Group Blog
โอ้..ราชดำเนิน ถนนแห่งวีรชน
บันทึกประวัติศาสตร์
ทีวีและวิทยุออนไลน์
เพลงออนไลน์
GuestbooK
แมนซิตี
มีนาคม 2549
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
27 มีนาคม 2549
อารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของสาธารณชน
All Blogs
ขบวนเรือพระราชพิธี
วุฒิการศึกษาแตกต่างกัน ไม่ใช่เครื่องตัดสินว่าใครดีใครเลว
อารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของสาธารณชน
พยานพลิกแจ้งจับ'สุเทพ'จ้าง 1 ล้านกล่าวหา ทรท. (สงสัย ปชป. ต้องยุบพรรคแล้วมั่ง)
ข้อเท็จจริง กรณี เว็บไซต์ Pulo.org และ Manusaya.com
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต จำลอง ศรีเมือง วันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
นายกฯ ล้มเหลวเรื่องนโยบายประชานิยมที่ดึงดูดคะแนนเสียง และมาแตกหักในกรณีขายหุ้นชินคอร์ป จริงหรือไม่
เอาทักษิณเปิดไฟหน้าเวลากลางวัน ไม่เอาทักษิณเปิดไฟหน้าเวลากลางคืน
"ลางานเพื่อชาติ"สิทธิอันชอบธรรมหรือไม่
หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่มีใครโง่กว่าใคร
มันเกลียดขี้หน้ากันมากกว่า
เราก็แค่จิ้งหรีดตัวหนึ่งแค่นั้นเอง
คนที่ตรวจสอบ ก็แค่ชี้และกล่าวหา
ยอมรับในความคิดที่แตกต่างบ้าง
อารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของสาธารณชน
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เสนอผลสำรวจภาคสนาม
เรื่อง
อารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของสาธารณชนต่อ
สถานการณ์การเมืองไทยกับการสั่งย้ายบรรณาธิการข่าวเช้าช่อง 9
กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป
ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ผลสำรวจโดยสรุป
สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน พบว่ามีข่าวสารที่ปรากฏผ่านทางสื่อมวลชนและกำลังอยู่ในความสนใจของประชาชนหลายประเด็นด้วยกัน โดยเฉพาะข่าวสารทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนจึงมักจะเป็นที่จับตามอง ของประชาชนผู้นิยมบริโภคข่าวสารทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายรัฐบาล หรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายรัฐบาล เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการส่งสัญญาณบางอย่างไปยังการนำเสนอข่าวของสื่อ จึงทำให้การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต่างๆ ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่กำลังตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ มักจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นกลาง และถูกมองว่ามีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการวิจัยภาคสนามหาข้อมูลเชิงสถิติศาสตร์เพื่อสำรวจความคิดเห็น ตลอดจนอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนต่อการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ตลอดจนสถานการณ์ปัญหาการเมืองที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี โดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ได้จัดส่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพนักงานเก็บรวบรวมข้อมูลลงพื้นที่ที่ถูกสุ่มได้ตามหลักวิชาการด้านระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจพฤติกรรมการติดตามข่าวสารของประชาชน สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อข่าวการสั่งย้ายบรรณาธิการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ปัญหาการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น สำรวจความคิดเห็น อารมณ์และความรู้สึกของประชาชนที่เกิดจากสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ สำรวจความตั้งใจที่จะไปเลือกตั้งของประชาชนในวันที่ 2 เมษายน 2549 และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการเมืองที่เกี่ยวข้อง นำไปประกอบการพิจารณาเพื่อตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศต่อไป
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรื่อง "อารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของสาธารณชนต่อสถานการณ์การเมืองไทยกับการสั่งย้ายบรรณาธิการข่าวเช้าช่อง 9 : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจในวันที่ 24-25 มีนาคม 2549 ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้ คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากรเป้าหมายจากการทำสำมะโน ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ จำนวน 1,494 ตัวอย่าง ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่าง +/- ร้อยละ 5 โดยมีประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจมีดังนี้
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนเกินกว่า 1 ใน 4 เล็กน้อยทราบข่าวเรื่องการโยกย้ายบรรณาธิการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดในทางลบต่อรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 หลายด้านด้วยกัน เช่น เชื่อว่ารัฐบาลแทรกแซงสื่อมวลชนจริง และคนที่ต้องรับผิดชอบมีอยู่สามส่วนคือผู้บริหารระดับสูงของช่อง 9 รัฐมนตรีกำกับดูแลสื่อมวลชน และรัฐบาล โดยเรียกร้องให้สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ประชาชนที่ติดตามข่าวช่อง 9 และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าตรวจสอบ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประชาชนเปลี่ยนไปดูข่าวของโทรทัศน์ช่องอื่นๆ นั้นได้แก่ ดู ITV เป็นอันดับแรก ตามด้วย ช่อง 3 และช่อง 7
เมื่อสอบถามตัวอย่างถึงความคิดเห็นต่อปัญหาสถานการณ์การเมืองในขณะนี้พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 46.2 ระบุว่าอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 37.0 ระบุยังไม่วิกฤต และร้อยละ 16.8 ไม่ระบุความเห็น จากผลการสำรวจในครั้งนี้พบว่าภายใต้สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ตัวอย่างพบว่าร้อยละ 27.2 ระบุนายกรัฐมนตรีควรลาออก ในขณะที่ร้อยละ 41.6 ระบุไม่ควรลาออก และร้อยละ 31.2 ไม่ระบุความคิดเห็น อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามถึงความรู้สึกต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันในประเด็นต่างๆ พบว่าประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้ได้แก่ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการสนับสนุนให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินในขณะนี้พบว่าร้อยละ 24.0 สนับสนุนอย่างยิ่ง/สนับสนุน ในขณะที่ร้อยละ 50.6 ไม่สนับสนุน/ไม่สนับสนุนเลย และร้อยละ 25.4 ไม่มีความเห็น
ส่วนแนวคิดในการพระราชทานนายกรัฐมนตรีพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 27.2 เห็นด้วยต่อแนวคิดดังกล่าวในขณะที่ร้อยละ 34.3 ระบุไม่เห็นด้วย และร้อยละ 38.5 ระบุไม่มีความเห็น ประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้ได้แก่ กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญต่อปัญหาการเมืองในขณะนี้สูงถึงร้อยละ 97.3 ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจที่ผ่านมา (ร้อยละ 75.3 รู้วิตกกังวล / ร้อยละ 50.8 รู้สึกเครียด ) ส่วนความต้องการของประชาชนที่มากขึ้นเรื่อยๆ คือการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาเจรจากันด้วยสันติวิธี และการเรียกร้องให้ยุติการชุมนุม คิดเป็นร้อยละ 90.5 และร้อยละ 81.3 ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงความขัดแย้งในเรื่องการเมืองกับคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน และคนที่ทำงานพบว่า ส่วนใหญ่ระบุว่าไม่ได้มีความขัดแย้งแต่อย่างใด
เมื่อสอบถามตัวอย่างถึงความตั้งใจจะไปเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่จะมาถึงนี้ตัวอย่างร้อยละ 15.0 ระบุไม่ไปเลือกตั้งแน่นอน ในขณะที่ร้อยละ 41.4 ระบุไปแน่นอน และ ร้อยละ 43.6 ระบุไม่แน่ใจ จากนั้นคณะผู้วิจัยได้สอบถามต่อไปถึงวิธีการลงคะแนน หากไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พบว่าตัวอย่างเกือบครึ่งคือร้อยละ 46.0 ระบุจะเลือกพรรคที่ตั้งใจจะเลือก ในขณะที่มีประมาณ 1 ใน 4 คือ ร้อยละ 25.6 ที่ระบุจะไปเลือกตั้งแต่งดลงคะแนน และร้อยละ 28.4 ระบุยังไม่ได้ตัดสินใจ นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ผ่านพ้นไปพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 33.8 ระบุคิดว่าดีขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 37.8 ระบุเหมือนเดิม และร้อยละ 28.4 ระบุแย่ลง จากนั้นได้สอบถามถึงความคาดหวังของกลุ่มตัวอย่างต่อความคาดหวังต่อการเจรจาด้วยสันติวิธี และความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังคาดหวังน้อยและไม่คาดหวังเลยเลยว่าทุกฝ่ายจะเจรจาด้วยสันติวิธี หรือจะมีความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ โดยคิดเป็นร้อยละ 58.9 และ ร้อยละ 54.8 ตามลำดับ
ประเด็นสุดท้ายที่ค้นพบคือความคิดเห็นของตัวอย่างนายกรัฐมนตรีต่อการยินยอมให้มีการตรวจสอบโดยคณะกรรมการอิสระเรื่องปัญหาในการขายหุ้นชินคอร์ป พบว่าตัวอย่างส่วนใหญ่คือร้อยละ 56.6 เห็นว่านายกรัฐมนตรีควรยอมให้มีการตรวจสอบ ในขณะที่ร้อยละ 8.3 ระบุไม่ควรมีการตรวจสอบ และร้อยละ 35.1 ระบุไม่มีความเห็น "สำหรับประเด็นวิกฤตการเมืองในกระแสอารมณ์ความรู้สึกและความคิดเห็นของประชาชนนั้น ผลสำรวจพบว่า ประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 46.2 คิดว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว แต่เมื่อถามถึงแนวคิดการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แนวคิดนายกรัฐมนตรีพระราชทาน กลับพบว่า แนวคิดทั้งสองเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างเด่นชัดนักเพราะแนวโน้มของประชาชนที่ไม่ต้องการแสดงความเห็นกลับสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ประชาชนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดทั้งสองลดต่ำลง แต่ที่น่าพิจารณาคือสำหรับคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้ว ถ้ามีการเลือกตั้งวันนี้จะไม่มีพรรคใดได้รับคะแนนเกินกว่าร้อยละ 50 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผลสำรวจครั้งนี้ยังค้นพบอีกด้วยว่าคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังไม่แน่ใจว่าจะไปเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 42" ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้อึมครึมมากสร้างความวิตกกังวลและความเครียดกระจายไปยังกลุ่มประชาชนทุกชนชั้นในสังคม เป็นที่น่าสงสารคนไทยในขณะนี้ที่กำลังเผชิญกับสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงแรกๆ ของสถานการณ์ผลสำรวจค่อนข้างจะชี้ให้เห็นว่าเป็นการพัฒนาการของคุณภาพประชาชนคนไทยทั้งประเทศตามระบอบประชาธิปไตยแต่เมื่อสำรวจหลากหลายครั้งกลับพบว่าภายใต้ภาพที่มีความสงบเรียบร้อยกำลังมีความร้อนแรงคุกรุ่นอยู่แบบน่ากลัวมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา "สถานการณ์ในขณะนี้เมื่อเปรียบเทียบกับผลวิจัยหลายครั้งที่ผ่านมา น่าจะกล่าวได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรคือกุญแจสำคัญที่สุดในการแก้ไขและป้องกันสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้ เป็นผู้ที่สามารถบอกกับคนไทยที่รักและศรัทธากระจายอยู่ทั่วประเทศได้ว่าต่อไปนี้พรรคไทยรักไทยคือพรรคที่ยืนเคียงข้างประชาชนระดับรากฐานของสังคมถึงแม้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ จะไปเป็นผู้ผลักดันเบื้องหลังของพรรคแทน เพราะได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนพรรคเพื่อประชาชนมาเหนื่อยมากแล้ว ผลงานทั้งในเชิงนโยบายสาธารณะและภาพลักษณ์ส่วนตัวปรากฏเป็นที่รักใคร่ของประชาชนระดับรากฐานของสังคม ซึ่งผลวิจัยหลายครั้งพบว่า ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ประชาชนก็ยังนิยมศรัทธาต่อพรรคและนโยบายสาธารณของพรรค เช่น นโยบายแก้ปัญหายาเสพติด นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งยังไม่มีพรรคการเมืองใดจะสามารถครองใจคนไทยได้มากเท่า" ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ถ้าจะอยู่ต่อไปสถานการณ์คงไม่ดีขึ้นแน่ และคะแนนนิยมของประชาชนหลังการเลือกตั้งจะไม่สูงเท่ากับการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลก็จะทำงานต่อไปลำบากเพราะการทำงานได้อย่างดีหลังการเลือกตั้งรัฐบาลจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศตัวเลขคะแนนนิยมน่าจะเกินร้อยละ 70 ขึ้นไปเพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลให้สำเร็จภายใต้การร่วมมือจากประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่ประชาชนบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เป็นปรามจารย์ด้านธุรกิจและเคยเป็นอาจารย์สอนวิจัยมาก่อนน่าจะมองดูสถานการณ์ตัวเลขต่างๆ ที่มาจากการสนับสนุนของประชาชนได้อย่างดี "อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณากระแสอารมณ์ความคิดเห็นของสาธารณชนในผลสำรวจหลายครั้งที่ผ่านมาและกระแสข่าวความรู้สึกของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง น่าจะกล่าวได้ว่าถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ รอได้จนถึงวันที่ 2 เมษายน คือรอผลการเลือกตั้งออกมา เชื่อว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ จะตัดสินใจที่สร้างความโล่งใจคลี่คลายความตึงเครียดให้กับประชาชนทั้งประเทศ เพราะวันที่ 2 เมษายนจะทำให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้รับชัยชนะและการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่สนับสนุนทักษิณก็จะได้รับชัยชนะเช่นกัน นั่นคือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณจะชนะใจประชาชนทั้งประเทศด้วยสปิริตของผู้นำประเทศ ไม่แพ้ต่อทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยที่ว่าคนชนบทเลือกรัฐบาลและคนกรุงล้มรัฐบาล เพราะไม่ได้ลาออกจากแรงกดดันของประชาชนคนกรุงเทพฯ แต่ลาออกเพราะยอมรับผลการเลือกตั้ง และนั่นคือความสำเร็จของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สามารถสร้างกระแสทำให้ประชาชนแสดงเจตนารมย์ที่จะไม่สนับสนุน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณกระจายไปทั่วประเทศเช่นกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ตัวแปรต่างๆ ในปัจจุบัน อาจสรุปได้ว่า อีก 7 วันข้างหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความสงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายความมั่นคงคงต้องทำงานหนักอย่างยิ่งควบคุมสถานการณ์ต่อไปให้ได้อีกอย่างน้อย 7 วันเช่นกัน" ดร.นพดล กล่าว
......เอแบคโพลล์รายงาน
เอแบคโพลล์
ข้อมูล จาก thai.man Blog //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thaiman&group=1
Create Date : 27 มีนาคม 2549
4 comments
Last Update : 27 มีนาคม 2549 19:06:16 น.
Counter : 768 Pageviews.
Share
Tweet
ท่านเห็นว่า นรม.ควรจะทำอย่างไร หากพบว่า กฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่ ?
ก. ใช้อำนาจของ นรม. ที่ได้รับมาจากประชาชน ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อแก้ข้อกฏหมายที่มีช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของชาติ
ข. ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ของตนเอง และคนรอบข้าง แล้วอ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
โดย: ScaRECroW IP: 161.200.26.178 27 มีนาคม 2549 21:20:36 น.
โดย:
ประกายดาว
27 มีนาคม 2549 23:42:58 น.
เบื่อการเมืองค่ะ
โดย:
อพันตรี
27 มีนาคม 2549 23:48:30 น.
^
^
^
อาการเหมือนคุณข้างบนค่ะ เหนื่อยใจจัง
โดย: ไม่รักไม่มา ...Naka (
ไม่รักไม่มา ...Naka
) 28 มีนาคม 2549 0:53:33 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Sky
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
ข่าวประชาสัมพันธิ์
สถานีวิทยุ
1
สถานีวิทยุ
2
สถานีวิทยุ
3
สถานีวิทยุ
4
สถานีวิทยุ
5
สถานีวิทยุ
6
สถานีวิทยุ
7
สถานีวิทยุ
8
สถานีวิทยุ
9
สถานีวิทยุ
10
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add Sky's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ก. ใช้อำนาจของ นรม. ที่ได้รับมาจากประชาชน ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อแก้ข้อกฏหมายที่มีช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของชาติ
ข. ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ของตนเอง และคนรอบข้าง แล้วอ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน