Group Blog
ธันวาคม 2561

 
 
 
 
 
 
2
5
6
7
12
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
29
30
31
 
 
18 ธันวาคม 2561
Bumblebee (2018) บัมเบิ้ลบี



     ผมรอเวลานี้มานานแล้วครับ เวลาที่ผมจะออกปากชมได้เต็มที่ว่า"ทรานส์ฟอร์เมอร์สเป็นหนังที่ดี" เพราะหลังจากที่ดูหนังภาคนี้จบ ผมก็รู้สึกดีกับหนังไม่ใช่น้อยเลยครับ
เรื่องย่อ
     ย้อนกลับไปในปี 1987 บัมเบิ้ลบีค้นพบที่หลบภัยอยู่ในพื้นที่เก็บของเก่าในเมืองริมชายหาดเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี ค้นพบบัมเบี้ลบี ในสภาพรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองที่ผุพัง ผ่านศึกมาหนัก และในไม่ช้า เธอก็รู้ว่าบัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถเต่าธรรมดาเลย
รีวิว
     หากใครที่คาดหวังจะดูหนังหุ่นตีกันมันส์ๆ แบบฉบับเก่าเคยทำไว้ ผมคิดว่าให้ลดทอนความคาดหวังลงมาหน่อยก็ดีนะครับ เพราะว่าฉบับนี้จะต่างจากฉบับของ Bay แทบจะทุกด้าน ของเก่าจะไม่ค่อยเคารพต้นฉบับสักเท่าไหร่ แต่ฉบับนี้ทำมาเพื่อบูชาต้นฉบับจ๋าเลย(ขนาดดีไซน์หุ่นยังเหมือนต้นฉบับเด๊ะ!) และก็เน้นกลุ่มเป้าหมายแบบดูได้ทั้งครอบครัว ไม่มีพิษไม่มีภัย ทำให้หนังฉบับนี้ถูกใจแฟนๆ ทรานส์ฟอร์เมอร์สฉบับการ์ตูนอยู่ไม่น้อยเลย แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้เพราะเคยชินกับฉบับของ Bay มาจนติดตา และอาจจะไม่ชอบหนังฉบับนี้ได้ อันนี้ไม่มีใครถูกใครผิดนะครับ รสนิยมของคนเราต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ถกกันเนอะ
     ส่วนผมหรอครับ..... อ้อ! ผมอยู่ในโซน"คนที่ชอบ Bumblebee ฉบับนี้" ครับ

     ทำไมถึงชอบ ตอบเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ครับ
     อย่างแรกเลยคือหนังพยายามจะเคารพต้นฉบับให้ได้มากที่สุด ไม่พยายามปรับแต่งอะไรให้มากความ(เดี๋ยวจะเละเหมือนฉบับของ Bay) ทำให้หนังฉบับนี้มีทิศทางที่ชัดเจนกว่าหนังฉบับเก่าครับ ประเด็นในหนังก็มีพอปริมาณ ไม่ได้ล้นจนกลายเป็นจุดเสีย และทำให้หนังฉบับนี้เป็นหนังที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมในตัวของมันเอง สเกลหนังก็ไม่ได้ใหญ่มากครับ(ถ้าเทียบกับหนังฉบับเก่า) แต่หนังก็บันเทิงในระดับนึงเลย นี่แหละครับถึงเรียกว่า"การไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก" ผลที่ออกมาก็อร่อยแบบมีกลิ่นอายฉบับเก่าอยู่ไม่น้อย ผมไม่ได้หมายถึงหนังฉบับเก่านะครับ แต่ผมหมายถึงหนังมันสนุกจนเทียบกับการ์ตูนต้นฉบับได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงเลย

     อย่างที่สองก็คือ"การใส่ใจตัวละคร" ผมว่าจุดนี้ Bay ทำได้ไม่สำเร็จซักภาค ภาคแรกถึงคนจะชมว่าหนังดี แต่ผมก็ยังรู้สึกแหม่งๆ กับความสัมพันธ์ของแซมกับบียังไงไม่รู้ ภาคสองสามก็ยังคงปัญหาเดิมๆ พอมาภาคสี่ผมก็ยังรู้สึกแหม่งๆ กับความสัมพันธ์ของออฟติมัสและผองเพื่อนอยู่ดี ส่วนภาคสุดท้ายก็คงปัญหาเดียวกับภาคที่แล้ว นั่นก็คือความสัมพันธ์ดูแหม่งๆ ในฉบับใหม่นี้ผมว่า Knight เล่าเรื่องเก่งแฮะ มันยากนะครับที่จะให้เราเข้าใจหัวอกหัวใจตัวละครภายในเวลาแค่หยิบมือ แต่ Knight แกเล่าดีแฮะ ทำให้ตัวละครดูมีเสน่ห์มากโขเลย อย่างตัวละครชาร์ลีเงี้ย ตัวละครเธอมีมิติมากครับ ทั้งๆ ที่เล่าประมาณ 10 นาทีเองหลังจากนั้นก็เข้าเรื่องเลย โอโห! ถ้าไม่เจ๋งจริงทำไม่ได้นะครับแบบนี้ อันนี้ก็ต้องชื่นชม Hodson ครับที่เขียนบทออกมาดูลื่นไหล ไม่กระตุกกระตักเหมือนตอนเขียนบท Unforgettable หรือว่าเด็ดดมชมทุ่งใน Shut In

     อย่างที่สามก็คือ"ฉากแอคชั่น" ผมไม่ได้หมายความว่ามันทำได้สุดโต่งเท่าฉบับของ Bay นะครับ เพราะของเก่านั้นบอกเลยว่านอกจากภาคแรกกับภาคสาม ฉากแอคชั่นนี่ดูแทบไม่รู้เรื่ิอง มีแต่ฝุ่นกับฝุ่น แต่พอมาภาคนี้ เหมือนป๋า Bay จะเก็ตแล้วนะครับว่าผู้ชมไม่ได้ต้องการแอคชั่นวุ่นวายอะไรขนาดนั้น แค่มีหุ่นตีกันแบบมือเปล่ากับปืนกระบอกเดียวก็เฟี้ยวได้เหมือนกัน ซึ่งในฉบับนี้ฉากแอคชั่นนั้นบอกเลยครับว่าดูสบายตาขึ้นมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้มีหม้อ, จักรยาน, ป้ายบิลล์บอร์ด, เศษกระสุนปลิวมาใส่กล้องเหมือนภาคที่แล้ว แต่จะเน้นการต่อสู้แบบ Back to Basics มากกว่า นั่นคือไม่เน้นบู๊กระหน่ำมันส์กระจาย แต่จะเน้นอารมณ์ร่วมของคนดูกับตัวละครมากกว่า ซึ่งบอกเลยครับว่าตั้งแต่มีการทำฉากแอคชั่นของทรานส์ฟอร์เมอร์สมา ไม่มีภาคไหนเลยที่จะทำให้ผมอินได้ขนาดนี้ ขนาดฉากการตีกันแบบหมัดต่อหมัดของ Bumblebee กับ Blitzwing ผมดูแล้วแทบใจหายใจคว่ำ และมีหลายฉากที่ผมแอบน้ำตาซึมออกมา เพราะผมจะร้องไห้กับหนังที่เป็นพวกมิตรภาพ (Coming of Age) อะไรพรรณนี้ง่ายครับ ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะร้องไห้กับฉากอารมณ์ในเรื่อง(แต่มันแปลกตรงที่มันเป็นหนังทรานส์ฟอร์เมอร์สเนี่ยแหละ)

     อย่างสุดท้ายที่ชอบก็คือ"การเปิดทางจักรวาลใหม่ของทรานส์ฟอร์เมอร์ส"
     ผมว่าทาง Paramount Pictures คงจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคหลังๆ มันกำลังอยู่ในช่วงขาลง(ทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์) ทีแรกกะว่าจะทำถึงภาค 10 แต่ก็คว่ำกระดานแล้วก็มาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นการเบิกทางใหม่ที่เข้าท่าครับ เพราะในหนังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับดาวไซเบอร์ตรอนนี่เยอะมาก ก็ต้องมาลุ้นกันที่รายได้ละกันเนอะว่าจะไปได้สวยขนาดไหน

     ทางด้านดาราถือว่าผ่านเต็มห้าดาวเลยครับ บอกเลยว่าภาคนี้จะเน้นพลังการแสดงอยู่สูงพอสมควร เพราะมีฉากอารมณ์ในหนังอยู่เยอะ ซึ่งทุกคนสอบผ่านฉลุยครับ Steinfeld หวานใจผมก็ยังคงความยอดเยี่ยมได้ครบถ้วน ต้องบอกเลยว่าฉากในหาดเป็นฉากที่ผมชอบมากๆ เพราะได้เห็นเธอเล่นในหลายมุมมอง ทั้งตลกและก็ดราม่า ซึ่งเธอทำได้ดีครับ สมแล้วกับดีกรีเข้าชิงออสการ์กับลูกโลกทองคำ
     คนอื่นๆ ออกแนวสมทบครับ Cena ก็จะดูล้นๆ หน่อยตรงมุขตลก แต่เนื่องจากผมค่อนข้างชินกับนิสัยพี่แก ก็เลยไม่ขัดใจแอคติ้งพี่แกมาก Ortiz, Lendeborg, Price, Drucker นี่สมทบออฟสมทบครับ บทน้อยจริงไรจริง ส่วนทางด้านเสียงพากย์นี่ก็ดีทุกราย แต่รายที่โดนใจผมต้องยกให้ Cullen ในบทออฟติมัสครับ โผล่มาน้อยแต่เรียกเสียงฮือฮาได้ดีเลย
     Effect เนียนตาครับ ผมอึ้งกับทุนสร้างมากเลยนะ หนังมีทุนสร้างแค่ 100 ล้านเหรียญเอง แต่สามารถเนรมิตฉากกราฟฟิคอะไรออกมาดีมากๆ อย่างฉากไซเบอร์ตรอนเงี้ย บริหารงบดีมากๆ เลยเรื่องนี้ ส่วนดนตรีที่ประพันธ์โดย Dario Marianelli ก็โอเคดีครับแต่มันไม่ได้อลังค์เท่า Jablonsky เคยประพันธ์ไว้ แต่ก็เหมาะสมสำหรับสเกลหนังครับ

คะแนนเฉลี่ยรวม : 10/10
เรตหนัง : หนังยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด



Create Date : 18 ธันวาคม 2561
Last Update : 18 ธันวาคม 2561 21:34:58 น.
Counter : 930 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ฮีโร่ตัวน้อย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมฮีโร่ตัวน้อยจากพันทิป นักรีวิวหนัง ซีรี่ส์ การ์ตูน ฯลฯ ฝากตัวด้วยนะครับ