สิงหาคม 2558

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
เพื่อความสุขของลูก...จากคนเป็น "แม่"
  ...บางทีความสุขในวัยเด็กของเรานั้น อาจจะต้องแลกมาด้วยความทุกข์ของใครบางคน...

หากร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักร อาหารก็คงเป็นแหล่งพลังงานให้กับเรา ดังนั้นเราๆคงปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า "เรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญ" และนั้นก็ทำให้เรื่องของการกินกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เราทำกันเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่ง แต่มีการกินข้าวอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้เรา "คิดถึงแม่"

เป็นอีกเย็นหลังเลิกงานที่แสนเบื่อหน่าย และก็เป็นอีกมื้อแล้วสินะ...ที่เราต้องกินข้าว พร้อมกับปวดหัวกับการเลือกเมนูอาหารตามสั่ง มันอาจจะดูงี่เง่า แต่เราเชื่อว่าใครหลายๆคนคงประสบปัญหาเดียวกับเราแน่ๆคือ "ไม่รู้จะเลือกกินอะไร" และที่งี่เง่าไปกว่านั้นคือ จุดจบของปัญหาที่ว่ามักลงเอยด้วยคำว่า... "ไข่เจียวหมูสับ ของเด็กที่นึงนะ"  เสียงของหญิงวัยกลางคนดังแซงเสียงของเราที่กำลังจะบอกกับแม่ครัวว่า "กระเพราหมูสับไข่ดาวครับ" (อื่ม จบปัญหาของตนเองด้วยเมนูสิ้นคิดอีกเคย)
ใช่ครับ ผมกำลังโดนแซงคิด แต่จะว่าแซงคิดก็คงไม่ถูกซ่ะทีเดียว ก็เราสั่งช้าเองหนิ และคุณน้ากับลูกสาววัยเล็กของเธอเพิ่งจะเดินเข้าร้านมาเอ๊งงงง !!  แต่เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการต้องรอแค่ 1 คิว เพราะเย็นนี้ก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงที่ร้านฝนได้เทกระหน่ำลงมา อาจทำให้ลูกค้าเบาตาไปบ้างสำหรับร้านนี้ 
ร้านอาหารตามสั่งร้านนี้ ก็เหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอื่น (มันก็คงไม่เหมือนร้านซักรีดไปได้หรอกเนอะ) แต่ถ้าจะถามถึงความพิเศษและแตกต่างจากร้านอื่นๆก็คงเป็น ร้านนี้ดูดีกว่าร้านอื่นๆในระแวกนั้น เมนูกับข้าวก็ทั่วไปตามที่พ่อครัวแม่ครัวร้านจะทำได้ หากแต่การตกแต่งภายในที่ดูสะอาด การจัดจานดูสวยงาม และวัยรุ่นหนุ่มสาวมหาลัยนิยมมาใช้บริการกัน และด้วยประการทั้งปวงเป็นเหตุให้ราคาต่อเมนูในร้านนี้มีราคาที่ "แพงกว่าชาวบ้าน" (เช่น กระเพราหมูสับสนนราคาที่จานละ 40 บาทไม่รวมค่าไข่ดาวไม่สุกอีก 10 บาท) แต่สำหรับเรามันก็คือราคาปกติทั่วไป ที่จะหากินได้เพื่อแลกกับความสะอาด และไม่แออัดแบบสไตล์ร้านข้างทางอื่นๆ แต่สำหรับสองแม่ลูกคู่นี้นั้นคงต่างออกไป

เด็กน้อยวัยราวๆประถมต้นนั้นค่อนข้างเป็นวัยที่เหมาะสมที่จะเป็น "ศัตรูโดยธรรมชาติของมนุษย์ผู้ใหญ่" ด้วยความที่เป็นวันที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้ ความอยากรู้อยากเห็น และความกระตือรือร้น จึงมีมากเป็นพิเศษ ดังนั้นอาการนั่งไม่ติดที่เอย สงสัยในนู้นนั้นนี่เอย จึงเป็นที่น่ารำคาญหูหงุดหงิดตาของผู้พบเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะผู้พบเห็นที่ไม่ได้มีความใคร่ในเด็กวัยนี้เป็นพิเศษแบบเรา (-*-)
เด็กน้อยกลายเป็นมลภาวะต่อเราไปโดยปริยาย เพราะเธอนั่งเก้าอี้ข้างหลังติดกับเก้าอี้ของเรา (-**-)
และด้วยอาการของหนูน้อยที่เป็นอยู่นั้น มันสร้างแรงกระเทือนสู่เก้าอี้ที่เธอนั่ง และด้วยผลกรรมที่สร้างร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนตอนไหนไม่รู้ ณ ที่ไหนสักแห่ง จึงดลบันดาลให้เก้าอี้ของเราสองมากระทบกันอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความตกใจของเจ้าของตูดที่นั่งอยู่เป็นระยะ (-***-)
แค่เสียงที่เจี้ยวจ้าวถามนู้นถามนี่ระหว่างรออาหารของเธอ คงไม่สมแก่บาปที่เราได้กระทำต่อเธอไว้ สวรรค์จึงได้กำหนดให้เราต้องมากระทบกระทั่งกันให้เกิดหงุดหงิดเล่นๆ ครั้งเดียวไม่ว่า แต่นี่มันหลายที แม้แม่ของเธอจะคอยปรามอยู่บ้าง แต่เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ ถ้าเข้าใจอะไรง่ายๆเจ้าหล่อนก็คงหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นไปก่อนหน้าที่เราต้องย้ายฝั่งที่นั่ง ที่เป็นเหตุให้เราได้เห็นการสนทนาของแม่ลูกคู่นี้ และทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างที่คนเป็นลูกอย่างเราบางทีก็ไม่อาจจะรับรู้ 

ไข่เจียวหมูสับได้มาเสิร์ฟตรงหน้าของคุณแม่ แต่เธอกับย้ายจานไปให้ตรงหน้าของเด็กน้อย
แม่ : กินสิลูก ให้แม่ป้อนมั้ย แต่มาร้านแบบนี้เขาต้องทานข้าวเองนะ 
เด็กหญิง : (ผยักหน้า) ..แม่ไม่กินหรอ ของแม่หล่ะ ?
แม่ : (ตักข้าวเข้าปาก 1 คำ) ...อะ ที่เหลือกินให้หมดนะ แม่อิ่มแล้ว แม่กินมาแล้วไง 
เด็กหญิง : (ตักข้าวเข้าปาก ค่อยๆเคียว มันมาดูทีวีที่อยู่ข้างหลังเรา สบตากันกับเรา) 
แม่ : รีบกินสิ อมข้าวอีกแล้ว มาร้านแบบนี้เขาไม่อมข้าวกันนะ 
เด็กหญิง : (หันกลับมากินข้าวต่อ) ...แม่ หนูจะกินน้ำ
...และแม่ของเธอก็ลุกไปเอาแก้วน้ำมาให้ลูกของเธอ 
การกินข้าวของเด็กน้อยดำเนินต่อไป อย่างช้าๆ เพราะ "ตักข้าวเข้าปาก ค่อยๆเคียว มันมาดูทีวีที่อยู่ข้างหลังเรา สบตากันกับเรา" (- -)  มันเป็นเรื่องที่น่าอึกอัดนะ ที่การกินข้าวของเราไปเป็นที่สนของใครคนหนึ่งเข้า และยิ่งด้วยอาการ "อมข้าวไว้ในปาก ค่อยๆเคี้ยว เศษข้าวทะลักของมาข้างริมฝีปาก" ...อื่ม...ฉันจะแดกข้าวลงมั้ยหล่ะ ?
คุณแม่พยายามเรียกให้หนูน้อยหันกลับไปทานข้าว และบอกย้ำว่า "อย่าไปกวนพี่เค้า" แต่หูของเด็กน้อยคงได้ยินว่า "กวนพี่เค้าสิลูก" (- -")  แต่ที่น่าสงเกตุคือ คุณแม่ของเด็กนั้น พยายามย้ำอยู่ตลอดว่า "มากินข้าวร้านแบบนี้ต้องรีบกินนะ ต้องกินเยอะๆนะ"  จนเราเองเริ่มสงสัย ว่าทำไม ?

เด็กน้อย : แม่ๆ พี่คนนั้นกินอะไรอ่ะ ? (พร้อมหันหน้ามาจ้องมองเมนูในจานข้าวของเรา)
แม่ : อย่าไปกวนพี่เค้าลูก รีบๆกินสิ เหลืออีกตั้งเยอะเนี้ย 
เด็กน้อย : หนูอิ่มไข่เจียวแล้วหนิ ถ้าได้กินแบบพี่คนนั้นคงกินได้อีก
แม่ : ไม่เอา มันเผ็ด เป็นอาหารของผู้ใหญ่ หนูกินไม่ได้ กินของตัวเองให้หมดก่อน !
เด็กน้อย : ...ไม่เอาหนูอิ่มแล้ว
แม่ : ไม่กินได้ไง นี่ก็พามากินร้านอาหารแล้ว ต้องกินให้หมดสิ ข้าวที่บ้านก็ไม่ยอมกิน บอกอยากมากินร้านนี้ก็พามา เร็วรีบกินเข้า 

มาถึงจุดนี้เราก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุการ์ณที่นำพาสองแม่ลูกคู่นี้มา ณ ร้านเหตุนี้คืออะไร แต่กระนั้นแม่ของเธอก็ยังใจดีอธิบายให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเธอชวนเราคุย...
แม่ : เนี้ย งอแง ไม่ยอมกินข้าว บอกต้องพามากินร้านอาหาร พอมาก็กินไม่หมด 
เรา : อ่อครับ กินเยอะๆนะเด็กน้อย จะได้โตไวๆ (ยิ้มแห้งส่งไป 1 ที พร้อมเรียกเก็บเงิน) 
แม่ : เห็นมั้ย พี่เค้ายังกินหมดเลย เราต้องกินให้หมดสิ (พร้อมตัดข้าวให้ลูกน้อยของเธอ)
ลูก : (กินข้าวต่อไปได้สามสี่คำ) ...แอ๊อู๊อิ่มแอ๊ว (แม่หนูอิ่มแล้ว)
ณ ตอนนั้นข้าวให้จานของเด็กน้อยคงเหลือประมาณครึ่งจานได้ แต่ไข่เจียวนั้นได้หายไปจากจานของเธอไปหมดแล้ว 
แม่ : กินก็กินแต่กับ ข้าวก็ไม่ทาน แล้วเมื่อไหร่จะโต
(เราจ่ายเงิน ออกจากร้าน)

จากเหตุการ์ณนี้ มันทำให้นึกถึงเรื่องราวของตัวเราเองในวัยเด็ก ที่เราพยายามงอแงให้แม่ซื้อไส้กรอกอะไรสักอย่างที่มันขายในห้าง เมื่อครั้งไปห้างเปิดใหม่ที่บ้านนอกกับแม่ครั้งแรก (แพ็กเกจมันดูดีและน่ากินมาก แม่เล่าว่างั้น) ครั้งนั้นเรางอแงอยากกินจนแม่ต้องยอมซื้อให้ โดยเรามารู้ที่หลังว่า ไอ่ไส้กรอกนั้นราคามันแพงเอาเรื่อง เอาเรื่องแบบที่น่าจะเกินกำลังของชาวนาสองคนเห็นว่าไม่คุ้มที่จะจ่ายเงินซื้อมากินเองแน่ๆ เพราะได้น้อยและแพงนั้นเอง (แต่มันดูน่ากิน แม่เล่าว่างั้นอีก)
ตอนที่เราได้กินมันเข้าไป รสชาติเป็นไงเราเองก็จำไม่ได้หรอก เพียงแต่แม่เรามักจะยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมา ในเวลาที่แม่จะเล่าเรื่องความแสบซนในวัยเด็กของเรา พร้อมให้เหตุผลว่า...
"คนเป็นแม่บางครั้งก็ต้องยอมขัดใจลูกเพื่อไม่ให้ลูกเคยตัวเอาแต่ใจ แต่บางทีมันก็อดเห็นลูกไม่มีความสุขไม่ได้ จนต้องยอมขัดใจตัวเองเพื่อตามใจลูก" 

หลังจากวันนั้นเราได้พบเจอสองแม่ลูกอีกครั้ง ที่ทางเข้าย้านบ้านคนงานก่อสร้างใกล้กับร้านที่เราได้พบเขาทั้งคู่ มันทำให้พอรวบรวมเหตุและผล ประติดประต่อเรื่องราวและเหตุการ์ณของแม่ลูกคู่นี้ได้ แม้ตัวร้านมันอาจไม่เริ่ดหรูมากนักในสายตาเรา แต่นั้นอาจจะดูดีที่สุดที่เด็กน้อยคนนั้นเคยพบเจอ แม้ข้าวไข่เจียวหมูสับอาจจะเป็นเมนูธรรมดาๆสำหรับหลายๆคน แต่นั้นอาจจะเป็นเมนูอาหารที่เด็กน้อยคนนั้นรู้จัก เคยทานและทานได้ และต่อให้แม้แม่ของเธออาจจะไม่เคยคิดที่จะพาตัวเองและลูกน้อยมาทานข้าวในเมนูง่ายๆ ที่ทำเองได้ และราคาอาจไม่ต้องจ่ายเพิ่มขนาดนี้กับร้านแบบนี้
แต่เมื่อลูกของเธอต้องทนทุกข์ เธอก็คงอดเห็นลูกเธอเป็นแบบนั้นไม่ได้ 
ความอยากรู้อยากเห็น อยากได้อยากเป็น มันมีในทุกๆช่วงวัยก็จริง แต่กับวันเด็กนั้นคงยากเกินกาจจะอธิบายให้เข้าใจว่า สิ่งไหนจำเป็นสิ่งไหนเกินความจำเป็น และด้วยความเป็น "แม่" บาองครั้งก็ต้องยอมทำให้สิ่งที่เกินความจำเป็น เพื่อสิ่งที่จำเป็นที่สุด... "รอยยิ้มของลูก"  ^^
คนเป็นแม่ยอมทำได้ทุกอย่างให้คนเป็นลูก แล้วคนเป็นลูกหล่ะ...?



ปล. แม่มักจะพูดกับเราเสมอว่า "ไม่มีใครรักลูกเท่าแม่หรอก" เราเองก็จะตอบกลับแม่เสมอว่า "ผมก็คงไม่รักใครไปมากกว่าแม่หรอกครับ"

รักแม่ครับ
...นำชวด



Create Date : 27 สิงหาคม 2558
Last Update : 27 สิงหาคม 2558 16:55:31 น.
Counter : 2010 Pageviews.

1 comments
  
คิดถึงแม่เลย
โดย: aekomi IP: 122.155.44.200 วันที่: 28 สิงหาคม 2558 เวลา:19:42:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นำชวด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คิดต่างไม่ได้หมายความว่าจะสร้างความแตกแยก
ความต่างมักจะสรรค์สร้างสิ่งใหม่
และความต่างทำให้เห็นมุมมองอื่นมากขึ้น
เพียงเข้าใจความต่าง...