ปารีส : โรงแรมเล็ก กับลิฟท์แคบ
ใกล้ถึงทางออกแกร์ดูนอร์

เบื้องหน้าของเราคือกำแพงกระจกผืนใหญ่ มองลอดออกไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นเป็นตึกแถว มีป้ายไฟสีต่าง ๆ ที่เห็นสะดุดตาที่สุดคือป้ายของโรงแรม ibis

"แล้วโรงแรมของเราหล่ะ?"

โรงแรม Kyriad 10 ที่เราจะฝากชีวิตไว้ถึงสองราตรีอยู่ใกล้ ๆ กัน แกร์ดูนอร์มีถนนตัดผ่านด้านหน้าตลอดแนว มีถนนเล็ก ๆ อีกเส้นมาบรรจบเป็นแนวตั้งฉาก หากเดินไปโรงแรมเคียเรตของเรา แบบถูกกฎจราจร ก็จะต้องเดินข้ามถนนที่ตัดผ่านหน้า และข้ามถนนเส้นตั้งฉากไปทางขวามืออีกครั้ง ก็จะถึงหน้าโรงแรมแบบไม่เหนื่อยเท่าไหร่

ทันทีที่เปิดประตู ลมหนาวปะทะเราอย่างจัง ของแท้เป็นอย่างนี้นี่เองปารีส ขนาดผมใส่เสื้อ heat tech ซึ่งเป็นเสื้อยืดแขนยาวอุ่น ๆ ทับด้วยเสื้อขนเป็ด ยังรู้สึกว่าควรมีผ้าพันคอมาช่วยด้วย ส่วนน้องและแม่ที่ไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวข้างใน รีบเดินไปให้ถึงโรงแรงอย่างเร็วที่สุด

ทางเข้าโรงแรมดูเล็กกว่าที่คิด เค้าท์เตอร์ front office อยู่ทางขวามือ ชายวัยผู้ใหญ่ซึ่งไว้หนวด หน้าตาสะอาดสะอ้าน น่าจะเป็นพนักงานฟร้อนท์ของที่นี่ เพราะเห็นพี่แกอยู่คนเดียว มองดูเขากำลังวุ่นกับอะไรสักอย่างบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้สนใจว่ามีเอเชียตาดำ ๆ ยืนอยู่ตรงหน้า น้องผมอาสาจัดการเรื่องเช็คอินห้องพักให้เรา

ผมไม่อยากจะเรียกว่าส่วนนี้คือล็อบบี้ของโรงแรมเท่าไหร่ เพราะมันดูเล็กจัง และคิดว่าน่าจะมีทางเข้าโรงแรมตรงถนนหลักอีกทาง ด้านซ้ายของประตูทางเข้า ตรงข้ามกับฟร้อนท์ เป็นมุมอาหารเช้าเล็ก ๆ(อีกแล้ว)ซึ่งว่างเปล่า เพราะตอนนี้ที่ปารีสก็ราว 18.30 น. แต่ยังไม่มืด และในฤดูใบไม้ผลิแบบนี้กว่าจะมืดก็ราว 20.45 น. นู่นแหละครับ พวกผมจึงวางแผนเที่ยวกันตั้งแต่วันนี้

น้องผมจัดการส่งภาษากับพนักงานคนนั้นจนเสร็จเรียบร้อย เราก็ได้กุญแจห้องมา ห้องของเราอยู่ชั้น 5 และผมหาข้อมูลมาแล้วว่า โรงแรมของเรามีลิฟท์แน่นอน เป็นอันโล่งใจว่า ข้าพเจ้าคงไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดเป็นจับกังไปยังวิมานชั้น 5

"ว่าแต่ ลิฟท์อยู่ตรงไหน"

พนักงานคนเดิมบอกว่า มันอยู่ตรงหน้าพวกมึงนี่ไง ... ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นครับ อันที่จริงเค้าพูดสุภาพเป็นปกติของคนโรงแรมนี่แหละ แต่ทำไมเราถึงไม่สังเกตุว่ามันเป็นลิฟท์ ผมจะเล่าให้ฟังต่อนะครับ


ลิฟท์ของที่นี่น่ารักได้ใจมากครับ ด้านนอกเป็นประตูเปิดเองจ้า เหมือนประตูบ้าน ประตูห้องอะไรอย่างนี้ วิธีการคือดึงประตูออกมา แล้วเข้าไปในลิฟท์ ข้างในเขียนว่า "สำหรับ 3 ท่าน" ก็มีที่ว่างสำหรับ 3 คนจริง ๆ เลยครับพี่น้อง แต่ถ้าเราเข้าลิฟท์กัน 3 คนตอนนี้ สัมภาระก็ต้องกองอยู่หน้าฟร้อนท์นั่นแหละ ผมกับแม่จึงขึ้นลิฟท์ไปก่อนพร้อมสัมภาระส่วนใหญ่ ตามด้วยน้องกับสัมภาระที่เหลือ ลิฟท์เจ้ากรรมที่นอกจากจะแคบ แล้วยังมีประตูสองชั้นอีก ชั้นแรก ที่เมื่อลิฟท์เลื่อนมาหยุดที่ชั้นที่เราอยู่ เราจะต้องเอามือดึงเปิดประตูลิฟท์ แล้วเอาอวัยวะที่ว่างงานง้างประตูชั้นนอกให้เปิดอยู่อย่างนั้น เพราะมันจะปิดเองด้วยโช้คประตูอันใหญ่ด้านบน จากนั้นรีบขนของและกายหยาบเข้าลิฟท์ ประตูชั้นนอกจะถูกปิดเอง จากนั้นกอดกันด้วยความรัก เพราะประตูลิฟท์ด้านในที่เป็นโลหะบานพับสี่ตอน ซึ่งดูราวกับใบมีด จะปิดทับประตูชั้นนอกแบบไม่มีสัญญานเตือน เห้อ ผมว่ามันก็แอบน่ากลัวในระดับนึงครับ

"เราต้องใช้ชีวิตกับเจ้าลิฟท์นี้อีกตั้ง 2 วัน" ถอนหายใจ เบ้ปาก

ความเคยชินกับลิฟท์ที่ประตูเปิดปิดเอง ทำให้เราเผลอคุยเพลินเวลารอลิฟท์ หรือยืนอยู่ในลิฟท์เสมอ ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับโรงแรมที่มีลิฟท์ตัวนี้เพียงตัวเดียว ... ไอ้ตายเถอะ แต่เชื่อไหมว่า ผมยังไม่เคยกดเรียกลิฟท์นี้ แล้วพบว่ามีคนอยู่ในลิฟท์ เดินสวนออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

"แสดงว่าแขกส่วนใหญ่ยอมขึ้นลงบันได้สินะ"

แต่พวกผมคงไม่ไหวหรอกครับ ห้องพักของเราอยู่ตั้งชั้น 5 ห้องที่เราจองเป็นห้องพักสำหรับ 3 คนพอดีครับ ใครไปกันสามคนแล้วพักห้องแบบนี้คุ้มมากเพราะห้องจะใหญ่กว่าห้องสองคนหน่อยนึง แต่ยังไงก็คงใหญ่สู้ห้องพักรีสอร์ทที่บ้านเราไม่ได้หรอก ห้อง 3 คนก็ต้องมี 3 เตียง เป็นเตียงเดียวไม่กว้างนัก วางห่างกันพอเดินได้ ปลายเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือวางยาวติดกำแพงอีกด้าน พร้อมเก้าอี้ไม้สุดแสนจะธรรมดา โต๊ะนั้นถูกจัดแบ่งเพื่อวางกาน้ำร้อนและซองชาและกาแฟ หัวนอนมีเก้าอี้กลม ๆ วางอยู่เหมือนจะให้เป็นโต๊ะหัวเตียง มีขวดน้ำเปล่าพันด้วยกระดาษพิมพ์ตราโรงแรมซึ่งขดตัวเป็นเกลียวได้อย่างน่ารัก บนกำแพงมีทีวีจอแบนขนาดย่อม ที่เราไม่คิดจะสนใจว่ามันเปิดยังไงแขวนอยู่ ห้องก็มีแค่นี้แหละครับ พอเพียง เพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยวฐานะธรรมดาอย่างเรา

อันดับต่อมาที่นักสำรวจโรงแรม ... เอ๊ย นักท่องเที่ยว พึงกระทำคือ การสำรวจห้องน้ำ ว่าเป็นอย่างไร มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ไหม และอุปกรณ์ใช้งานได้หรือเปล่า ซึ่งไอ้เจ้าห้องน้ำก็อยู่บริเวณมุมหนึ่งใกล้ประตูทางเข้า เหมือนกันโรงแรมทั่วไปนี่แหละ มีเครื่องสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า และตู้อาบน้ำ

"ดีจัง ห้องน้ำเล็ก ๆ ก็ยังมีตู้อาบน้ำ แฮะ" ผมคิดในใจ

สุดปลายห้อง คือม่านสีโปร่งสีขาว ปกปิดให้เห็นทิวทัศน์จาง ๆ ของชานชาลาเก่า "แกร์ดูนอร์" ผมเลื่อนม่านจนสุด เปิดหน้าต่าง เพื่อสูดอากาศหนาวของปารีสได้อย่างเต็มปอด ภาพของแกร์ดูนอร์ราวกับโบราณสถานสำคัญ ตัวอาคารชานชาลาสีคล้าย ๆ กับหินสีเหลือง มีลวดลายนูนและรูปปั้นคนประดับเรียงรายบนกำแพงรวมไปถึงหลังคา มีนาฬิกาเข็มบอกเวลาติดอยู่ใต้ซุ้มโค้ง ทำให้บางคงอาจจะเดาได้ว่ามันคือ "สถานีรถไฟ" แทนที่จะเป็นศาลสถิตยุติธรรมอย่างที่ผมคิดว่ามันน่าจะใช่มากกว่า แกร์ดูนอร์ยืนทอดยาวขนาบไปกับถนนเล็ก ๆ เมื่อไล่สายตาไปตามนั้น ก็จะเห็นมีร้านอาหารอยู่หลายร้านอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับโรงแรมของผม และหนึ่งในนั้นคือเพื่อนเก่าของเรา "แมคโดนัลด์"

"ยังไงพวกเราก็รอดตายแล้ว ฮ่า ๆ"

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ก็คือ การกำจัด "บะหมี่ถ้วย" ที่เราอุตส่าห์พกมาจากเมืองไทย เพราะกลัวว่าจะเบื่ออาหารฝรั่งตายไปเสียก่อน

ผมลองดื่มน้ำจากก๊อกของที่นี่ รสชาดดีกว่าบ้านเราเยอะมาก จนคิดว่าพวกเราดื่มมันได้แน่ ๆ แม่จึงจัดการต้มน้ำเทใส่บะหมี่ถ้วยรสต้มยำจัดจ้านให้ผมและน้อง ความสวยงามและคึกคักของแกร์ดูนอร์ ทำให้ผมอดไม่ได้ ที่จะหยิบบะหมี่ถ้วย มายืนกินบนระเบียงแคบ ๆ หน้าห้องเรา ที่มีแค่รั้วเหล็กที่ไม่ค่อยหน้าไว้ใจกั้นเอาไว้

ผู้คนในชุดสีดำราวกับทำงานที่เดียวกัน กำลังเดินวุ่นวาย และสาละวนอยู่กับเรื่องของตัวเอง สถานีรถไฟทุกแห่งก็เป็นแบบนี้ ผมไม่อยากตัดสินว่า "ปารีสเป็นเมืองที่ไม่ค่อยสะอาดนัก" จากบริเวณที่ผมอยู่ เพราะแกร์ดูนอร์เป็นชานชาลาใหญ่เหมือนหัวลำโพงบ้านเรา และพวกคุณคงคิดในใจว่า

"ยังกะหัวลำโพงบ้านเราสะอาดนักนี่"

ใกล้สถานีรถไฟ แล้ววิวก็ยังโอเค ผมคิดว่าเราจองห้องพักได้ดี ถือเป็นการเริ่มต้นทริปที่ดีมาก ๆ อันที่จริงผมอยากจะออกไปเที่ยวตามที่จัดไว้ในแผนการเดินทางเร็ว ๆ แต่ก็อยากให้แม่ได้พักหายใจหายคอบ้าง ก็เลยซัดกาแฟไปอีกหนึ่งแก้ว คนอื่น ๆ เตรียมเครื่องกันหนาว น้ำขวดฟรีจากโรงแรม และโทรศัพท์มือถือสำหรับถ่ายรูปเรียบร้อย พวกเราก็พร้อมที่จะเที่ยวปารีสกันแล้ว



Create Date : 27 เมษายน 2556
Last Update : 29 เมษายน 2556 5:55:50 น.
Counter : 867 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Guynes
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ผู้ชายเซอร์ ๆ ที่รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ชอบดื่มกาแฟและเบียร์ เคยฝันว่าอยากมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง เพราะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือ และจะอ่านแบบไม่กินไม่นอนจนกว่าจะอ่านจบ
เมษายน 2556

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
25
28
29
30