คนเดียวก็เที่ยวได้ "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร"
เริ่มต้นการเดินทางจากที่เวลาหลับตานึกถึงพระพุทธรูปแล้วจะนึกถึง "พระพุทธชินราช" แต่เราจะเดินทางไปถึงพิษณุโลกเลยก็ไกลเกิน ไปวัดเบญละกัน พระประธานคือพระพุทธชินราชเช่นกัน เดินทางสะดวกกว่าด้วย แล้วเราก็เคยไปตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยโน่นเลย เอาล่ะคิดได้วันหยุดก็ไปเลย เรานั่ง R26E ไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์ 509 ที่หน้าสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ลงที่ป้ายทำเนียบรัฐบาล แล้วเดินเข้าซอยฝั่งตรงข้ามไปวัดเบญ เราเล่าเหมือนไปง่าย จริงๆคือเรารู้แค่นั่งไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯก่อน แล้วนั่ง 503 ไปซึ่งพอลงรถมา เราก็งงทันที มันเป็นวงเวียน มันแยกเยอะ แล้ววัดอยู่ไหน ตอนอ่านในเน็ตมันเหมือนใกล้มากอ่ะรู้สึกเหมือนเห็นวัดเลย พอของจริงเดินไปหารถ 503 ตามที่เขาว่า เอ๊ะ! เรามาถูกทิศหรือเปล่าวะ เดินย้อนกลับไปถามทางเขา อ้อ ต้องเดินไปแยกโน้นหน้ารพ.ราชวิถี เราก็เดินไปส่องไปเห็นราชวิถีแวบๆ พอเดินไปสักพัก เอ๊ะ! ไหนป้ายไปไหนแล้ว ถามวิน อ้อ ต้องไปรอที่ป้ายรถเมล์โน้นสถาบันสุขภาพ นั่ง 509ไป ถ้าวิน 60 บาท "ขอบคุณค่ะ" (และเดินจากมา ตั้ง60หนูคงต้องเก็บไว้กินข้าวค่ะ) เราก็นั่งรอรถ 503 ตามที่หาข้อมูลมาก่อน...ผ่านไป 30 นาที โอ้ย!!509ละกันผ่านไปสองคันแล้วเนี่ย พอขึ้นก็ได้ความช่วยเหลือจากกระเป๋ารถเมล์ในการลงบอกให้ลงป้ายทำเนียบแล้วเดินเข้าซอยไป (ประทับในการบริการ) พอลงหน้าทำเนียบ...เอ๊ะ! ไหนซอย ไหนผู้คน บางตามาก วัดอยู่ไหน (จินตการว่าลงมาเห็นวัดลิบๆให้เดินเข้าซอย) เห็นสห.พอดี เดินไปหาอย่างงุนงง "ขอโทษค่ะ จะไปวัดเบญฯ เขาบอกลงมาแล้วเดินเข้าซอย ซอยอยู่ไหนคะ" เขาก็บอกถามว่าจะเข้าทางข้างหน้าหรือหลังวัด "ทางไหนก็ได้ค่ะ ไปไม่ถูกเลย ไม่รู้จักสักทาง" ด้วยเห็นเรามาคนเดียวมั้ง เลยบอกว่าให้เราไปซอยที่เข้าทางด้านหน้าอยู่ตรงข้าม ให้เราข้ามถนนเดินย้อนไปเข้าซอยก่อนถึงสะพาน จะข้ามก็ไม่กล้ารถมาเรื่อยๆ แรงซะด้วย รออยู่นาน จนคนเดินมาจะข้ามคงเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานแถวนี้ถึงจะคุยมือถืออยู่แต่ก็พยักหน้าให้เรา สื่อว่า"ตามมาไอ้หนู" เราก็มองเขาแบบคุณอาเท่มาก ตาเป็นประกาย แล้ววิ่งตามต้อยๆไปถนนอีกฝั่ง พอถึงเขาพยักหน้าอีกทีเราก็"ขอบคุณค่ะ" จากนั้นเราก็เดินเข้าซอย...แค่บรรยากาศต้นมะขามที่เรียงราย เราก็เดินยิ้มร่าเริง ร้องเพลงเบาๆไปตามประสา ทักทายต้นไม้ไปเรื่อย จนถึงวัดเบญ ก่อนเดินเข้าวัดมาเราก็เห็นอาคารนี้ก่อนเลย ดูมีความเป็นอาคารแบบยุโรป พอเข้ามาปุ๊บเราก็ชมความความที่หน้าบันก่อนเพราะดูสวยงามวิจิตรตระการตา แล้วทันใดนั้นการพูดคุยทวงหนี้ของชายนิรนามสองคนก็ดังขึ้น เราก็ยืนชมความงามต่อไป อ่านป้ายต่อไปอย่างไม่แคร์ จะทวงหนี้กันก็ทวงนะ ฉันจะชมความงามพระที่นั่ง ฉันไม่ได้แอบฟัง ไม่ได้สอดแนมใดๆนี่มาชมวัด มาไหว้พระ สักพักจึงได้เห็นหน้าคร่าตากันเจ้าหน้าที่วัดโดนทวงหนี้อยู่นี่เอง เหมือนคนทวงเขาจะไม่อยากพูดต่อหน้าบุคคลที่สามอย่างเรานักจึงทวงต่ออีกนิดหน่อยแล้วจากไป อันที่จริงรถไอติมก็อยู่ตรงนั้นได้ยินเหมือนกันแน่ๆ
เราเห็นหน้าบันนี้แล้วรู้สึกสะดุดตามาก สวย และมีสีสัน เดินต่อมาก็จะเจอพระที่นั่งทรงผนวช ชมความงามได้แค่ภายนอกเช่นกัน อันที่จริงนอกจากพระอุโบสถ พระระเบียง และศาลาต่างๆเราก็เข้าไปดูด้านในไม่ได้เลย ชมความงานของสถาปัตยกรรมเอา ศาลาหลังนี้พระราชทานนามว่า "ศาลาสี่สมเด็จ" เพราะเหตุที่สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ของ "สมเด็จเจ้าฟ้า 4 พระองค์" ซึ่งเป็นพระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ฝั่งนี้ที่เราถ่ายหน้าบันเป็นตราพระเกี้ยวของรัชกาลที่ 5 ด้านในมีกลองตั้งวางอยู่ซึ่งเราก็ได้แต่จับๆอย่างเบามือ เดินดูได้แค่รอบนอกเช่นเคย ภาพดูเบลอๆเนื่องจากฟ้าร้อง เมฆครึ้มมาแต่ไกล เราค่อนข้างรีบถ่ายกลัวฟ้าผ่า หอที่หยัดยืนท่ามกลางสภาพอันอากาศอันน่ากลัวมานาน หลังจากที่เราคิดว่าหรือเราควรพอแค่นี้ไม่มีคนเดินรอบนอกเลย ก็ได้เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาให้ชื่นใจว่าเรายังมีเพื่อน หลังจากฝนโปรยปรายได้ไม่นานผู้คนก็หายไปเยอะเลย
พระบรมราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ร.5 บรรจุอยู่ใต้รัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช ตามพระราชประสงค์
เราแทบจะเป็นคนเดียวที่ถอดรองเท้าไว้ด้านนอกบริเวณที่เขาให้ถอดเลยเป็นคนเดียวที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นหินอ่อนอันร้อนระอุ ก็เลยถือโอกาสเดินชมพระพุทธรูปทั้ง 52 องค์ใต้ชายคาที่พระระเบียงครบเลย คลอไปกับเสียงระฆังใบน้อย ที่สักพักดังลั่นเพราะสาวจีนวิ่งแล้วเอามือรูดปื้ดพร้อมถ่ายภาพหรือวิดีโอ ทำให้เราหันไปมองแรงใส่ คือยืนอยู่ตรงนั้นไงมันแสบแก้วหูว้อย!!! ทำเสียบรรยากาศหมดเลย
ศาลานี้จะอยู่โซนด้านหลังพระอุโบสถค่ะ บรรดาแผ่นศิลาที่ปูถนนในวัดเบญจมบพิตรเป็นแผ่นศิลาโบราณที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำมาจากที่ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งได้มาจากพระราชวังเดิม อีกส่วนหนึ่งเป็นศิลาปูพื้นวังกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร นอกจากนี้ยังมีผู้ถวายเพิ่มเติมอีก ส่วนศิลาปูถนนสองข้างพระอุโบสถนำมาจากพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นศิลาแก่อย่างดำ และศิลาจากวัดอรุณราชวราราม ซึ่งทรงกำชับให้มีการแลกเปลี่ยนด้วยราคาที่เหมาะสม อย่าให้ราคาต่ำเกินไป
เราว่าทุกสถานที่มีเรื่องราว มีที่มา ถ้าเราศึกษาเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของสถานที่จะทำให้การเดินทางของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น อย่างถนนศิลา ถ้าเราไม่ได้รู้ข้อมูลมาก่อนเราคงคิดว่าแค่แผ่นหินธรรมดา ศาลาหรือสะพานข้ามคลองเองก็มีคนที่เขาตั้งใจสร้าง พอเรารู้เรื่องราวเหล่านั้นมันทำให้เรายิ่งรัก ยิ่งรู้สึกประทับใจสถานที่นั้นไปอีก อย่างวัดแห่งนี้ทำไมชื่ออังกฤษคือ The Mable Temple เพราะพระอุโบสถทำด้วยหินอ่อนจากอิตาลี ด้านหน้าพระอุโบสถ มีกำแพงแก้ว บนมุมกำแพงแก้วซ้าย-ขวา มีเสาคอนกรีตหัวเสาเป็นศิลาสลักรูปดอกบัวตูม คือเครื่องหมาย "สีมา" สำหรับด้านหน้า ส่วนสีมาด้านหลังพระอุโบสถ สลักรูปเสมาธรรมจักรที่แผ่นหินแกรนิตปูพื้น ภายในกำแพงแก้ว ปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา มันน่าสนใจมากจริงๆนะถ้าเราได้ลองฟังลองอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์น่ะ https://watbenchama.com/
ข้อมูลของเรามาจากหลายที่แต่หลักๆก็ที่นี่ ตอนไปเราก็อ่านก่อนไป ผสมกับที่เคยฟังเคยจำได้ตอนเรียน ซึ่งเราไปเพื่อจะหาเสมาธรรมจักรด้วย แต่เดินหาไม่เจอ ฝนก็เริ่มตก นึกว่าจำผิด เสียดายเลย
Create Date : 25 ตุลาคม 2561 |
Last Update : 25 ตุลาคม 2561 13:10:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1476 Pageviews. |
|
|