อำลา Mid Life Crisis วันครอบครัวท่ามกลางเทศกาลหยุดยาวสงกรานต์ คือ วันที่ 14 เมษายน ================================================= ปีนี้ 2568 (ค.ศ. 2025) พวกเราไม่ต้องเดินทางรถติดบนถนน ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสงบเงียบ ท่ามกลางความวุ่นวายภายในใจแทน ด้วยงานต่าง ๆ มีรอบรอส่งงานแต่ละชิ้นเรียงกันไม่ขาดสาย วันที่ 13 เมษายน ร้านรวงบนถนนหลายสายของตัวเมืองปิด ร้านอาหารยังมีเปิดบ้าง ไลน์แมนวิ่งปกติ บ้านพ่อไม่ปิด มีเพียงหยุดให้พนักงานพักผ่อน 3 วัน ส่วนพ่อกับแม่พอใจจะเปิดร้านกับแมวนั่งรับลมร้อน ลมหนาว ลมเย็น และสนุกกับเมนูที่ลูก ๆ เนรมิตให้ น้องสาวเราแจ้งทุกคนว่าจะมีเพื่อนรุ่นน้องมาหาในวันที่ 14 เมษายน และพักกับเธอ 1 คืน รุ่งขึ้น 15 เมษายนจะนั่งรถโดยสารกลับ ถึงแม้จังหวัดของเพื่อนรุ่นน้องจะติดกับจังหวัดที่น้องสาวเราอยู่ แต่ช่วงเทศกาล สำหรับเรา คิดว่าไม่ควรเดินทางหากไม่จำเป็น เพื่อนรุ่นน้องของน้องสาวเรา เธอทำอาชีพสอนหนังสือเด็ก ๆ พักอาศัยกับครอบครัว มีเวลาว่างก็ทำอาชีพเสริมขายของ และเมื่อว่างจากภาระกิจเธอมักจะโทรศัพท์คุยเล่นกับน้องสาวเรา เวลาเธอโทรมา น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยสดใส เป็นเสียงไม่มีพลัง เธอคงหารู้ไม่ว่าบุคลิกภาพทางเสียงคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง การโทรหาน้องสาวเรา เธอใช้เวลาคราวละเกือบหนึ่งชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าคนปลายสายกำลังทำภาระหน้าที่อะไรหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เป็นเช่นนี้ น้องสาวเรา บอกเรื่องการจะมาของเพื่อนรุ่นน้องกับพ่อก่อน แล้วค่อยหาเวลาบอกเรา พ่อไม่ว่าอะไร ส่วนเราคิดว่าน่าจะไม่สะดวก เพราะเป็นช่วงเทศกาล เราต้องการวันพักผ่อนครอบครัว แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้ เลยพูดกับน้องสาวเราว่า เพื่อนน้องน่าจะกำลังมีปัญหาทางใจไม่ว่าจะมาจากปัญหาครอบครัว หรือเรื่องส่วนตัวก็เป็นได้ และเพียงแค่อยากหาหลุมหลบภัย เลยนึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยฟังเขาตลอดมา เข้าข่าย Mid Life Crisis พูดกับน้องจบ น้องกลับไป ความคิดเราแว๊บ (ไปหาความทรงจำเก่า ๆ ที่เคยเกิดกับตัวเอง) ปิ๊ง (เหมือนเห็นตัวเอง ในเรื่องของน้องสาวเรากับเพื่อนที่จะมาของเขา) จากนั้น แว๊บ (ความคิดเรากลับสู่ปัจจุบัน) ความทรงจำในอดีตผ่านมา 20 ปีพอดี เราเคยมีช่วงเวลารู้สึกแย่ และคิดว่าถ้าได้เจอใครคนหนึ่งเราจะสบายใจ มีไฟกลับมาทำบางอย่างที่ติดหล่มได้...การไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันหกปี ได้ทักทาย แต่เหมือนอยู่คนละโลก ความรู้สึกเยือกเย็นเข้าครอบคลุม เหตุการณ์วันนั้น ทำให้เรามีความคิดว่า เราจไม่อยากให้ใครที่กำลังมี mid life crisis ต้องเจอแบบที่เราเจอ แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสได้ให้โอกาสทำให้ใครสบายใจดังตั้งใจเลย คงเพราะไม่มีใครผ่านมาให้ได้ทำแบบนั้น แต่การที่จิตเรา เกิด แว๊บ ปิ๊ง แว๊บ 1-ได้แว๊บกลับไปเห็นอดีตตัวเราเอง รู้สึกสงสารตัวเอง ซึ่งช่วยให้เรามีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา กับผู้อื่นที่มีสภาพคล้ายเราวันนั้น 2-เราปิ๊งความคิดขึ้นว่า เพื่อนน้องสาวมาครั้งนี้ เขามาให้โอกาสเราปลดล็อคความรู้สึกบางอย่างกับเหตุการณ์ที่เราเจอในอดีต เจอคนใจร้ายทำไม่ดีกับเราทางความรู้สึก เจอครอบครัวที่รักมากกีดกันไม่ให้เราเป็นเพื่อนกันต่อไป 3-สิ่งที่เราปิ๊งคือ นี่สินะ เรากำลังได้โอกาสเลือกว่าจะทำกรรมแบบไหน และเราเลือกที่จะให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญกับ crisis ทางใจให้ความสบายใจ เจอทางเดินต่อไปได้ เมื่อ 14 เมษายน ตอนเย็น น้องสาวเรา พาเพื่อนแวะมาบ้านพ่อ และชวนเราไปทักทายเพื่อนน้อง เรายินดีไปทักทาย แม้ไม่ได้พูดคุยอะไร แต่เราก็ไม่ได้สร้างบรรยากาศที่ไม่ดี ที่จะทำให้ที่เขารู้สึกอึดอัด เพื่อนน้องสาวไปค้างที่บ้านน้องสาว เรากับพ่อเดินไปส่งพวกเขาขึ้นรถ เราโบกมือ good bye พวกเขากระทั่งรถน้องสาวเลี้ยวโค้งไป เรารู้สึกเหมือนว่า การเลือกของเรามันดีมาก ในใจเราอวยพรให้เพื่อนน้องแข็งแรงทางใจขึ้นได้ไวไว และการโบกมือ good bye ของเรา เหมือนโบกมืออำลาภาพอดีตที่เลวร้ายในใจได้ทั้งหมด จิตใจเรา เบา สบาย นี่คงเป็นของขวัญสุดพิเศษของปีนี้ชิ้นนึงก็ว่าได้ บางที เราก็ตอบไม่ได้ว่า โอกาสที่จะแว๊บ ปิ๊ง แว๊บ แบบนี้จะมาเมื่อไหร่ตอนไหน ไม่ว่ายังไง เราขอให้ทุกคนมีโอกาสโบกมืออำลาความทรงจำเลวร้ายในใจได้ทุก ๆ คน ![]() |
Group Blog All Blog
Link |
|
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |