การเดินทางคือชีวิต life is journey เรียนรู้ไปกับทุกวันทำให้ความทรงจำเป็นประสบการณ์มีค่า experience always inspired and amazed me
space
space
space
<<
ตุลาคม 2561
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
14 ตุลาคม 2561
space
space
space

นาค ไม่ใช่พญานาค


ทางฮินดู นับนาค 3 ตนเท่านั้น  ที่ได้ชื่อว่า #นาคราช ได้แก่ เศษะ วาสุกี และ ตักษกะ ทั้งหมดเป็นบุตรของพระฤๅษีกัศยปะกับนางกัทรุ

นอกนั้นไม่อาจจะเรียกว่านาคราชได้ เป็นเพียงนาคเฉยๆ ส่วนหนังอนเดียที่ฉายเป็นชื่องูใหญ่ สังเกตุง่ายๆคือไม่มีหงอนไม่มีเชื้อสาย เป็นนางงูใหญ่เท่านั้นเอง กลับมาที่นาคราชที่เป็นหลัก อันได้แก่

  • เศษะ หรือ อนันตนาคราช เป็นบุตรตนโต โอรสของพระกัศยปเทพบิดรกับนางกัทรุผู้อุทิศตนรับใช้พระวิษณุ เป็นพระแท่นบรรทมของพระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญโยคนิทรา ซึ่งรู้จักในชื่อนารายณ์บรรทมสินธุ์

คำว่า เศษะ หมายถึง ผู้ไม่มีที่สิ้นสุด หรือนาคราชผู้ไม่มีที่สิ้นสุด เกินประมาณ ด้วยพลังและขนาดองค์ที่เกินประมาณ เศียร ยามทรงอิทธิเต็มพละนั้นมากถึง1,000เ เศียร เชื่อว่า  เศษนาคทำหน้าที่เป็นผู้แบก14ภพของจักรวาลเอาไว้ทั้งบนเศียร1,000 และเป็นบัลลังก์ ของ พระวิษณุวิษณุนารายณ์ปรมนาท ยามที่พระองค์ทรงบรรทมเหนือกเษียรสมุทร

  • วาสุกี หรือ วาสุกรี เป็นบุตรคนรองผู้รับใช้พระศิวะ ให้ทรงใช้เป็นสังวาลย์ห้อยพระศอ และเสียสละร่างกายเป็นเชือกกวนเกษียรสมุทรแก่เหล่าเทพและอสูร

  • ตักษกะ เป็นศัตรูของพระอรชุน ต่อมาพ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศไปอยู่ตักศิลา ไม่ค่อยมีบทบาทเกี่ยวกับเทพเท่าไหร่นัก


นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจึงมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร  นาคมีกำเนิดตามบุญบารมี ซึ่งเหล่าสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) นาคราช และนาค นั้น กำเนิดตามเผ่าพันธ์และบุญ จึงมีทั้งเกิดในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

ขันธะปริตตะคาถา พระไตรปิฎก แสดงไว้ว่า พญานาคนั้น มี 4 ตระกูล คือ

1. วิรูปักษ์ (ตระกูลสีทอง)

2. เอราปถ (ตระกูลสีเขียว

3. ฉัพพยาปุตตะ (ตระกูลสีรุ้ง)

4. กัณหาโคตรมะ (ตระกูลสีดำ)

  4 ตระกูลนี้ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ และได้กระจัดกระจายขยายเผ่าพันธ์ออกเป็น 2 สาย คือ นาคบก อาศัยในป่าหิมพานต์ เรียกว่า ถลชะ และพวกที่อาศัยในมหาสมุทร (น้ำ) เรียกว่า ชลชะ

  กำเนิด 4 แบบ คือ ผุดเกิด เกิดจากน้ำเน่า เกิดจากครรภ์ และเกิดจากไข่

1.โอปปาติกะพญานาค   เป็นนาคพวกกายทิพย์ผุดเกิดจากบุญบารมี

2.ชลาพุชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดในครรภ์
3.อันฑชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดในไข่
4.สังเสทชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดจากเหงื่อไคล


แบ่งตามลักษณะการทำอันตราย 4 คือ

1.ทัฏฐะวิสาพญานาค   เมื่อขบกัดแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั่วร่างกาย
2.ทิฏฐะวิสะพญานาค   ใช้วิธีมองแล้วพ่นพิษออกทางตา
3.ผุฏฐะวิสะพญานาค   ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษแผ่ซ่าน
4.วาตาวิสะพญานาค   มีพิษที่กาย จะแผ่พิษจากตัว
แบ่งตามความรุนแรงของพิษ 4 คือ

1.อาตตะวิสนะโฆระวิสะ   มีพิษแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่รุนแรง
2.โฆระวิสนะอาคตะวิสะ   มีพิษรุนแรงมาก แต่พิษนั้นแผ่ออกไปช้าๆ
3.อาคตวิสนะโฆระวิสะ    มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก                                             4.นะอาควิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ช้าๆและไม่รุนแรง

ถ้าเขียนผิดขอภัย

ตระกูลนาค

พญานาคตระกูลสีทอง
เป็นพญานาคในตระกูลสูงสุด เป็นการกำเนิดพร้อมบุญบารมี มีอำนาจเรียกว่าแต้มบุญสูง มีจิตเต็มพลัง จึงเป็นผู้ดูแลชั้นรองๆลงมาได้  มีกำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที
พญานาคในตระกูลนี้จะอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา (ระดับนี้จะเป็นพื้นที่บุญสัมฟทธิ์ขั้นต้นๆ โดยมีเทวดาเป็นใหญ่ ๔ องค์ มี ท้าวธตะรฐะ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันออก บางครั้งจะมีชื่อว่า “อินทะ” ซึ่งเป็นเทพที่ปกครองคนธรรพ์เทวดา ท้าววิรุฬหกะ ซึ่งบางครั้งมีชื่อว่า “ยมะ” เป็นผู้ปกครองเทพทางทิศใต้ เทพชั้นกุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักขะ บางครั้งมีชื่อว่า “ท้าววรุณ” เป็นผู้ปกครองเทพทางทิศตะวันตก เทพชั้นนาค ทางทิศเหนือ มี ท้าวกุเวร ซึ่งบางครั้งชื่อว่า เวสสุวัณ เป็นผู้ปกครองเทวดาชั้นยักษ์ เทพชั้นนี้ยังมีผัสสะ ผลบุญสำแดงเป็นรูปลักษณ์และรัศมีไม่มากมาย

พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก (เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ ) พญานาคในตระกูลสีทอง เป็นเพียงตระกูลเดียวพญาครุฑไม่สามารถทำร้ายได้

ลักษณะ ลำตัวสีรุจน์อุไรวรรณจันทราภา มีเกล็ดทองคำบุศรินทร์ หรือสีทองมหิธาสุวรรณชาด เชื่อว่าเป็นพญานาคที่มีอิทธิฤทธิ์และพลังอำนาจมากที่สุด สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แม้แค่ใช้สายตามอง พญานาคตนใดกำเนิดมาจากวงศ์ตระกูลนี้ ให้ถือว่าเป็นผู้ที่มากด้วยบุญญาบารมี

นาคราชที่มีหน้าที่แต่ละด้านจะสามารถขึ้นไปสวรรค์ชั้นอื่นได้เมื่อมีคำสั่งลงมา ซึ่งก็อาจเข้าไปไม่ถึง สุธรรมาเทวสภา หรือก็ตามแต่หน้าที่ เรียกทำงานอีกเหมือนกัน


ต่อมา ตระกูลสีเขียว เป็นชนชั้นรองลงมา
เชื่อว่าอาศัยอยู่ในเมืองบาดาล ลึกลงไปจากใต้ดินถึง 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร บากพวกอาศัยอยู่ในถ้ำ ลึกถึง 50 โยชน์ หรือ 800 กิโลเมตร เชื่อว่าเป็นพญานาคตระกูลที่พบได้มากที่สุด มีลำตัวเขียวมรกตจงกลนี เกล็ดมรกตสีไพลมณีรัตนชาติ มักขึ้นมาบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง จึงทำให้เกิดตำนานรักมากมายระหว่างพญานาคตระกูลนี้ เป็นพญานาคในชั้นบารมีรองลงมา ก็รับหน้าที่ปกครองในระดับรองลงมา

ตระกูลสีรุ้ง เป็นวรรณะในระดับที่ 3
บางตำราว่า มีกำเนิดจากไข่ เรื่องนี้อยู่ที่บุญเก่ากับเชื้อสายมากกว่า สีรุ้งที่ว่าบางตำราเรียกว่าหลากสี นาคตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะมีกายสีเลื่อมรุ้งมรุลี สีโกเมนสุริยฉัตรปภัศร เป็นตระกูลที่พบได้น้อย

ตระกูลสีดำ กัณหาโคตมะด พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะนอนหลับเป็นระยะเวลานาน มีกายเป็นนิลกาฬมหิธร มีเกล็ดเป็นนิลปาศรอมรสุภรัตน์ พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของพญานาคในตระกูลอื่น อาจจะจะเน้นทำบารมีเพิ่ม ไม่ค่อยออกมาเสี่ยงกับการบริหารวงวารที่ทำให้อารมร์เสียบ่อยๆก็ได้  พญากาฬนาคราช เป็นผู้นอนรอรับถาดทองคำ ที่องค์พระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานก่อนบรรลุธรรมเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นไม่ธรรมดานะนั่น

แต่ ที่ #เผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็น 9 ตระกูล น่าจะมากเกินไป ตอนเขียนกันไปกว่า 70 ชื่อ ที่คุ้นกัน 9 ชื่อ ซึ่งถูกนำมาสร้างเรื่องใช้หากินซะมาก ๑.อนันตนาคราช ๒.มุจรินทร์นาคราช

๓.ภุชงค์นาคราช ๔.ศีรสุทโธนาคราช

๕.ศรีสัตตนาคราช ๖ เพชรภัทร นาคราช หรือเกล็ดแก้วนาคราช

๗.นาคดำแสนสิริจันทรานาคราช ๘. ยัสมัญนาคราช

๙.ครรตะศรีเทวานาคราช

แปลกนะ   เอาเป็นว่าวันนี้ มีการสร้างเรื่องจากตำนานริมแม่น้ำโขงมากมาย จนลืมไปว่านาค พญานาค เป็นผู้ไปทางน้ำทุกที่ทุกแห่งหนจะน้ำตก น้ำจืด น้ำทะเล มหาสมุทร

เมื่อนาคราชกำเนิดด้วยเชื้อบารมี ระดับพญานาคนั้น มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ด้วยผลบุญเก่าที่เคยสร้างไว้ จึงนำพาให้มาเกิดในภพภูมิพญานาค เมื่อเกิดมาแล้วก็หมั่นสร้างบุญกุศลด้วยการต่อยอดบุญเดิมของตนเองจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งจะช่วยยกระดับสภาวจิตตนเองให้สูงเพื่อการหลุดพ้น จึงไม่น่าจปรารถนาเครื่องบัดพลีบวงสรวงใดๆ ด้วยบำเพ็ญบุญบารมีมามาก สภาวะจิตย่อมเหนือกิเลสต่ำๆ ของบูชาในเชิงวัตถุจึงปะเหมาะกับเทวดา นางไม้ เจ้าที่ ซึ่งเป็นเทวดาที่ยังหมกมุ่นในกิเลสมากกว่า

ดังนั้น ระดับนาคราชย่อมไม่เป็นของเล่นให้ มนุษย์ขี้เหม็นแน่นนอน ก็เช่นเดียวกับเทพระดับสูงทั้งหลาย  ดังนั้น ที่โลกเขละๆนี้พบเห็นจึงน่าจะเป็น นาคชั้นล่าง ภูติ เปรต อสุรกาย (ถ้าอยากจะเชื่อนะ)

พญานาคจะสามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ โดยมี 5 สภาวะ ที่นาคจะต้องปรากฎร่างนาคออกมาเช่นเดิม คือ

  1. ขณะเกิดเป็นนาค

  2. ขณะลอกคราบ

  3. ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค

  4. ขณะนอนหลับโดยไม่ได้สติ

  5. เมื่อสิ้นใจ แม้จำแลงเป็นภาวะอื่น ก็จะกลับเป็นนาคตามเดิม


ตำนานครุฑกับนาค

เริ่มจากต้นตระกูล  พระกศยปเทพบิดรนั้น ท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาฤาษีของโลก เรียกว่าสปตะฤาษี ฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 ตน ซึ่งได้รับเกียรติและการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะคุรุและมหามุนี ในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ ระบุชื่อว่า 1.โคตม 2.ภัทรวาช 3.วิศวามิตร 4.ชมทัศนี 5.วศิษฐ์ 6.กัศยป และ 7.อัตริ

พระกศยปเทพบิดร นอกจากจะเป็นสปตะฤาษีท่านยังรั้งตำแหน่งเป็นพระมหาประชาบดีที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดมวลมนุษย์เเละเทพเทวะทั้งปวงตลอดจนสร้างกลไกสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในบางตำราก็ว่า เป็นพระบิดาของพระนารายณ์ ในวิษณุปุราณะก็กล่าวว่า เป็นบิดาของมหาฤาษีนารทมุนี (องค์นี้ก็เรื่องยาว) ซึ่งพระฤาษีกัศยปเทพบิดรองค์นี้ยิ่งใหญ่ในตบะฌาณทรงศักดิ์และทรงสิทธิ์เหนือมวลเทพเจ้าทั้งปวง

พระกศยปะ มีอัครมเหสีชื่อ พระอทิติ และมีมเหสีฝ่ายซ้าย (องค์รอง) คือ นางทิติ แล้วก็มีชายาอีก  13 องค์

กศยปเทพบิดร มีโอรสที่เราได้ยินพระนามบ่อยๆอยู่มาก เช่น กลุ่ม*อาทิตย์ทั้ง 8 คือ สุริยาทิตย์, วรุณาทิตย์, มิตราทิตย์, อริยมนาทิตย์, ภคาทิตย์, องศาทิตย์, อินทราทิตย์ และธาตราทิตย์ โดยเป็นโอรสที่เกิดกับนางอทิติอัครมเหสี พูดง่ายๆ คือพระมหาฤาษีองค์นี้ เป็นพ่อของพระอินทร์ พระอาทิตย์ พระวรุณ พระยม เป็นต้น กล่าวง่ายๆ คือลูกของท่านล้วนกุมกลไกต่างๆ ในมหาจักรวาลไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ลูกกัศยป องค์อื่นๆ ยังมีอีก เช่น

พญานาค กับ พระอรุณ เกิดกับนางกัทรุ พญานาคที่เกิดเป็นโอรสนี้ก็รวมไปถึงองค์อนันตนาคราช บรรพบุรุษแห่งสายนาคพันธุ์ทั้งปวง

มารุต (ลมหรือพระพาย) และแทตย์ เกิดกับนางทิติ พระมารุตหรือพระพายที่เป็นบิดาของหนุมานก็เป็นบุตรของพระองค์

ทานพ เกิดกับนางทนุ

ปีศาจ เกิดกับนางโกรธศา

อสุรินทรราหูผู้เป็นใหญ่แห่งอสุรกายภูมิผู้ได้รับขนานนามว่า เป็นบิดาแห่งมาร ก็เป็นบุตรที่เกิดจากพระกัศยปะเทพบิดรกับนางสิงหิกาด้วย

ส่วน ครุฑบุตรของพระกศยปะเทพบิดรที่เกิดกับ นางวินตา เป็นจอมครุฑพญาสุเรนทรชิตที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เป็นครุฑที่ชนะพระอินทร์มีอานุภาพเสมอด้วยพระนารายณ์ เรียกขานกันว่า พญาเวนไตย!!!

**ตามตำนานอุปาติกะกล่าวว่ามีรูปครึ่งนก ครึ่งมนุษย์ กึ่งเทวดา  มีลักษณะ

·       หัว ,  ปีก ,เล็บ  เหมือนนกอินทรีย์

·       ตัวและแขนขาเหมือนคน

·       หน้าขาว  ปีกแดง ตัวเป็นสีทอง

·       พญาครุฑมีชายาชื่อนางอุนนติหรือนางวินายกา  และมีบุตรชื่อ สัมปาติ ซึ่งได้เป็นผู้ชี้ทางให้หนุมานไปลงกา  แต่ในรามเกียรติ์เรียกสัมพาที นิสัยกล้าหาญและเสียสละรักน้องมาก ได้ชื่อว่าเป็นนกแห่งความเสียสละอันเกิดจาก ครั้งหนึ่งเจ้าน้องตัวแสบ-สดายุเห็นพระอาทิตย์ตอนเช้าตรู่สีแดงสดใสคิดว่าเป็นผลไม้สุกจึงโผไปจะจิกกิน ทำให้พระอาทิตย์กำลังทำงานจะออกแสงให้โลกจึงโกรธมาก จึงเปล่งแสงที่ร้อนแรงออก ถ้าโดนสดายุไหม้เป็นจุณแน่ สัมพาทีบินไปกางปีกบังแสงอาทิตย์ไม่ให้เผาน้องชาย จนขนนกสัมพาทีไหม้หมดและพระอินทร์ยังได้สาปนกสัมพาทีให้อยู่แต่ในถ้ำที่เขาเหมติรัน ส่วนน้องตัวแสบกายสีเขียวชื่อสดายุ ออกแนวขี้โมโห ก็คงเป็นตามชาติกำเนิด  เป็นเพื่อนกับท้าวทศรถผู้เป็นพระบิดาของพระราม ไปออกเเรงจนตัวม่อยกระรอกในบทรามเกียรติ

  ในอมรโกศ,ป.รถมมกาณ.ฑ  กล่าวชื่อพญาครุฑไว้มาก  เช่น ครุตมัต (สัตว์มีปีก ) ครุฑ  (ชื่อครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง  ได้มาจากตอนไปขอน้ำอมฤต แล้วได้พรจากฤาษี (ดูตำนานครุฑ)

·          กาศยปิ  และเวนไตย(เหล่ากอกัศยปและนางวิตา ) คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ); ขเคศวร(ผู้เป็นใหญ่แห่งนก); นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค)  วิษณุรถ (ยานของพระนารายณ์)  สุบรรณ ( ผู้มีวรรณะเป็นสีทอง ) สุเรนทรชิต ( ผู้ชนะพระอินทร์ )และยังมีชื่ออื่นๆอีกเป็นอันมาก  โดยสมมุติขึ้น จากฤทธิ์ จากเดชเหตุการณ์ หรือความเป็นอยู่แห่งพญาครุฑ-ครุฑ /กาศยป/ไวนเตยะ/สุวรรณกาย/ปันนคนาสน์/ขเดศวร/สุบรรณ /วิษณุรถ/.นาคานดก/ขนบคาศน์

กลับมาพูดถึงตัวพ่อดีกว่า พญาครุฑเวนไตยนี้  เมื่อเกิดมามีรัศมีช่วงโชติจนพวกเทวดาหลงเข้าใจผิดว่าเป็นพระอัคนี  พญาครุฑมีมหิทธิฤทธิ์มาก จากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งนับได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกครั้งหนึ่งข้ามถึงไกรลาส และสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ความไม่ยอมหย่อนแต้มให้ใครแม้แต่พระวิษณุ  ปรากฏเรื่องตอนที่พญาครุฑลอบเข้าไปลักน้ำอมฤต และนำไปถ่ายความเป็นไทแห่งพระมารดา ที่ต้องตกไปเป็นทาสพระมารดาพญานาค  พอพระวิษณุจับได้ ( บางตำราว่าพระอินทร์เป็นผู้เห็น ได้รบกับพญาครุฑแต่พระอินทร์ไม่ชนะขาด พญาครุฑจึงมีนามว่าสุเรนทรชิต ) รบกันเที่าใดก็ไม่แพ้ชนะกัน  จึงตกลงยอมเป็นมิตรไมตรีต่อกัน โดยมีข้อสัญญาว่าในเวลานั่งปกติพญาครุฑจะนั่งสูงกว่าคือไปจับเยื้องเหนือพระเศียรซะงั้น และพญาครุฑจะต้องเป็น พาหนะ ให้พระวิษณุทรง อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาด แต่พญาครุฑ หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด จนพระอินทร์มียอมรับอานุภาพของพญาครุฑในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นถวายแก่พระ อินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน

ความหมาย เวนไตย อ่านว่า เว นะ ไต แปลว่า ลูกของนางวินตา หมายความว่า ครุฑ ด้วย เป็นพญาวิหค เจ้าแห่งนกทั้งปวงด้วย

เริ่มเรื่องวุ่นวายของสองสายเลือดเดียวกัน(งงมั๊ย) คือที่ผู้แม่นางวินตา ซึ่งเป็น ๑ ในชายาจำนวนมากมายของพระฤษีกัศยป และมีน้องสาวชื่อว่า กัทรุ หรือ สรุสา (ซึ่งก็เป็นชายาด้วยเหมือนกัน)

ทั้งสองพี่น้อง ครั้งหนึ่งคอยดูแลพระฤษีกัศยปเทพบิดร จนเป็นที่พอใจ และได้ให้พรแก่ทั้งสองนาง

ฝ่ายน้องสาวได้ขอพรก่อน โดยขอไว้ว่า ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก พระมุนีฤษีก็ให้พรนั้นแก่ชายาไป

ฝ่ายนางวินตานี่ขอว่าให้ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ

พระเทพบิดรก็ให้พรไป และพูดกลับแก่นางวินตาเหมือนรู้ทันว่า

เจ้าจะได้พรดังขอ แต่เจ้าของพรด้วยจิตริษยาต่อน้องของเจ้า เจ้าได้ผูกเวรขึ้นมาแล้ว และมันจะทำให้เจ้าตกระกำลำบากมากมายจนเลือดตากระเด็น แต่อย่างไรเสีย เจ้าจะพ้นทุกข์เวรนี้ได้เพราะบุตรของเจ้า ผู้เป็นลูกกตัญญู กล่าวจบ พระฤษีกัศยป ก็ขึ้นสวรรค์ไปช่วยพระอินทร์กวนอมฤต

ไม่นานทั้ง ๒ พี่น้อง ก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ฝ่ายนางกัทรุ ได้เป็นไข่ ๑๐๐๐ ฟอง และนางวินตาออกมาเพียง ๒ ฟอง

แต่

เวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี ไข่นางกัทรุแตกออกมาเป็นนาคทั้งหมด บังเกิดความอิจฉาแก่ผู้พี่เสมอ จนทำให้ตบะแตกลงทุน ทุบ ไข่ฟองแรก ปรากฏว่ามีกุมารอยู่ในนั้นคนหนึ่ง แต่มีร่างกายแค่ท่อนบน คือ พระอรุณ//พระอรุณ เห็นแม่ทำดังนั้นก็โกรธมาก สาปแม่ทันทีว่า ดูก่อน แม่ช่างทำแก่ข้าได้ ข้ามีร่างการครึ่งตัวเช่นนี้เพราะความขาดสติแท้ ๆ นับแต่นี้ไป แม่จงตกเป็นทาสของนาง กัทรุและพวงนาคทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์เวลาช้านาน หาความสุขมิได้ แต่ในที่สุดก็สงสาร เพราะความจริงที่ว่านางวินตาก็คือแม่ของตน จึงลดคำสาปลง เหลือ ๕๐๐ ปี ไข่อีกฟองจึงจะแตกออก และเขาจะเป็นผู้ช่วยแม่ออกจากทุกข์นี้เอง กล่าวจบ ก็ลอยขึ้นไปนภาไปเป็นสารภีให้พระอาทิตย์ พระอรุณผู้มีร่างกายใหญ่โต ขนาดมีเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถบังแสงของพระอาทิตยได้ มวลเทวดาก็แสบตาต้องทูลร้องขอ จนท่านลดแสงเป็นสีส้มชมพูอ่อน ๆ (อรุณ หมายถึง  สีแดงดอกกุหลาบ ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผ่ลขึ้นพ้นขอบฟ้าเราจะเห็นแสงสีเงินปรากฏก่อนแล้วจงมีแสงสีทอง . จึ่งเรียกแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าว่า...แสงอรุณ นั้นเอง ไปดูดินสีอรุณที่อิสานได้  (ส่วนเรื่องพระอาทิตย์นี่ก็โดนแม่ทิ้ง เศร้าเหมือนกัน)  (บางตำราว่า แสงอรุณ เป็นเทพสตรี ก็ไปอ่านต่อนะ เพราะกว่าพระอาทิตย์จะออกมา มีทั้งพระอรุณ ม้าพระอาทิตย์ นางอัปสรออกมาก่อนเป็นทิว)

และถึงคราวที่นางวินตาจะกลายเป็นไปตามคำสาปก็มาถึง นางไปพนันกับน้องสาวแพ้ เรื่องสีของขนม้าอุจไรศรพ (ม้านี้ออกมาจากการกวนอมฤต) ว่ามีสีอะไร นางวินตาจำได้ว่าเป็นสีขาวทั้งตัวม้า จึงตอบไปว่าสีขาว

ฝ่ายน้องสาวคิดทางต้องชนะ เพราะผู้แพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย นางจึงให้ลูกนาค แปลงกายไปเป็นเส้นขนหางม้าสีดำ บ้างก็ว่าพ่นพิษดำใส่หาง นางวินตาจึงแพ้ และตกเป็นทาสตามคำสาป

นางวินตาถูกใช้งาน แสนสาหัส หาความสุขมิได้ จนในที่สุด ไข่อีกฟองก็ครบอายุ ๑๐๐๐ ปี และ แตกออก ปรากฏเป็นร่างนกยักษ์แสนสง่า ร่างกายมหึมา สว่างไสวกว่าแสงพระอาทิตย์ ๑๐๐ เท่า ได้บินขึ้นสู่เวหา จนถึงทางโครจรแห่งสูรยาทิตย์ รัศมีอันมหาศาลรุ่งโรจน ว่ากันว่าทำให้ทวยเทพแตกตื่นกันไปเข้าเฝ้าพระอัคนิเทพทราบว่า แสงนี้เป็นแสงรัศมีแห่งบุตรของพระฤษีกัศยปเทพบิดร

ทวยเทพทราบดังนั้นจึงมาขอร้อง ให้มหาวิหคโปรดลงรัศมีลง พญานกก็ยอมทำตาม เมื่อพญาเวนไตย ทราบถึงความเป็นอยู่ของพระมารดา ก็เศร้าใจ คิดหาทางช่วยจนวันหนึ่ง นาง กัทรุอยากเดินทางไปยัง เกาะรามณียกะ ที่กลางสะดือทะเล โดยนางวินตาแบกนาง กัทรุและเวนไตยแบกนาคทั้ง ๑๐๐๐ แล้วแกล้งบินขึ้นฟ้าจนเข้าใกล้สายโคจรของพระเทวาอาทิตย์นาคทั้งหลายพากันสลบไปหมด

นาง กัทรุแม่นาคทั้ง ๑๐๐๐  ก็สวดมนต์อ้อนวอนพระอินทร์ พระอินทร์จึงบัลดาลฝนตกห่าใหญ่ ทำให้นาคทั้งหลายฉุ่มฉ่ำ ฟื้นขึ้นมานี่ พญาเวนไตย จึงผู้ใจเจ็บกับท้าววัชรินทร์เป็นต้นมา

ด้วยความกตัญญูต่อพระมารดา พญาเวนไตยจึงขออิสรภาพกับนางกัทรุโดยแลกกับหม้อน้ำอมฤตของพระอินทร์ ซึ่งพญาเวนไตยต้องเดินทางไปเขาพระสุเมรุ พระนางวินตาได้แนะว่า ลูกต้องอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาล จึ่งเดินทางไปถึงสวรรค์ ลูกจงกินเหล่านิษาท อันเป็นคนเถื่อนที่มีอยู่จำนวนมากมายในป่าเป็นอาหารเถิด


เวนไตยมีใจยินดี กราบอำลาพระมารดา นางวินตาจึงสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมให้พร

ลูกรัก #ผู้มีอำนาจเรืองฤทธิ์เดชแต่อย่าได้ทะนงตน

ลูกต้องเคารพวรรณะพราหมณ์ อันเป็นวรรณะสูงสุด ต้องเคารพยำเกรง ให้เกียรติเหนือตน ตลอดเวลาถ้าเจ้าหลงกลืนพราหมณ์ จักมีอาการแสบร้อนทรมาน จงรีบคายเสีย

บัดนี้ลูกกตัญญูของแม่จักเดินทางออกไปเพื่อช่วยแม่ ขอให้ประสพความสำเร็จทุกประการ พระวายุปกป้องปีกของลูก พระอาทิตย์ และพระจันทร์ปกป้องเบื้องล่างของลูก พระอัคนีปกป้องศีรษะของลูก และ เหล่าทวยเทพวสุปกป้องกายอื่น ๆ ของลูก เจ้าจงรีบไปเถิด แม่จะคอยอยู่ที่นี้

เมื่ออำลา และรับพรแล้ว พญาเวนไตยจึงออกเดินทางโดยระหว่างนั้นก็เสพเหล่านิษาทไปเป็นจำนวนมากและหนึ่งในนั้น ได้เผลอกลืนพราหมณ์ผู้มีภรรยาเป็นนิษาทลงไปเกิดอาการแสบร้อน ทรมาน จึ่งนึกถึงคำของแม่ รีบคายออกมาทั้งพราหมณ์ และภรรยา พร้อมกล่าวขออภัยอย่างนอบน้อมตามดำรัสพระมารดา

พราหมณ์เห็นความอ้อนน้อม และกตัญญูของพญาปักษา ก็เอ็นดูทันที ให้พรอันทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานสมปรารถนา พญาเวนไตยแม้จักกินนิษาทมากแค่ไหนก็ไม่อิ่ม คิดหาเหยื่อใหม่โดยร่อนลงบนเขาเหมกูฏอันเป็นที่ตั้งของพระกัศยปพรหมฤษีผู้เป็นบิดาจึงแนะว่าให้ไปกินพญาเต่า และพญาช้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอสูรด้วยกันทั้งคู่ที่สู้รบไม่รู้แพ้ ชนะ จึงสาปกันและกันเป็นให้เป็นสัตว์เช่นนี้อยู่ที่ทะเลสาบใหญ่ทางทิศเหนือ เมื่อได้รับคำแนะจากบิดา เวนไตยก็รีบไปจับ ใช้ปากจับสัตว์ยักษ์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และโผจับกิ่งไทรใหญ่ กิ่งหนึ่งหวังจะกินอาหารที่ได้มา แต่กิ่งนั้นทานน้ำหนักไม่ไหวจึงหักลง และที่กิ่งไม้นั้นเองมีเหล่าพราหมณ์แคระ พาลขิลยะ มีร่างกายเท่านิ้วมือ ห้อยหัวลงดิน บำเพ็ญเพียรอยู่ จำนวนหลายหมื่อนตน พญาวิหคจึงไม่กล้าทิ้งกิ่งไม้เกรงอันตรายเกิดแก่เหล่าพราหมณ์ แต่หาที่วางเหมาะ ๆ ไม่ได้ จึงต้องกลับมาหาพระบิดาอีก!!! พระเทพบิดรก็ได้เล่าความทั้งหมดที่เกิดแก่เหล่าพราหมณ์แคระ ก็พากันสรรเสริญ และให้พร ว่า มหาปักษิน จากนี้ไปท่านจงมีนามว่า ครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง เป็นผู้สามารถตลอดกาล ใคร ๆ อย่าได้ต้านทานต่อสู้ได้เลย

พญาครุฑเอากิ่งไทรไปทิ้งทะเล และกินเหยื่อที่ริมหาดนั้นเอง แล้วก็รีบบินไปเทวโลกทันที ณ วิมานไวชยันต์ อันเป็นที่เก็บหม้อน้ำอมฤต พระวิศวกรรมออกมาขวาง พร้อม เทพทั้งหลาย รวมทั้งพระอินทร์ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เมื่อเอาหม้ออมฤตออกมาได้ ก็จะโผสู่นภาแผ่ปีกบังแสงอาทิตย์เป็นสง่า จนพระวิษณุรู้ทางว่า ห้ามไม่ได้แน่ จึงบอกทักให้รู้ตัวด้วยการตรัสสรรเสริญ และมอบพรให้พญาครุฑ ซึ่งพญาเวนไตยก็ฉลาดใช่ย่อย น้อมเศียรคารวะ (ก็มาทลายด่านเค้าไปแล้วนี่) และขอพรแลกไป ๒ ข้อ คือได้น้ำไปล่ะ ต่อไปจะขอ(ยอม)เป็นพาหนะของพระองค์ชั่วชีวิต (ทำไม เพราะพระวิษณุ/พระนาราย์นั้นมีพญาอนันตนาคราชเป็นที่ประทับ เมื่อยามจะไปไหนจะบินไปด้วยพญาครุฑ แล้ว ครุฑก็จะจับหลักรอเหนือพระเศียร ทำเป็นรอ ที่แท้ จะยืนเหยียบหัวพญานาคศัตรูเก่านั่นแหละ) และประการ ๒ คือ ขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตเหมือนเทวาทั้งหลาย พระวิษณุก็จุกไปนิดแต่ก็มอบพรให้

ระหว่างทางกลับ พระอินทร์มีความเสียดายจึงตามมาแย่งคืนก็สู้แรงพญานกไม่ได้ แม้เขวี้ยง วัชระ เทพตราวุธประจำกายใส่สนั่นปานสวรรค์แตก ก็ไม่ได้ระคายเคืองพญาครุฑเลยเพราะได้รับพรไปแล้ว

พญาครุฑจึงเห็นว่าการต่อสู้ แม้ทำร้ายพระอินทร์ไปก็ไม่มีอะไรดี ทำอะไรกันไม่ได้ว่างั้น จึงยอมสละขน ๑ เส้น เพื่อแสดงความเคารพ แต่สำทับว่า ต่อไปภายหน้าจะไม่ให้โอกาสแล้ว (พระอินทร์เห็นตอนสะขน ว่า ขนสีทองสว่างรุ่งโรจนก็หลุดร่วงลง เปล่งประกายราวกับมีพระอาทิตย์อีกดวง ท่านก็เบรคล่ะ)

พระอินทร์จึงกล่าวถึงเหตุ และผลของการใช้น้ำอมฤต พญาครุฑตอบว่ายังไงเสียก็ต้องนำหม้อไปเพื่อช่วยมารดา เลยออกอุบายกล่าวเปรยๆว่า หลังจากที่ข้านำหม้ออมฤตนี่ไปให้นาคแล้ว จงเป็นหน้าที่ของท่านต่อไปเถิด พระอินทร์พอรู้แกวจึงแอบตามพญาครุฑไปรอจน พญาเวนไตยนำน้ำอมฤตมาให้เหล่านาคาแล้วได้รับนางวินตา ก่อนนาคจะเข้ารับน้ำอมฤตพญาเวนไตยจอมเจ้าเล่ห์ก็ห้ามไว้ แนะให้ไปชำระกาย และสวดมนต์คายราตรีเสียก่อน จึงค่อยมาดื่ม เหล่านาคเชื่อ  พระอินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้น นำหม้อกลับไปได้ รีบกลับเทวโลกทันที

ขี้โกงอ่ะ

เหล่านาค นาคา ขึ้นมาก็รู้ว่าเสียท่า เหลือแค่ละอองอมฤตเกาะบนยอดหญ้าจึงหลงพากันเลียน้ำค้างธรรมดาบนยอดหญ้าคา คมพิษปาดลิ้นจึงทำให้เผ่าทั้งหลายมีลิ้น ๒ แฉกเป็นต้นมา

หลังจากพญาครุฑพาพระมารดาคืนสู่ตำหนักพระกัศยปเทพบิดร แล้วกลับมาปฏิบัติการจองเวร ไล่จับนาคกินมันเปลว ฉีกคร่าอย่างสำราญใจ แม้นาคทั้งหลายจะหนีไปอยู่สะดือทะเล พญาครุฑก็กระพือปีกแหวกน้ำออกจับนาคขึ้นมาได้อีก พญาวาสุกิเห็นไม่ดีจึงทำสัญญาต่อพญาครุฑว่าจะทำพิธีสังเวยนาคแก่พญาครุฑวันละตัว ณ ลานหินริมฝั่งทะเล เป็นการทำ MOU ว่า ไม่มีพื้นที่ใดอื่นให้จับฉีกเล่นอีก แต่ครุฑก็คือครุฑ

#หากมีเกร็ดกล่าวว่า ในสนธิสัญญานั้น มีพื้นที่บางจุดที่นาคและครุฑสัญจรผ่านกันได้ เป็นเขตปลอดอาหาร หากนอกเหนือเขตนี้ เทวดาก็ไม่สน ผล่ขึ้นมาล่ะก็ครุฑสอยไปกินไม่รู้ด้วย ซึ่งบางพื้นที่มันก็เป็นแบบนั้น ยิ่งนาคน้อยแสนซนชอบขึ้นมาดูมนุษย์จะโดนกันบ่อย ทำให้คดีพี่น้องครุฑนาคไม่มีทางจบสิ้น

ต่อมาทางนาคก็หาทางแก้ การถูกโฉบขึ้นไปสูบเปลวมัน(ครุฑจะกินมันเปลวนาค ส่วนที่ร่างแหลกกันเนี่ย ครุฑเขาเอาสนุกฉีกเล่นบ้าง เขวี้ยงลงมาบ้าง) นาคก็แก้ทางโดยกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนัก เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก (พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางนาคหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกนาคเราไปฆ่าได้)

ฝั่งครุฑนั้นเมื่อพวกตัวเองตายหนักเข้า จะไปฟ้องเทพก็ไม่ได้ เพราะฉีกสนธิสัญญาปรองดองเอง เลยแอบไปถามฤๅษีทุศีล  เมื่อพญาครุฑทราบจากผู้ทุศีล ก็ปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ

#สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลก #ขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา

แล้วครุฑได้กล่าวเป็นคาถาว่า #บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับพึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรีศัตรูคนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ

นาครู้ตัวว่าจะตาย ก็กระอักโลหิตตกลงมายังแผ่นดินกลายเป็นมรกตชนิดหนึ่ง เลือดของนาคที่หยอดลงพื้นกลายเป็นมรกตนาคสวาท น้ำลายครั้งสุดท้าย พระยานาคอันตกลง เป็นครุฑธิการตามชายหาดนั้นเอง

นำมาจากหนังสือเรื่อง ภารตนิยาย

หนังสือ บาดาล

หนังสือ นาคา


เข้าเรื่องนาคราช องค์โต

อนันตเศษ (อะ-นัน-ตะ-เส-สะ) หรือ อนันตนาคราช มีขนาดตัว เป็นอนันต์สมชื่อ เพราะเป็นผู้นอนอยู่ในเกษียรสมุทรและให้พระนารายณ์นอนบนหลัง บางตำนานเล่าว่าดาวนพเคราะห์นั้นก็ตั้งอยู่บนพังพานของอนันตนาคราช ส่วนหัวซึ่งมีตั้งแต่ห้าหัวถึงหนึ่งพันนั้นไม่พ่นพิษเหมือนนาคอื่นๆแต่เป็นเปลวไฟ

พญาอนันตนาคราชทรงเป็นโอรสองค์แรก ใน พระฤษีกัสสยปะ และ นางกัทรุ ทรงเบื่อหน่ายความวุ่นวายของพี่น้องและได้เข้าเฝ้าถวายงานเป็นแท่นบรรทมขององค์พระนารายณ์ โดยมีพระนางอุษาอนันตวดีทรงเป็นแท่นบรรทมให้พระแม่ลักษมี

พญาอนันตนาคราช ทรงมีเดช และ พระบารมีมาก พลังหานาคราชใดเทียบเทียม แม้มีพระมเหสีหลายพระองค์ แต่ทรงมีพระทัยมั่นเทิดทูนในพระนางอุษาอนันตวดี ศรีชายาคู่พระบารมี  โดยทรงมีพระราชโอรส ที่จุติแดนเทพ ไม่ใช่ภูมินาคเพียงพระองค์เดียว คือ พญาเพชรภัทรนาคราช นอกนั้นโอรสธิดา เป็น นาคภูมิจุติ.

ทรงบำเพ็ญ อพรมจริยาวิสัย ในดินแดนพรหมเพื่อบำเพ็ญบารมีพร้อม สำเร็จ อริยบุคคลใน กาลของพระศรีอาริยเมตตรัยพุทธเจ้า ร่วมกับพระชายา พระนางอุษาอนันตวดี

อนันตเศษไม่ได้ร่วมในการพ่นสีดำที่หางม้า ยามเกิดการพนันของบรรดาเสด็จพระทารดาทั้งคู่ โดยทรงไปบำเพ็ญศีลใต้มหาสมุทร เวลาผ่านไปพระพรหมทราบจึงให้ไปนอนในเกษียรสมุทรเป็นที่พระบรรทมให้พระนารายณ์ คำสาปที่ทำให้ครุฑจับนาคกินได้จึงไม่รวมถึงอนันตเศษ

หากแต่ ตำนานอิทธฤทธิ์ที่ปวงเทพไม่กล้าหือเป็นคำรบซ้ำ คือ เมื่อท่านมีการพิพาท ด้วยท่านเป็นเบื้องใต้เพียงตรีมูรติ แต่พระพายท่านรับคำท้า ว่าแล้วพญาอนันตนาคราชก็เอาตัวเองพันรอบภูเขาลูกหนึ่งไว้ บอกว่าให้พระพายลองทำลายภูเขานี้ดู ฝั่งพระพายสร้างพายุรุนแรงเท่าใด้อนันตเศษทรงเพียงขยายองค์ ให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายพระพายดึงเอาลมในตัวสัตว์โลกทั้งมวลมาใช้ แต่ก็ท่านก็แค่กลืนเข้า  ทีนี้สัตว์โลกทั้งหลายก็หายใจไม่ออก ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องมาบอกเตียงหลังโปรดให้คายพระพายออกมา อนัตนาคราชทำตาม ปรากฏว่าตอนที่อนันตนาคราชคายพระพายมานั้นก็บังเกิดเป็นลมรุนแรงพัดไปโดนภูเขาที่พันไว้จนราบเป็นหน้ากลอง ทั้งพระพายและอนันตนาคราชต่างก็นับถือ ในกำลังของกันและกัน เลยตกลงว่าการประลองครั้งนี้เป็นเสมอ บางที่ที่ค้นเจอ ยกบทนาคที่พันเขาพระสุเมรุไว้ตอนกวนเกษียรสมุทรให้อนันตนาคราชด้วย แต่จริงๆแล้วนาคที่รับบทนี้ก็คือพญาวาสุกี

ส่วนเมืองที่อยู่ที่เรียกว่าบาดาลนั้น ตามวิษณุปุราณะและปัทมปุราณะ ว่ามีถึงเจ็ดชั้น เรียงลำดับซ้อนๆกันลงไป คือ

อตล มีผู้ครองชื่อมหามายะ

๒ วิตล ผู้ครองชื่อหาตเกศวร

๓ สุตล ผู้ครองชื่อท้าวพลี

๔ ตลาตล ผู้ครองชื่อมายะ

๕ มหาตล ว่าเป็นที่อยู่ของพวกนาค

๖ รสาตลเป็นที่อยู่ของแทตย์และทานพ

๗ ปาตาล ปาตาลนี้แหละที่เราเรียกกันว่าบาดาล เป็นที่อยู่ของวาสุกินาคราช

ปรากฏตามคัมภีร์ว่า เมืองบาดาลนี้ ในชั้นสูงๆมีความสนุกสนานปานกับเมืองสวรรค์ และก็หาใช่ว่าจะอยู่แต่นาคพวกก็หาไม่ ยังมีพวกแทตย์และทานพ อันเป็นเหล่าของพระกัศยปะกับนางทิติ ได้เป็นผู้ครองอยู่ก็หลายชั้น พวกนาครู้จักอยู่ในชั้น ๕ กับชั้น ๗

ศษะ หรือ อนันตนาคราช เป็นบุตรตนโตผู้อุทิศตนรับใช้พระวิษณุ เป็นพระแท่นบรรทมของพระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญโยคนิทรา ซึ่งรู้จักในชื่อนารายณ์บรรทมสินธุ์

วาสุกิ หรือ วาสุกรี เป็นบุตรคนรองผู้รับใช้พระศิวะ ให้ทรงใช้เป็นสังวาลย์ห้อยพระศอ และเสียสละร่างกายเป็นเชือกกวนเกษียรสมุทรแก่เหล่าเทพและอสูร วาสุกรี จากคัมภีร์ปุราณะ พญาวาสุกรีนาคราช เป็นพี่น้องกับ พญาอนันตนาคราช (พญานาคราชคู่บารมีของพระวิษณุ) มีพระเหสีชื่อ สุนีย์จิณดา พญาวาสุกรีเป็นนาคราชที่พระศิวะใช้เป็นสายธนูในการทำลายล้างเมืองตรีปุระ

เรื่องกวนเกษียรสมุทรยังมีอีกยาว ต้องย้อนเรื่องไปอีก ส่วนที่วาสุกินาคราชทรงเกี่ยวด้วยก็ ช่วงพิธีกวนเกษียรสมุทร (ตอนที่เทวดาวางแผนโกงยักษ์ท่านก็ไม่ได้เกี่ยวด้วยนะ) พระวิษณุได้เสด็จมาเป็นองค์ประธาน เหล่าอสูรได้ถอนภูเขามันทรคีรีมาเพื่อใช้เป็นไม้กวน และอัญเชิญพญาวาสุกรีนาคราชมาพันรอบเขามันทรคีรีเพื่อจะใช้ลำตัวเป็นเชือกในการชักเพื่อกวนเกษียรสมุทรในครั้งนี้ เหล่าเทวดาวางแผนให้อสูรมาทำการชักอยู่ทางส่วนเศียรของพญาวาสุกรี โดยตนเองทำการชักทางส่วนหาง เพราะรู้ว่าเมื่อทำการชักนาคเมื่อไร พญานาคจะต้องเจ็บปวดและพ่นพิษออกมาแน่นอน ช่วงกวนก็เล่นกันเต็มกำลังฟองทะเลตีโครมครืนจนพรายสมุทรขาวดุจน้ำนม ระหว่างพิธีอันยาวนาน มันทรคีรีเริ่มสั่นคลอน พระวิษณุอวตารไปเป็น “เต่า กูรมาวตาร” (ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ จากนารายณ์สิบปาง) เพื่อหนุนภูเขาให้ตั้งตรงดังเดิม ส่วนพญาวาสุกรีก็เหนื่อยล้าและเจ็บปวดจากการที่ถูกเสียดสี จึงได้อ้าปากคายพิษเป็นไฟกรดออกมา ส่งผลให้เหล่าอสูรโดนพิษของพญานาค (ในบางตำรากล่าวว่า ด้วยเหตุนี้อสูรจึงมีหน้าตาตะปุ่มตะป่ำ และมีผิวที่ไหม้เกรียม) ครั้งที่คายพิษอันรุนแรงสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งสามโลกได้ พระศิวะเมื่อทราบ จึงทรงรีบมาอ้าพระโอษฐ์เพื่อดูดกลืนพิษร้ายเข้าไปในพระอุระทันที เป็นเหตุให้พระศอของท่านไหม้เกรียมจนเป็นสีดำดังนิล จากเหตุนี้พระศิวะจึงมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” (อันแปลว่า ผู้มีคอดำ)

วันเวลาผ่านไปเป็นพันปี พิธีกวนเกษียรสมุทรจึงสิ้นสุดลง ซึ่งในพิธีได้มีของวิเศษหลายอย่างเกิดขึ้น ได้แก่

1.   พระจันทร์เสี้ยว (พระศิวะนำไปทัดเป็นปิ่น)

2.                             แก้วเกาสตุภะ (พระวิษณุนำไปเป็นเครื่องประดับพระองค์)

3.                             พระลักษมีเทวี (พระวิษณุนำไปเป็นพระชายา)

4.                             ช้างเผือกเอราวัณ (พระอินทร์นำไปเป็นพาหนะ)

5.                            ม้าขาวอุจไจศรพ (พระอินทร์นำไปเป็นพาหนะ แต่ในบางตำรากล่าวว่าพระอาทิตย์นำไปเป็นพาหนะ)

6.                            ต้นปาริชาติ (เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้ผู้ได้ดมดอกปาริชาติ สามารถระลึกชาติได้)

7.                             โคสุรภี หรือ กามเธนุ (เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ)

8.                             หริธนู (ธนูที่ยิงไปไม่มีวันพลาดเป้า)

9.                            สังข์ (สังข์จึงกลายเป็นสิ่งมงคลในศาสนาพราหมณ์)

10.                        นางอัปสร ๓๕ ล้านตน (อัปสร แปลว่า ผู้แหวกว่าย(กระดิก)ในน้ำ เหล่านางอัปสรที่พบในปราสาทนครวัดนั้นก็มาจากตำนานกวนเกษียรสมุทร)

11.                         นางวารุณี เทวีแห่งสุรา

12.                         พิษร้ายที่ผุดออกมาจากพิธี ซึ่งไม่มีเทพหรืออสูรรับไว้ มีแต่พวกเหล่าอสรพิษเข้ามารับไว้ครอบครอง

13.                         ธันวันตริ ผู้เป็นแพทย์แห่งสวรรค์ ผุดขึ้นมาพร้อมกับหม้อน้ำทิพย์อมฤต

พื้นที่เกี่ยวข้อง นอกจาก ปตาล ฉิมพลี เหมติรัณ หิมวัณฑ์ แล้ว ก็มี สวรรค์ชั้นหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวมากๆ

แล้วก็เป็นสวรรค์ที่รู้จักกันดี ที่จริงก็เพราะเป็น center point เชิงการบริหารของสวรรค์ ที่นี่ชื่อคุ้น *** คือ  สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

เพราะเป็นที่เทวธรรมสภา และ มีอุทยานชื่อหิมวันต์ หรือหิมพานต์ เป็นป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะ คั่นอยู่ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ นัยว่าเดิมทีนั้นสวรรค์กับมนุษย์มีเขตแดนติดต่อกัน เทวดากับมนุษย์ไปมาหาสู่กันได้ ต่อมาพวกมนุษย์มีกิเลสหยาบหนามากขึ้น ไม่อาจสมาคมกับเหล่าเทวดาได้ ดินแดนสวรรค์กับมนุษย์จึงแยกห่างจากกันจนไกลสุดสายตา

     หิมวันต์อุทยานสวรรค์นี่ก็ไปเชื่อมกับเขาสิเนรุหรือเขาพระสุเมรุ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป เป็นที่อยู่อาศัยของเทวดาชั้นกลางหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ยักษ์ คนธรรพ์ นาค ครุฑ นักสิทธิ์วิทยาธร สัตว์ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์นานา เช่น กินนร กินนรี เป็นต้น และยังเป็นสถานที่อยู่ของพวกฤๅษีชีไพร พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วก็จะปลีกตนจากมนุษย์มาอยู่ประจำในป่านี้จนตราบปรินิพพาน.



คืนค่ำ ยามมืด เดือนดับ     สดับ เสียงกลั้น สะท้าน

ไร้คำ รำพัน อนันตกาล      สักการ พระผู้ทรง ไม่หวนคืน





Create Date : 14 ตุลาคม 2561
Last Update : 14 ตุลาคม 2561 17:05:12 น. 0 comments
Counter : 806 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

สมาชิกหมายเลข 4542662
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 4542662's blog to your web]
space
space
space
space
space