สวัสดีวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567
เช้าวันนี้เราตื่นมาด้วยคำคมสอนใจหลากหลาย เพียงเพื่อให้มีกำลังใจพับผ้าห่ม

นึกไปถึงคำคม เช่น งานใหญ่จะสำเร็จได้ต้องเริ่มจากตื่นมาพับผ้าห่มที่ใช้นอนเมื่อคืนก่อน และการจัดการงานที่ซับซ้อนให้สำเร็จ ต้องเริ่มจากจัดระเบียบกิจวัตรประจำวันส่วนตัวให้ได้ก่อน เช่น พับผ้าห่ม ล้างหน้า แปรงฟัน หรือแม้แต่นึกถึงความฝันเมื่อคืนที่แม่เราบอกเราว่าให้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเพราะดูเราหน้าดำคร่ำเครียด

เล่าไปเล่ามา เอาเป็นว่า เมื่อเช้า ก่อนลุกออกจากห้องนอน เราพับผ้าห่มนะ

เมื่อวานนี้คือ 29 ธันวาคม 2567 เป็นวันที่เรากำหนด dead line การส่งงานของตัวเอง

งานชิ้นนี้ เป็นการทำงานร่วมกับน้องสาวเรา ตกลงกันว่า ให้เราส่งงานเธอ 30 ธันวาคม เพื่อเธอจะตรวจและส่งมอบต่อไป 

ตัวเธอเอง ก็เพิ่งได้รับแจ้งเมื่อราวต้นเดือนธันวาคม ว่าต้องส่งงานชิ้นนี้ เธอช่างดูน่าเห็นใจ ที่ปี 2567 เธอจัดการอะไรในชีวิตยากมาก งานเยอะ และวางแผนไม่ทันว่าอะไรต้องทำก่อน ทำหลัง 

พ่อเราเคยบอกเธอให้เป็นคน say no บ้าง การที่เธออยากทำไปทุกอย่างมันก็ดี แต่ต้องดูว่าในเวลาเท่าที่เธอมีเหมือนทุกคน เธอควรเลือกทำสิ่งที่ด่วนและจำเป็น สิ่งที่ไม่ด่วนแต่สำคัญก็ต้องทำ แต่ต้องเลือกที่จะ say yes และ say no ให้เป็น

เมื่อได้รับทราบว่ามีงานต้องส่งชิ้นใหม่นี้ ทั้งเธอและเราต่างมีภาระกิจต้องทำล้นมือ แต่ในเมื่อมันคือ a must เราก็ต้องหาเวลาทำ

เราวางแผนว่าจะเริ่มทำงานชิ้นนี้ หลังวันที่ 20 หรือ 22 ธันวาคม 2567 เพราะมีงาน 2 ชิ้นต้องส่งให้สำเร็จ และเราวาง dead line เสมือนขึ้นมาเอง ว่าต้องส่งงานให้น้องสาววันที่ 29 ธันวาคม 2567 คือ 1 วัน ก่อน dead line จริงจะมาถึง

แต่กว่าจะได้เริ่มงานก็คือ อังคาร ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567 

งานที่ทำเหมือนการต่อจิ๊กซอ ที่ตัวต่อแต่ละชิ้น วางคนละทิศละทาง หัวหาง สลับกัน แถมจิ๊กซอไม่ครบ ต้องไปเอาจากกล่องเก่า กล่องอื่นมาวาง แล้วใช้ความคิดทำให้ภาพที่ต่อออกมาดูกลมกลืน และต้องทำให้คนอื่นมามองดูรู้สึกได้ด้วยว่าภาพนี้มีสิ่งน่าค้นหา มีประเด็นน่าสนใจ 

เรายังไม่เคยทำ draft แรกของภาพต่อจิ๊กซอให้สำเร็จในระยะเวลาสั้นเพียง 6 วันเช่นนี้มาก่อน ประสบการณ์ที่ผ่านมาเราใช้เวลาร่วม 1 เดือน เราก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า จริง ๆ แล้ว เรามีตัวต่อจิ๊กซอทั้งหมดแล้ว เหลือแค่ใช้สมาธิจดจ่อกับมัน และหมดเวลาโทษดินโทษสภาพแวดล้อมใด ๆ

สมัยนี้ใคร ๆ ก็หาที่นั่งทำงานนอกสถานที่ เช่น คำว่าไปนั่งทำงานที่คาเฟ่ หรือ co-working space สมัยก่อนคาเฟ่ ก็คือ คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขนมที่คนไปนั่งกิน ใช้เวลาไม่นานในนั้น ต่อมาก็มีไปสอนพิเศษ ตามร้านฟาสต์ฟู้ด แต่ก็ถูกแบนไปก็มี ส่วนสมัยนี้ ร้านคาเฟ่คงกลัวเหงา เพราะราคาไม่ธรรมดา ค่าตกแต่งร้านก็เอาเรื่อง ดีกว่าอยู่เหงา ๆ ให้ลูกค้าที่อยากหาที่นั่งทำงาน มานั่งนาน ๆ กันไปเลย แลกกับค่าสถานที่ ค่าไฟ ค่าน้ำ ก็อุดหนุนอาหาร เครื่องดื่ม 

เราไม่มีคาเฟ่ มีแต่บ้านพ่อแม่ที่มาอาศัยอยู่ และทำเลทองแห่งนี้รถราพลุกพล่าน บ้านข้างเคียงทำอาชีพหลากหลาย ใช้เสียงอึกกะทึก บ้านพ่อก็ด้วย แต่พวกเขาแต่ละบ้านก็อยู่กันอย่างลงตัว พ่อเคยบอกว่า เราบ้างเขาบ้าง ผลัดกันเสียงดัง ส่วนแม่บอกว่ามันคือธุรกิจครอบครัวแม้แต่แมวของพ่อแม่ก็ยังไม่ตกใจเสียงดังเหล่านี้ เออนะ เราจะไปโทษว่า ตัวเราหาสมาธิจดจ่อทำงานที่ต้องอาศัยฐานคิดเพียงเพราะเสียงรอบตัวดังรบกวนแบบนี้ เราคงต้องอายแมวแล้วล่ะ

24 เป็น 25 เป็น 26 เป็น 27 สี่วันนี้ จิ๊กซอเริ่มเป็นรูปร่าง พอ 28 เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย จากนั้นส่วนชักแม่น้ำทั้ง 5 ที่ต้องจัดวางจิ๊กซอ เราทำในวันที่ 29 แล้วส่งให้น้องสาวภายในวันนั้น


สำหรับงานบางงาน dead line จริง มีมาให้ ก็ทำส่งตามวันที่กำหนด แต่ถ้ากับงานที่ต้องทำร่วมกับคนหลายคน เรามักจะมี dead line เสมือน เพื่อ defrag งานชิ้นใหญ่ ย่อยลงทีละส่วน อันไหนทำได้ก่อนก็ทำไป แล้วค่อยเอามารวมกัน พองานเสร็จในระยะเวลา dead line เสมือนที่เราตั้งไว้ เราก็ส่งไปให้คนที่ต้องทำงานส่วนสำคัญส่วนอื่นต่อ

ประสบการณ์ครั้งนี้ น่าจดจำสำหรับเรา ที่ได้ draft จิ๊กซอแบบเร่งรัดเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ควรมีแบบนี้บ่อยนักนะ
4
 



Create Date : 30 ธันวาคม 2567
Last Update : 30 ธันวาคม 2567 10:53:16 น.
Counter : 244 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณ**mp5**, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ


ดาวพฤหัสดวงโต
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



All Blog