เรียนเชิญร่วมสนทนากับผม,หมอปานเทพ,เพื่อนฝูงร่วมวงการนายทหารนักเขียนได้ที่ www.bunchon.net ครับ
เปิดให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องสบาย...สบายไม่เครียด ไม่แบ่งฝ่าย ไม่ห่วงเรื่องเชย เรื่องผิด ไม่เอาแพ้เอาชนะ ฯลฯเหมือนมาล้อมวงรอบกองไฟตอนหัวค่ำไง...เชิญครับ...
ขอเชิญร่วมก่อกองไฟ รับหนังสือพร้อมลายเซ็นต์จากเสธ.บัญชร ที่ www.bunchon.net
1 กันยายน 2552 ก่อกองไฟเริ่มจากครั้งนี้เป็นต้นไป ก่อกองไฟจะทำหน้าที่คล้ายบทบรรณาธิการเพื่อชวนสนทนาเรื่องราวทั่วๆไปที่น่าสนใจในรอบ 15 วันที่ผ่านมา รวมทั้งความเคลื่อนไหวของ bunchon.com เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้รับทราบและเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงปรับปรุงที่คงต้องมีอยู่ตลอดเวลา ก่อกองไฟตอนแรกนี้ตรงกับต้นเดือนกันยายนซึ่งจะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนหนึ่ง ในฐานะที่มีประสบการณ์มาก่อนจึงอยากชวนสนทนาเรื่องนี้เผื่อจะได้มีข้อคิดสำหรับบางท่านสิ้นเดือนกันยายนทุกๆปีจะมีผู้คนจำนวนหนึ่งในบ้านเราคือบรรดาข้าราชการและคนทำงานภาคเอกชนหลายแห่งที่ครบกำหนดเกษียณอายุใน 30 กันยายนมีใครต่อใครเขาเตือนกันมากแล้วว่า สำหรับข้าราชการโดยเฉพาะชั้นผู้ใหญ่ที่เคยมีอำนาจบารมีจะต้องทำใจให้ได้ว่า จากนี้ไปจะไม่มีใครมาแวดล้อมเอาใจเหมือนยามที่อยู่ในอำนาจแล้ว ซึ่งก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะเห็นมามากแล้วสำหรับคนที่ทำใจไม่ได้ การพ้นจากงานประจำแทนที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของการพักผ่อน หลังตรากตรำมาเกือบตลอดชีวิต แต่กลับกลายเป็นคืนวันแห่งความเจ็บปวดทรมานจากความว้าเหว่เพราะไม่ได้อยู่ในสังคมที่มีผู้คนแวดล้อมเหมือนที่เคยเป็นมาใครทำใจผ่านจุดนี้ได้จะพบกับความสุขไม่อยากเรียกว่าคำแนะนำ แต่ขอเรียกว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังเผื่อจะเป็นประโยชน์ลองนึกทบทวนดูซีครับว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ใช่หรือไม่ว่า เวลาทั้งหมดของเราทั้งในและนอกเวลาราชการต้องทุ่มเทอุทิศให้กับงานในหน้าที่รับผิดชอบจนแทบไม่มีเวลาให้กับหลายเรื่องราวที่อยากทำ...อยากใช้เวลาให้ใกล้ชิดกับครอบครัว อยากไปเที่ยวที่ไหนๆกับคู่ชีวิต อยากเล่นกอล์ฟ อยากอ่านหนังสือ อยากวาดรูปสีน้ำ อยากหัดร้องเพลง ฯลฯเอาละครับ...จากนี้ไปมีเวลาเต็มที่แล้ว เอารายการที่เคยอยากทำมากางไว้ข้างหน้าแล้วไล่เรียงดู จากนั้นก็เริ่มเลยแล้วคุณจะพบด้วยตัวเองว่า ไม่ต้องมีข้าทาสบริวารมาคอยรับใช้ ชีวิตก็มีความสุขได้ไม่แน่นักว่า ความสุขในช่วงรับราชการกับความสุขในชีวิตใหม่หลังเกษียณ อย่างใดจะสุขกว่ากันนี่คือเรื่องราวที่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่นำมาแลกเปลี่ยน ท่านผู้ใดเห็นดีด้วย เรื่องแรกที่อยากแนะนำคือลองชวนคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่า ฯลฯ ให้หันมาเล่น Internet ดู เพื่อให้ท่านได้พบกับตัวเองว่า ความสุขมิได้จากไปพร้อมๆกับหน้าที่การงานเลยโลกยังกว้างและไม่เป็นอุปสรรคของชีวิตหลังเกษียณที่จะท่องไปให้ทั่วแต่อย่างใด ...ไม่ว่าจะโลกแห่งความเป็นจริง หรือโลกไซเบอร์หันมาเรื่องใกล้ตัว...bunchon.net เพิ่งอายุครบ 1 เดือนเท่านั้นเอง ยังไม่ทันถอดป้ายมือใหม่หัดขับเลย ดังนั้น ยังคงต้องฝากเพื่อนสมาชิกให้ช่วยกันแนะนำด้วยว่า อยากให้ปรับปรุงแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้เป็น กองไฟกองเล็กๆที่เราจะได้มานั่งล้อมวงเล่าเรื่องสู่กันฟังเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ทีมงานได้จัดทำแบบสอบถามความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุง กองไฟกองนี้ของเรา ผมมีหนังสือเล่มเล็กๆที่เป็นความภาคภูมิใจในครั้งหนึ่งแห่งชีวิตคนเขียนหนังสือมอบให้เป็นที่ระลึกแน่นอนพร้อมลายเซ็น หนังสือชื่อ จากใต้สู่อีสาน...ยังจะต้องเดินหน้าปรับปรุงกันไปเรื่อยๆนึกถึงข้อเขียนตอนหนึ่งของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนในดวงใจที่เคยอ่านเจอเมื่อหลายสิบปีแล้ว ท่านเขียนคำนำในหนังสือชุดเหมืองแร่ของท่านว่า เขย่าไว้ อย่าให้นอนก้นช่วยกันเขย่าครับ พี่น้องครับ...คารวะบัญชร ชวาลศิลป์ขอเชิญร่วมก่อกองไฟ รับหนังสือพร้อมลายเซ็นต์จากเสธ.บัญชรได้ที่ //www.Bunchon.net//www.bloommedia.co.th/webboard/viewforum.php?f=19
www.Bunchon.net - พลเอก บัญชร ชวาลศิลป์
ประวัติการเขียนหนังสือ - พลเอก บัญชร ชวาลศิลป์
มาจากครอบครัวนักอ่านจึงได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่านมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เริ่มงานขีดเขียนครั้งแรกเกี่ยวกับวิทยาการของทหารปืนใหญ่ในนิตยสารทหารปืนใหญ่ และมาเริ่มเขียนออกสู่สาธารณชนครั้งแรกด้วยนามปากกา"วิชัย ภูเวียงกล้า"เมื่อปี ๒๕๒๔ โดยการชักชวนจาก คำนูณ สิทธิสมาน นักข่าวประจำนิตยสาร"ข่าวจตุรัส"ในขณะนั้นด้วยเรื่องสั้นแนวหรรษาชีวิตนักเรียนนายร้อย และชีวิตทหาร ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในยุคนั้น สังคมทหารมีลักษณะลึกลับและแปลกแยกจากสังคมส่วนใหญ่อย่างเด่นชัด จากข้อเขียนเป็นตอนๆที่ได้รับความนิยมและกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางในนิตยสารรายสัปดาห์"ข่าวจตุรัส" สำนักพิมพ์ชาติอธิปไตยจึงได้ขอลิขสิทธิ์ไปจัดทำเป็นพ็อกเก็ตบุคได้ ๒ เล่ม และต่อมาสำนักพิมพ์ต่วยตูนได้นำไปรวมเล่มอีก ๓ เล่ม โดยใช้ชื่อชุดว่า"สอยดาวมาร้อยบ่า" ซึ่งต่อมา ประยูร วงศ์ชื่นได้ขอซื้อลิขสิทธิ์และมอบให้ผู้ประพันธ์ทำหน้าที่เขียนบทภาพยนต์ในชื่อ"นายร้อยสอยดาว"ออกฉายทั่วประเทศเมื่อปี ๒๕๒๘ ภาพยนต์ประสพความสำเร็จเป็นอย่างดี ๒๕๔๔ ประยูร วงศ์ชื่น ได้นำ"นายร้อยสอยดาว"มาจัดทำเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกอีกครั้งหนึ่ง จากความสำเร็จในเรื่องสั้นแนวหรรษาชุด"สอยดาวมาร้อยบ่า"ดังกล่าว ทำให้เกิดกำลังใจสร้างสรรค์งานเขียนมาอย่างต่อเนื่อง และฉีกแนวออกไปอย่างกว้างขวางทั้งบันทึกประสพการณ์ในสงครามกับ พคท.ภาคใต้ใน"กระดูกเข้าบัว"และ"ดับไฟใต้"โดยนำลงเป็นตอนๆในมติชนสุดสัปดาห์และต่อมาได้จัดทำเป็นพ็อกเก็ตบุคในเวลาต่อมา ประสพการณ์จากการเลี้ยงสุนัข มีพ็อกเก็ตบุค ๓ เล่มคือ"หมารักคน" "ดอกฟ้ากับหมาวัด"และ "หมาต่างมุม" ประสพการณ์เดินทางท่องเที่ยว มี ๔ เล่มคือ"โค้งคันเหนือคมคลื่น" "ระบำดอกฝนที่ระนอง" "ราชินีเหนือเกลียวคลื่นที่เกาะเขียว" และ "ปลายรุ้งที่สิมิลัน" ประสพการณ์ชีวิตครอบครัว มี ๓ เล่มคือ"คือบ้านที่มีชีวิต" "บ้านเล็กเปี่ยมรัก"และที่กำลังจัดทำต้นฉบับ (๒๕๔๔)เป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ซิดนีย์กับครอบครัว ฯลฯ ระยะหลังๆใช้ชื่อจริงในการเขียนงานทุกชิ้น สำหรับในนามปากกา"วิชัย ภูเวียงกล้า"นั้น สำนักพิมพ์ภรรคทัศได้นำเรื่องสั้นชุด"สอยดาวมาร้อยบ่า"มาจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งทั้ง ๕ เล่ม และยังได้จัดทำเป็น"โครงการ ๒"เริ่มจากเล่มที่ ๖ "เรียบร้อยโรงเรียนเสธ."(วางแผงกลางปี ๒๕๔๔) ซึ่งเป็นแนวหรรษาในแวดวงทหารเช่นเดิม งานชุดนี้จึงเป็นการหวนกลับมาใช้นามปากกาวิชัย ภูเวียงกล้า อีกครั้งหลังว่างเว้นไปเกือบ ๒๐ ปี นวนิยายเรื่องแรกในชื่อ"ไฟรัก ไฟสงคราม"โดยอิงจากประวัติศาสตร์ครั้งกบฏบวรเดชเมื่อปี ๒๔๗๖ นำมาผูกโยงข้ามภพกับสงคราม พคท.ที่ตนได้มีโอกาสเข้าร่วมอย่างถึงเลือดถึงเนื้อเมื่อไม่นานมานี้-อยู่ระหว่างการจัดพิมพ์ ระลึกอยู่เสมอว่าเป็นคนลพบุรี และอยากมีโอกาสตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด.สรุปงานเขียนรวมเล่ม ๑. กระดูกเข้าบัว ๒. ดับไฟใต้ ๓. หมารักคน ๔. ดอกฟ้ากับหมาวัด ๕. หมาต่างมุม ๖. คือบ้านที่มีชีวิต ๗.บ้านเล็กเปี่ยมรัก ๘. โค้งคันเหนือคมคลื่น ๙. ระบำดอกฝนที่ระนอง ๑๐. ราชินีเหนือเกลียวคลื่นที่เกาะเขียว ๑๑. ปลายรุ้งที่สิมิลัน ๑๒. สอยดาวมาร้อยบ่า ๑๓. นายร้อยสุกดิบ ๑๔. นายร้อยอลเวง ๑๕. คู่หูพลิกล้อค ๑๖. ท.ทหารอดทน ๑๗. เรียบร้อยโรงเรียนเสธ. ๑๘. รบไปกินไป ๑๙. ไอ้หนูอัจฉริยะ(เรื่องแปล) ๒๐. แผนเด็ดปีกพญาอินทรี(เรื่องแปล) ๒๑.จากใต้สู่อีสาน (ชีวประวัติ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์) ๒๒. ประวัติและผลงาน พลเอก วิมล วงศ์วานิช ๒๓. ประวัติและผลงาน พลเอก ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ ๒๔. ประวัติและผลงาน พลเอก มงคล อัมพรพิสิฏฐ์
ประวัติส่วนตัว - พลเอก บัญชร ชวาลศิลป์
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวลพบุรีโดยกำเนิด เกิดที่อำเภอท่าวุ้งเมื่อ ๓๐ ก.ย.๒๔๘๙ เข้ารับการศึกษาครั้งแรกในชั้นประถมที่ปี ๑ ที่โรงเรียนกำจรวิทย์ และโรงเรียน ป.พัน ๑๐๑ จากนั้นได้ติดตามบิดาซึ่งเป็นตำรวจไปยังจังหวัดต่างๆ และจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย จปร.เมื่อปี ๒๕๑๒ (นักเรียนเตรียมทหารรุ่น ๖ จปร.๑๗)โดยเลือกรับราชการในเหล่าทหารปืนใหญ่ จึงกลับมารับการศึกษาที่โรงเรียนทหารปืนใหญ่ โคกกระเทียม ลพบุรี อีกครั้ง เมื่อจบการศึกษาทางราชการได้ส่งไปปฏิบัติงานที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๕ นครศรีธรรมราช จากนั้นได้อาสาสมัครไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียตนาม หลังจากกลับเมืองไทยก็เข้าพิธีสมรสกับ ศรีนคร มะกรวัฒนะ ชาวนครศรีธรรมราชซึ่งพบรักกันก่อนไปรบที่เวียตนาม ผ่านการสอบคัดเลือกจากนายทหารปืนใหญ่ทั่วประเทศได้ไปศึกษาหลักสูตรทหารปืนใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากสำเร็จการศึกษาก็ได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่อาจารย์วิชาทหารปืนใหญ่ จึงได้กลับมารับราชการที่โคกกระเทียม และมีบุตรสาวคนแรกที่นี่ ต่อมาได้รับคัดเลือกให้ไปทำหน้าที่ก่อตั้งกองพันทหารปืนใหญ่แห่งใหม่ของภาคใต้จึงกลับไปรับราชการที่นครศรีธรรมราชอีกครั้งในปี ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นช่วงที่การต่อสู้ในสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกำลังรุนแรงสูงสุด หลังจากรับราชการภาคใต้ได้ ๒ ปีก็ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ใช้เวลาศึกษา ๑ ปี เมื่อจบก็เลือกกลับไปรับราชการในภาคใต้อีกครั้ง และจะปฏิบัติงานอยู่ถึง ๑๐ ปีในยุคปลายสงครามต่อสู้คอมมิวนิสต์ ก่อนจะย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพ จนได้รับพระราชทานยศพลเอกเมื่อเมษายน ๒๕๔๙ ลาออกจากราชการเมื่อ ๑ พ.ค.๒๕๔๙ ด้วยเหตุผล เพื่อประกอบอาชีพอื่น