คู่มือมนุษย์ "ไตรลักษณ์" รจนาโดย ท่านพุทธทาส
"เหลืองเรืองรอง ดั่งแสงทองของศาสนา"
คุรุวารสิริสวัสดิ์-โสมนัสจรัสสิริ ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ค่ะ
เรื่อง ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง (ไตรลักษณ์) จากหนังสือคู่มือมนุษย์ รจนาโดย ท่านพุทธทาส
(๙)
แม้จะไม่เคยบวชไม่เคยรับศีล แต่ก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์อย่างแท้จริง เขามีจิตใจอย่างเดียวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คือมีความสอาด สว่าง สงบในใจ เพราะเหตุที่ไม่ยึดถือในสิ่งใด ว่าน่าเอาหรือน่าเป็นนั่นเอง เขาจึงเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์ อย่างง่ายดายและอย่างแท้จริง
ด้วยอาศัยอุบายถูกต้อง ที่พิจารณามองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์และความไม่ใช่ตัวตน ของตัวของตน จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ น่าเอา น่าเป็นสักอย่างเดียว
ความชั่วที่เป็นชั้นทรมานที่สุด ก็มาจากความอยากเอา อยากเป็น ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา ความชั่วที่เบาขึ้นมาก็ทำกันด้วยอำนาจของความรู้สึกที่เบา ด้วยกิเลสตัณหา
ความดีทั้งปวงก็ทำกันด้วยตัณหา ชนิดที่ดี ที่ประณีตละเอียดสูงขึ้นไป เป็นความอยากเอา อยากเป็นในชั้นดี แม้ความดีถึงที่สุดก็ทำด้วยตัณหาที่ประณีตละเอียดที่สุด จนคนไม่ถือว่าเป็นความชั่วเลย
แต่แล้วก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่พ้นทุกข์ถึงที่สุด กล่าวคือพระอรหันต์ จึงเป็นผู้ที่หมดจากการกระทำด้วยอำนาจของตัณหากลายเป็นบุคคลที่ทำชั่วทำดีไม่ได้
ทำได้แต่สิ่งที่เหนือไปกว่าความชั่วและความดี คือมีใจอิสระอยู่เหนือการครอบงำในค่าของความชั่วและความดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย
หลักของพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้ เราจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม แนวของความพ้นทุกข์ย่อมมีอยู่อย่างนี้
วันนี้ยังไม่ปรารถนา วันหน้าก็จะต้องปรารถนา เพราะว่าเมื่อได้ละความชั่วเสร็จแล้ว ความดีก็ได้ทำเต็มเปี่ยม แต่จิตก็ยังหม่นหมอง ด้วยตัณหาชั้นประณีตบางประการอยู่
และก็ไม่รู้จะดับด้วยวิธีใด นอกจากพยายามอยู่เหนืออำนาจตัณหา คืออยู่เหนือการที่จะไปอยากได้ อยากเป็นในสิ่งที่ชั่ว หรือสิ่งที่ดีก็ตาม ต้องไม่มีความอยากโดยสิ้นเชิง จึงจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ (นิพพาน)
สรุปความว่า การรู้ว่า อะไรเป็นอะไรถึงที่สุดนั้น คือรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของตน เมื่อรู้โดยแท้จริงแล้ว ก็จะเกิดความรู้ชนิดที่จิตใจจะไม่อยากเป็นอะไรด้วยความยึดถือ
แต่ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ที่เรียกกันว่า "ความมี-ความเป็น" บ้างก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอำนาจของปัญญา ไม่เกี่ยวข้องด้วยอำนาจของตัณหา เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความทุกข์เลย.
ของกู-ของสู
๐ อันความจริง "ของกู" มิได้มี แต่พอเผลอ "ของกู"มี ขึ้นจนได้ พอหายเผลอ "ของกู" ก็หายไป หมด"ของกู" เสียได้ เป็นเรื่องดี
๐ สหายเอ๋ย จงถอน ซึ่ง"ของกู" และถอนทั้ง "ของสู" อย่างเต็มที่ ของเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ทุกนาที เพราะไม่มี ของใคร ที่ไหนเอย ฯ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
สิริคุรุวารสวัสดิ์-โสมนัสวัฒนปรีดิ์ที่มาอ่านค่ะ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 14:22:00 น. |
Counter : 1154 Pageviews. |
|
|
|