ภาพพระราชกรณียกิจ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับนั่งข้างรถยนต์พระที่นั่ง บนสะพานไม้เพื่อตรัสถามถึงความเป็นอยู่ของ ราษฎรในพื้นที่ กับชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งกราบบังคมทูลเรื่องราวต่างๆ อยู่อย่างใกล้ชิดนั้น...
สำหรับผู้ได้พบเห็นต่างชื่นชมในพระบารมี ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ไม่ถือพระองค์ เพราะข้างพระวรกาย มีเพียงชายหนุ่มสวมเพียงเสื้อเก่าๆ และกางเกงขาสั้น ไม่สวมรองเท้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนติดกาย ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์หรือมีตำแหน่งทางสังคมใดๆ
หากสอบถามว่าภาพ พระราชกรณียกิจนี้ เป็นภาพที่เกิดในสถานที่แห่งใดบนแผ่นดินไทย ก็ต้องย้อนกลับไปถึงวันที่ 7 กันยายน 2524 หรือเมื่อ 33 ปีก่อน ซึ่งสะพานแห่งนี้ตั้งอยู่หมู่ 3 บ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ขณะนั้นยังไม่ได้อยู่ในแผนที่ประเทศไทย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินไปถึง
"ลุงพร้อม จินนาบุตร" ผู้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดในวัย 47 ปี ได้ถ่ายทอดไว้ก่อนจะเสียชีวิตในวัย 80 ปี (เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2557) พอสรุปได้ว่า
ขณะที่ชาวบ้าน บ้านเจาะบากง ซึ่งมีพี่น้องไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันมากว่า 140 ปี กำลังทำนาข้าวอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านของตน ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ของตำรวจทางหลวง นำขบวนเสด็จฯ ผ่านเข้ามา
โดยไม่ได้มีการแจ้งหมายกำหนดการให้ประชาชนทราบล่วงหน้า จึงวิ่งออกมาเฝ้ารับเสด็จฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเห็นตน จึงทรงรับสั่งให้รถยนต์พระที่นั่งหยุดแล้วตรัสถามว่า "ที่นี่ที่ไหน"
ลุงพร้อมตอบว่า "หมู่บ้านเจาะบากง" และพระองค์ตรัสว่า "หมู่บ้านดังกล่าวไม่มีในแผนที่ มีแต่บ้านโคกกูโน และบ้านโคกกูยิ" ซึ่งหมู่บ้านทั้งสองแห่งนั้น เป็นหมู่บ้านที่มีเขตติดต่อกับบ้านเจาะบากง
จากนั้นพระองค์ท่านได้ตรัสถามถึงสภาพความเป็นอยู่ในพื้นที่ โอกาสนี้ลุงพร้อมจึงกราบบังคมทูล ขอพระราชทานให้มีการขุดคลองเชื่อมต่อคลอง เจาะบากง เพื่อให้ครัวเรือนในพื้นที่ได้ใช้แหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตร
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จฯ ลงจากรถยนต์พระที่นั่ง แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปที่สะพานไม้ และประทับกับลุงพร้อม เพื่อทอดพระเนตรสภาพพื้นที่บริเวณดังกล่าว ดังที่ปรากฏเป็นภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะประทับ อยู่บนสะพานกับลุงพร้อม
เรื่องราวเหล่านี้ที่เล่าสืบทอดกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอดีต แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทราบว่าภาพประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นในถิ่น ทุรกันดารของ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจนไม่มีปรากฏอยู่ในแผนที่ประเทศไทย ในสมัย 33 ปีที่แล้ว
ซึ่งภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไป แล้ว อีกไม่นานต่อจากนั้น การพัฒนาด้านต่างๆ ก็ตามมา ทั้งการขุดคลองเชื่อมต่อคลองเจาะบากง ตามที่ลุงพร้อมกราบบังคมทูลขอจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โครงการชลประทานมูโนะ ที่เข้ามาดูแลพื้นที่นาและพื้นที่ทางการเกษตรให้กับราษฎรในพื้นที่บ้านเจาะ บากงและพื้นที่โดยรอบของ ต.ปูโยะ ทำให้ครัวเรือนในพื้นที่แห่งนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ มีเจ้าหน้าที่คอยมาดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา นายเจษฎา จิตรัตน์ นายอำเภอสุไหงโก-ลก จึงร่วมกับส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และพลังมวลชนในพื้นที่
จัดทำโครงการ "ย้อนรอยพระราชกรณียกิจ ครั้งหนึ่ง...ณ สะพานบ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก" เพื่อร่วมกันรื้อฟื้นภาพความทรงจำครั้งประวัติศาสตร์ในอดีตให้หวนกลับคืนมา อีกครั้ง
ด้วยการก่อสร้างสะพานไม้ที่มีลักษณะเดียวกันบนสถานที่เดิม ซึ่งสะพานถูกรื้อถอนออกไปนานมากแล้วจากสภาพเก่าทรุดโทรม ด้วยการรวบรวมเงินจากทุกภาคส่วนที่มีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสะพาน แห่งนี้ขึ้นมา โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐแต่อย่างใด
ขณะ ที่นายสะมะแอ เจ๊ะอารง อายุ 68 ปี ช่างผู้ออกแบบและร่วมสร้างสะพานแห่งนั้นในอดีต ได้ตอบรับที่จะกลับมาสร้างสะพานนี้ขึ้นใหม่ ด้วยการนำไม้นากบุดที่นำเข้าจากประเทศมาเลเซียมาจัดสร้าง จะได้ไม่ทำลายทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทย
โดยขนาดของสะพานจะยึดมาตรฐานเดิม คือ กว้าง 4 เมตร ยาว 24 เมตร ส่วนแรงงานทั้งหมด จะเป็นชาวบ้านในพื้นที่เป็นหลัก มีทหารกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาช่วยสร้าง โดยไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้
เพราะทุกคนต่างเต็มใจที่ทุ่มเทแรงกายมาสร้างสะพาน เช่นเดียวกับกลุ่มแม่บ้านของแต่ละหมู่บ้านใน ต.ปูโยะ จะหมุนเวียนจัดทำอาหารมาจัดเลี้ยงผู้ช่วยสร้างสะพานทุกวันจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ด้านนายมูฮัมมัด สาแลแม นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปูโยะ เผยว่า ในพื้นที่หมู่ 3 บ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ มีชาวไทยพุทธ 97 คน 28 ครัวเรือน จากทั้งหมด 1,507 คน 317 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 6.44 จากจำนวนประชากรทั้งหมดที่มีทั้งชาวไทยพุทธและอิสลาม
แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครคิดทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ต่างพื้นที่ พี่น้องไทยพุทธไปร่วมงานบุญของพี่น้องมุสลิม ไม่ต่างกับพี่น้องมุสลิมที่จะมาร่วมงานบุญของพี่น้องไทยพุทธทุกครั้งที่ได้ ทราบข่าว
"ทุกคนต่างรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างเข้มแข็งให้ กับพื้นที่ จนเห็นผลในเชิงประจักษ์ ซึ่งการสร้างสะพานไม้เฉลิมพระเกียรติครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งงานที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านในพื้นที่ และจะเป็นการพิสูจน์พลังความสามัคคีของคนในพื้นที่บ้านเจาะบากง
ให้คนต่างพื้นที่ได้เห็นและนำไปเป็นแบบอย่างว่า การรู้รักสามัคคีตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะสร้างประโยชน์ให้กับหมู่บ้านและชุมชนของตนได้อย่างประเมินค่าไม่ได้
ทั้งนี้ หลังสะพานไม้เฉลิมพระเกียรติแห่งนี้แล้วเสร็จ จะมีการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงการเดินทางโดยเรือกับศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร หรือป่าพรุโต๊ะแดงต่อไป"
นางเอี๊ย ศรีสุข ภรรยาของลุงพร้อม บอกว่า รู้สึกดีใจที่ภาพแห่งความทรงจำที่เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวในอดีตทำให้ มีการสร้างสะพานไม้เจาะบากงขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่พสกนิกรในพื้นที่ มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านได้มีโครงการตามแนวพระราชดำริ เพื่อประโยชน์ของพสกนิกรของพระองค์ในพื้นที่บ้านเจาะบากง ซึ่งถูกสังคมลืมเลือนไปจากความเป็นถิ่นทุรกันดารที่อยู่ห่างไกล
หากลุงพร้อมได้รับทราบถึงพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ คงมีความรู้สึกดีใจไม่ต่างจากตน ซึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีของพระองค์ท่าน และได้มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์สำคัญ ที่จะย้อนรอยไปถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง
"โอกาสนี้ขอเป็นตัวแทนของชาวบ้านบ้านเจาะบากง ที่จะร่วมถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว เพื่อเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยตลอดกาล"