space
space
space
 
มกราคม 2566
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
20 มกราคม 2566
space
space
space

การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ที่สร้างรายได้ให้เกษตรชาวนาไทยได้อย่างดี

สำหรับภาคการเกษตรมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก หลายคนอาจไม่ทราบว่า การปลูกข้าวที่เราเห็นกันตามท้องทุ่งนาใหญ่ๆตามต่างจังหวัดนั้น เป็นแหล่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในภาคการเกษตร โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งสามารถทำให้โลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า เลยทีเดียว ทางด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงต้องปรับหาวิธีการปรับเปลี่ยนระบบการทำนาในปัจจุบันไปสู่ระบบการทำนาแบบยั่งยืนเพื่อลดภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของโลกร้อนนั้น โดยวิธีการปลูกข้าวแบบ “เปียก สลับ แห้ง” และผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกข้าวให้กับเกษตรกรชาวนาในเขตภาคกลางให้มากขึ้น สำหรับโครงการปลูกข้าวแบบ “เปียก สลับแห้ง” ดังกล่าวคาดการณ์ว่า จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ลดลงอย่างมาก มีวิธีการดังนี้ คือ การปล่อยให้ข้าวขาดน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้รากและลำต้นข้าวแข็งแรง ระบบรากหยั่งลึก แผ่กระจายลงไปในดินเพื่อหาน้ำ แถมช่วยลดการระบาดของโรคและแมลง และลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วยวิธีการ ดังนี้ 

1. เตรียมดินปลูกข้าว

สำหรับนาหว่าน ด้วยวิธีปกติ ระบายน้ำออกจากนาให้หมด แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้ให้สม่ำเสมอ ข้าวอายุ 1 วันให้ฉีดยาคุม

สำหรับนาปักดำ ขณะปักดำข้าวให้ใช้น้ำน้อย แต่ให้มากพอที่จะทำให้ดินเป็นโคลน เพื่อที่จะสามารถปักดำข้าวได้

2. เมื่อข้าวอายุประมาณ 10-12 วันให้พ่นสารกำจัดวัชพืช และเพิ่มระดับน้ำในนาประมาณ 3-5 ซม. ขังนาน 3 วัน

3. ใส่ปุ๋ยครั้งแรกด้วยปุ๋ยเคมีเร่งการเจริญเติบโต ทางใบและลำต้น อัตรา 30-35 กิโลกรัม/ไร่

4. แล้วรักษาระดับน้ำท่วมผิวดินขังน้ำไว้จนกระทั่งน้ำแห้งหากพบวัชพืชให้รีบกำจัดอีกครั้ง

5. ประมาณ 2 สัปดาห์น้ำในนาเริ่มแห้ง ดินเริ่มแตกระแหง ให้ระบายน้ำลงนาระดับ 3-5 ซม. ขังไว้จนกระทั่งน้ำแห้ง ให้น้ำแบบเปียกสลับแห้งจนกระทั่งข้าวอายุประมาณ 45-50 วัน หากพบวัชพืชต้องรีบกำจัดก่อนใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2

6. เมื่อข้าวอยู่ในระยะแตกกอสูงสุด (อายุ 45-50 วัน) ให้เพิ่มระดับน้ำในนาสูง 5 ซม. ขังไว้นาน 3 วัน จนข้าวเริ่มกำเนิดช่อดอก (อายุ 50-55 วัน)

 

7. ใส่ปุ๋ยเคมีครั้งที่ 2 ด้วยปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 อัตรา 10-15 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากนั้น 7 วัน ให้เพิ่มระดับน้ำ 10 ซม. รักษาระดับน้ำจนข้าวออกดอกถึงระยะแป้งในเมล็ดเริ่มแข็ง (15-20 วัน หลังข้าวออกดอก)

8. หลังข้าวออกดอกแล้ว 20 วัน ระบายน้ำออกจากแปลงให้แห้งเพื่อเร่งการสุกแก่

สำหรับข้อดี คือ 

ข้าวจะไม่อวบน้ำ ต้นแข็งแรง แตกกอดี รากแตกใหม่มากขึ้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดธาตุอาหาร  

สามารถประหยัดน้ำในการทำนาได้ถึง 30-50%

ลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมถึงโรค และแมลงศัตรูอื่นๆ

ลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสูบน้ำ การใช้ปุ๋ย และสารเคมี

จุลินทรีย์สามารถใช้ออกซิเจนสำหรับการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับข้อควรระวัง คือ 

ทำได้ในพื้นที่ ที่ควบคุมน้ำได้

ไม่เหมาะกับดินทราย และดินเค็ม 

ช่วงข้าวตั้งท้อง อย่าปล่อยให้น้ำแห้ง

ดินที่เหมาะ คือดินที่ ไม่เผาตอฟางข้าว

 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งนี้ส่วนหนึ่งเหมาะสำหรับสถานการณ์ภัยแล้งได้อีกด้วยเนื่องจากวิธีการนี้เป็นการเพาะปลูกข้าวโดยสามารถบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เพียงพอต่อความต้องการของต้นข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ และที่สำคัญยังลดก๊าซมีเทนที่ก่อเป็นก๊าซเรือนกระจก ที่มีความรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดปัญหา ภาวะโลกร้อนและได้ข้าวที่ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ ซึ่งทางด้านชาวนาที่เริ่มทำการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งก็เริ่มมีหลายจังหวัดด้วยกันแล้ว เช่นทางภาคกลาง ยกตัวอย่างจังหวัดสุพรรณบุรี มีชาวนาหลายท่านได้ลงมือทำการปลูกข้าวด้วยวิธีนี้แล้วได้ผลผลิตที่ดีเป็นที่น่าภูมิใจและสร้างรายได้ ได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งทางด้าน นายเสมอกัน เที่ยงธรรม ส.ส.สุพรรณบุรี เขต 4 พรรคชาติไทยพัฒนา นั้นยังได้ออกมาแนะนำความรู้ให้กับชาวนาเพราะภายหลังจากได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวนา ได้ข้อมูลมาว่า การปลูกข้าวตอนนี้ก็มีการรณรงค์ให้ทำการปลูกแบบ เปียกสลับแห้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการทำเปียกสลับแห้ง อาจจะต้องขยันและลงแรงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ได้บอกว่า ผลที่ได้ค่อนข้างคุ้มค่า ได้ปริมาณข้าวที่เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าใครนำดินไปวิเคราะห์ก่อนทำนา ก็ทำให้ใส่ปุ๋ยน้อยลงด้วย ประหยัดต้นทุนลงไปอีกตั้งมากโดยได้มีการหยิบยกรายงานข่าวข้อมูลจาก “ฐานเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์กรมการข้าว เผยว่า ล่าสุดมี บริษัท Spiro Carbon ที่เป็นองค์กรสัญชาติอเมริกัน เข้ามาดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิตให้กับชาวนาและเกษตรกรที่ปลูกผลิตผลต่างๆ ให้สามารถซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง หลังจากที่ภาครัฐได้ส่งเสริมองค์ความรู้เรื่องคาร์บอนเครดิตในภาคการเกษตรโดยบริษัทจะรับซื้อคาร์บอนเครดิตจากชาวนา ให้ราคาตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าละ 400 บาท โดยมีเงื่อนไขคือเกษตรกรต้องทำนาแบบเปียกสลับแห้ง โดยปล่อยน้ำในการทำนาให้แห้ง 2 ครั้ง เพราะการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นตัวการสร้างภาวะโลกร้อนจากผืนนา ได้กว่า 55% และยังช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ได้อีก 20% ด้วย โดยทางบริษัท จะโอนเงินให้ทันทีจากการใช้เทคโนโลยีจานดาวเทียมเฉพาะ ตรวจสอบพื้นที่ที่ได้ลงทะเบียนกับ Spiro Carbon โดยตรวจจับพืชผลที่มีแสงแตกต่างกันออกไป พร้อมแสดงข้อมูลพิสูจน์ว่า ที่นาผืนนี้มีการทำนาแบบเปียกสลับแห้งจริงไหม และลดก๊าซมีเทนไปได้ในปริมาณเท่าใด และตอนนี้ มีพี่น้องชาวนาที่อ.เดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ขายคาร์บอนเครดิตได้แล้ว 2 ราย รายละ 10 ไร่ สร้างรายได้ประมาณ 8,000 กว่าบาทต่อราย มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 9,000 ไร่อีกด้วย  ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ได้แพร่ออกไปก็มีทางด้านชาวนาอีกหลายอำเภอได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากและพร้อมเข้าร่วมโครงการนี้แล้วเพื่อเพิ่มรายได้ให้ดีกว่าเดิมมากขึ้น นายเสมอกัน เที่ยงธรรมได้ให้ข้อมูลไว้

 



 




Create Date : 20 มกราคม 2566
Last Update : 20 มกราคม 2566 12:47:48 น. 0 comments
Counter : 430 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 7372997
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 7372997's blog to your web]
space
space
space
space
space