียงทุ้มเตือนสติ



"การสัมผัสน่ะ.. คือการสื่อสารชนิดหนึ่งนะ "

มินฮยอนจงใจประกบฝ่ามือเข้ากับมือบางก่อนจะสอดนิ้วเกี่ยวกระหวัดกับมือของจินยองอย่างสนิทสนม



" เราสามารถส่งต่อความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดเลยนะ..

นายไม่คิดว่ามันน่าประทับใจหรอกเหรอ? "



















Create Date : 21 มีนาคม 2561
Last Update : 21 มีนาคม 2561 17:27:17 น.
Counter : 190 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 4429245
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Group Blog
มีนาคม 2561

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
25
26
27
28
29
30
31