บ้านเก่า เรากับพ่อคือนักเช่าบ้านตัวยง ที่ไม่คิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง และไม่คิดจะซื้อที่ดินไว้ครอบครองด้วย ======================= เมื่อวานพยากรณ์อากาศบอกว่าอุณหภูมิจะลดลงและมีลมแรง บ้านพ่อแม่เป็นหน้าต่างบานเกล็ดที่ลมสามารถลอดตัวเข้ามาได้อย่างเสรีไม่ต้องมีบัตรผ่านใด ๆ แม้จะหมุนบานเกล็ดให้สุด ก่อนนอน เราเขียนโน๊ตไว้ว่า งานที่ทำอยู่ต้องทำอะไรต่ออีก พบว่ามีเยอะถึง 7 ข้อ ดูเวลาก็เที่ยงคืนครึ่ง ลมหนาวก็ช่างไม่สนใจอะไร เราเข้านอนหนีหนาวจะดีที่สุด พ่อไม่เปิดแอร์เพราะคิดว่าเราจะหนาว แต่ลมที่อุดอู้ในห้องนอน ทำให้เราก็เปิดแอร์ที่ 30 องศาเซลเซียส แอร์ที่บ้านพ่อไม่มีระบบทำความอุ่น นึกถึงแอร์ที่ญี่ปุ่น หนาวเหน็บแค่ไหนกลับมาถึงที่พักมีลมอุ่นจากแอร์แทบไม่อยากออกไปข้างนอก ก่อนนอนเราสวดมนต์ไหว้พระ พอจะนอนจิตก็คิดถึงเรื่องที่จดไว้ว่าจะทำอะไรต่อกับงาน ก็พบว่า มีข้อ 8 ที่ยังไม่ได้บันทึกเพิ่ม ได้แต่บอกตัวเองว่า ตื่นมาต้องกลับไปเขียนใส่ไว้อีกในกระดาษโน๊ต จิตก็คือจิต ตา หู จมูก ปาก ลดระดับการรับรู้เพื่อเตรียมเข้านอนแล้ว แต่ sensor อีกสองตัวยังทำงาน กาย ยังรับความหนาวเย็น เราก็ได้แต่บอก กาย ว่าอดทนนะ เดี๋ยวห้องนอนก็จะอุ่นขึ้น แต่ก็ยังมี sensor อีกตัวนึงที่วิ่งไหวไปมา คือจิต จิตวิ่งไประหว่างอนาคต กับอดีต อนาคตคือกังวลว่าตื่นมาจะลืมรายการที่ 8 ที่จะต้องไปเขียนในกระดาษโน๊ตมั้ย และที่ควบคุมไม่ได้คือ จิตวิ่งไปในอดีต จิตมันหวนไปนึกถึงบ้านหลังเก่าที่เราเคยอยู่ มีเพื่อนบ้านเป็นป้ากับลุงที่มีงานทำทั้งคู่ มีลูกสาวสองคน เราเกิดมาก็เจอพี่ทั้งสองคนที่อายุมากกว่าพี่ชายเราแล้ว และมีเพียงเสาร์อาทิตย์ที่จะได้ไปเล่นกับพวกเขา ![]() เราย้ายบ้านกันตอนเราอายุได้ 7 ปี วันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น ไม่มีใครบอกเราด้วยซ้ำ ภาพที่จำได้คือมีคนมาเยอะ มาช่วยกันขนของ คนชุดแรกที่มาคือน้องชายแม่และลูกของเขา ขนของจากห้องเก็บของ ที่มีของเล่นมากมายที่เราไม่เคยได้เล่นเพราะเรายังเล็ก และเราไม่ได้เล่นอีกเลยเพราะเค้าขนไปบ้านเค้าเอง คนชุดสองที่มา มีพ่อคอยกำกับว่าจะต้องขนอะไรยังไง เรานั่งเล่นกับพี่นุ้ย ลูกคนเล็กของป้าข้างบ้าน ที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านเช่าหลังที่เราเติบโต ในรั้วบ้านนั้นมีมุมปลูกต้นไม้ เราได้กินน้อยหน่าบ่อยมาก มีต้นเฟื่องฟ้าสีม่วง มันร่มรื่น แต่โดนตัดไปเมื่อไม่นานก่อนที่เราจะย้ายบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณยายเจ้าของบ้านเช่าล้มป่วย คุณตาเจ้าของบ้านมีความเชื่อว่าต้องตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อให้คุณยายกลับมาแข็งแรง ก็บ้านเช่าอะเนอะ ทำยังไงได้ เราในวัยเด็กคงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็พอจะเอ๊ะกับความรู้สึกของแม่ที่ดูแลต้นไม้หน้าบ้านมาตลอด ของในบ้านเริ่มขนย้ายขึ้นรถหมด เรากับพี่ชายและพี่นุ้ยเดินเข้าไปสำรวจตัวบ้านด้านบน ภาพติดฝาผนังบางชิ้นยังอยู่ จากนั้นเรากับพี่ชายต้องขึ้นรถไปบ้านใหม่ที่อยู่ห่างกันไม่กี่ถนน เป็นย่านค้าขาย ในขณะที่บ้านเก่าคือย่านอยู่อาศัย เงียบสงบ พี่นุ้ยบอกเราว่าแวะมาเยี่ยมบ้างนะ แล้วพอไปบ้านใหม่่ ชีวิตครอบครัวเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม่เราจากเดิมเป็นแม่บ้านก็ต้องมาเป็นแม่ค้า พ่อเราจากลูกจ้างก็ต้องมาเป็นเจ้าของร้าน เราจากมีเพื่อนเล่นก็ไม่มี จากเคยมีเสาร์อาทิตย์วิ่งเล่นก็ไม่มีวันหยุดของบ้าน พ่อแม่มีลูกน้องเวียนเข้าออกทั้งชายหญิง ญาติบ้างไม่ญาติบ้าง ความคิดถึงบ้านเก่าก็มีบ้าง เวลาครอบครัวเราพูดถึงบ้านเก่า ก็จะเรียกบ้านเก่า เมื่อสองสามปีมานี้ เราได้รู้ว่าพ่อกับแม่มีบ้านเก่ากว่าบ้านที่เราเติบโตด้วย นั่นคือบ้านที่พี่ชายเราเติบโต ก็ไม่ห่างจากบ้านเก่าที่เราเติบโตเท่าไหร่ น่าจะสองถนน เราไม่เคยถามพ่อเลยว่าทำไมย้ายบ้าน กระทั่งไปตัดผมกันแล้วผ่านบ้านเก่าหลังดั้งเดิมนั้น เลยได้โอกาสถามพ่อ พ่อบอกว่า เจ้าของบ้านพูดไม่ดี เราจำรายละเอียดคำว่าไม่ดีไม่ได้ แต่การพูดจนทำให้ใครไม่อยากอยู่ต่อได้ มันคงต้องถึงระดับอยู่ล่ะ สำหรับเรา บ้านเก่าที่พี่นุ้ยบอกเราว่าว่างก็มาเยี่ยมบ้างนะ เมื่อคืนเราคิดนับไป เราไปถึงห้าครั้ง ไม่รวมการทำตัวขับรถผ่าน ขี่รถผ่าน ต่าง ๆ นานา ตลอดหลายปี แล้วได้เห็นพัฒนาการของถนนเส้นนั้น ที่บ้านแต่ละหลัง Renovate แล้วแปลงร่างจากบ้านอยู่อาศัยเป็นร้านค้า เป็นหอพัก บ้านเช่า เราเคยได้เข้าไปในบ้านเก่าของเราตอนอยู่ ป.ห้า เพราะมารู้ว่าคนมาเช่าคือครอบครัวเพื่อนประถมในห้องเดียวกันที่ครอบครัวย้ายมาจากต่างจังหวัด เรากับเพื่อนสะสมแสตมป์เหมือนกัน นัดกันว่าจะไปแลกแสตมป์กัน เราไม่สนใจแสตมป์เท่าไหร่ แค่อยากได้ไปเผื่อเจอพี่นุ้ย เอาเป็นว่า 5 ครั้งของเรานั้นไม่เจอพี่นุ้ยเลย เราเคยเจอพี่หนึ่งพี่สาวพี่นุ้ยและเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ นิดหน่อย ความรับรู้ตลอดมาคือ พี่หนึ่งพี่นุ้ยไปเรียนที่กรุงเทพ ทำงานที่นั่นและมีครอบครัวตัวเองไปแล้ว ส่วนป้ากับลุง ลุงเสียนานแล้ว ป้ามีครอบครัวใหม่ เสียงพนักงานเคาะระฆังบอกเวลาว่าตีสองแล้ว เราได้สติ บอกจิตว่าต้องพักผ่อนนอนหลับให้ได้ หูเราเป็น sensor เรียกสติได้ดี จิตเริ่มกลับสู่ปัจจุบัน เราคิดว่า เราทำตามสัญญาที่ให้กับพี่นุ้ยมาตลอดแล้ว แค่ไม่ได้เจอพี่นุ้ยอีก และคิดว่า เรายังไม่เคยพูดขอบคุณพี่นุ้ยที่ให้ความเอ็นดู คอยเป็นเพื่อนเล่นกับเรา เราตั้งใจสวดมนต์แผ่เมตตาให้พี่นุ้ย นี่คงเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ทำอย่างตั้งใจและจริงใจ เราคิดว่านี่คงเป็นการปลอดล็อคตัวเรากับการหวนคิดถึงบ้านเก่าของเราได้สักที ใครที่สามารถอ่านมาถึงตรงนี้ นับว่าเก่งมาก ที่ไม่สับสนกับคำว่าบ้านเก่าที่เราเล่า และเราหวังว่า แต่ละคนคงหาโอกาสปลดล็อคจิตจากอะไรเก่า ๆ ที่ทำให้จิตวิ่งไปหาอดีตที่ไม่อาจหวนกลับได้ ขอให้ทุก ๆ คน มีจิตปัจจุบันที่สดใส อาทิตย์ 12 มกราคม 2568 ![]() |
Group Blog All Blog
Link |
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |