Do you know where you're going to?...... Do you like the things that life is showing you?
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

เรื่องเล่า... สึนามิ



แหลมปะการัง
26 ธ.ค. 2547



คลื่นสึนามิ ทำความพินาศแก่ผู้คนมากมาย ทำลายชีวิต ทำลายทรัพย์สิน ทำลายความฝัน ความหวัง อนาคต ของผู้ที่รอดชีวิต แม้ทุกวันนี้พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือ มีบ้านใหม่ มีชีวิตใหม่ แต่ทุกคนที่ประสบเคราะห์จากเหตุการณ์นั้น ไม่เคยลืมเลือนเหตุร้ายในวันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

แทบทุกคนที่รอดมาได้ ยังคงต่อสู้ชีวิตกันต่อแม้ปราศจากคนที่เขารัก บ้าน-ทรัพย์สินที่เขาเคยมี บางรายถูกเจ้าของที่ (หรือเปล่า???) ถือโอกาสฟ้องร้องขับไล่ออกจากที่ดินที่เคยอยู่อาศัยมานับสิบปี หลายคนต้องเปลี่ยนอาชีพที่ทำมาค่อนชีวิตเพื่อความอยู่รอด หลายคนที่เดินทางไกลมาจากบ้านเกิดพร้อมครอบครัวด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะพบชีวิตที่ดีกว่าเดิม กลับต้องหอบผ้าห่อเถ้ากระดูกของผู้เป็นที่รักกลับไปเพียงเดียวดายด้วยหัวใจสลาย

ใครที่ท้อแท้ สิ้นหวัง คิดว่าตัวเองหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิต ขอให้คิดสักนิดถึงผู้คนเหล่านั้น ผู้คนที่เคยหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิตแล้วอย่างแท้จริง แต่ทุกวันนี้พวกเขายังคงอยู่ ปลุกปลอบให้กำลังใจแก่กัน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในวันพรุ่งนี้


"มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ถูกยอมแพ้ มนุษย์ถูกทำลายได้ แต่ไม่แพ้"
Ernest Hemingway











4 ปี ที่แล้ว.....

คืนวันที่ 25 ธันวาคม 2547
ผมปิดร้านกลับบ้าน แวะจิงเกอเบลที่ร้านประจำหน้าปากซอย เจอน้องชายกับพรรคพวกกำลังเฮฮากันอยู่ เลยแวะแจม (ของฟรี) เจ้าของร้านมาชวนว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะไปดูที่ที่บ้านน้ำเค็มกัน พ่อของน้องเด็กเสิร์ฟในร้านมีที่อยู่ที่นั่น ถ้าที่สวยราคาไม่แพงจะได้หุ้นซื้อไว้เก็งกำไรกัน ผมไปด้วยไม่ได้เพราะต้องเปิดร้าน เลยฝากว่าช่วยเลยไปดูที่เกาะคอเขาด้วย กะว่าปีใหม่จะไปกางเต็นท์กันที่ชายหาดบนเกาะนั้น


วันที่ 26 ธันวาคม
มาเปิดร้านด้วยอาการแฮงค์เล็กน้อยพองาม สักพักใหญ่แม่ค้าน้ำปั่นที่เช่าที่หน้าร้านเดินมาบอก "พี่ ๆ เขาว่าน้ำท่วมป่าตองอ่ะ"
ผมบอกไปว่า "เอ เมื่อคืนฝนก็ไม่ตกนี่หว่า ช่างมันเถอะ อย่ามาท่วมแถวนี้ก็แล้วกัน" ตอนนั้นเวลาฝนตกหนัก ๆ น้ำบนเขาจะไหลลงมาท่วมถนนที่ป่าตองเป็นประจำ

ราวสิบโมงแก่ ๆ พี่ที่เคยทำงานด้วยกันโทรมาให้ช่วยเช็คข่าวหน่อย แกอยู่สุราษฎร์ฯ จะมาภูเก็ต ได้ข่าวว่าน้ำท่วมสะพานสารสิน รถเข้าภูเก็ตไม่ได้ ?????

อะไรกันหว่า เปิดทีวีก็ไม่เห็นมีอะไร พอเปิดวิทยุเท่านั้นแหละ เฮ้ย.. เรื่อง จริงหรือวะเนี่ย จากนั้นข่าวท้องถิ่นก็ประดังเข้ามา จากคนขับตุ๊ก ๆ บ้าง คนขับมอไซค์รับจ้างบ้าง ป่าตองตายเป็นพัน ตอนนั้นยังนึกอยู่ในใจเลยว่า ใส่ไข่ล่ะม้าง อะไรมันจะตายกันมากมายขนาดนั้น ตอนนี้โทรศัพท์มือถือบอดสนิทแล้วครับ หลังจากนั้นข่าวก็เริ่มปะติดปะต่อกันจนรู้เรื่อง อ้าว.. แล้วพวกที่ชวนกันไปบ้านน้ำเค็มเมื่อเช้านี้ล่ะ จะรอดมะเนี่ย

นั่งฟังวิทยุอยู่ในร้านจนสี่โมงเย็น น้องชายโทรศัพท์เข้ามาแต่เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่ายังไม่ตาย ตอนนี้กลับถึงท้ายเหมืองแล้ว เดี๋ยวจะไปที่ร้าน ผมบอกมันไปว่าผมผิดหวังมากที่มันรอดมาได้ เหอ ๆ ๆ





------ ต่อไปนี้เป็นเรื่องของน้องชายผม ------

มันเป็นจังหวะของชีวิต ดวง โชคชะตา หรืออะไรก็ช่างเถอะ เช้านั้นพวกไปน้ำเค็มตื่นกันสาย รถ 2 คัน ไปจอดเติมน้ำมันที่ปั๊มที่ทับละมุ ยังเห็นรถบัสสายภูเก็ต-ระนอง สีฟ้าขาววิ่งผ่านหน้าปั๊มไปเลย ปรากฏว่าปั๊มทับละมุเบนซิน 95 หมด จึงจอดเพียงให้พวกผู้หญิงเข้าห้องน้ำ แล้วออกรถต่อ

ขึ้นเขาหลัก ไม่มีเหตุการณ์อะไรบอกถึงความพินาศที่กำลังเกิดขึ้นข้างหน้า รถผ่านด่านตรวจหน้าอุทยานแห่งชาติเขาหลัก ก็ต้องตกใจเหยียบเบรกกันตัวโก่ง ข้างหน้ามีฝูงคนกำลังวิ่งหน้าตั้งขึ้นมา นำหน้าโดยตำรวจ พลางโบกไม้โบกมือห้ามไป ได้ความว่าข้างหน้าน้ำท่วมหนัก รถผ่านไม่ได้ บ้านช่องพังหมดแล้ว เลยขยับรถไปจอดดูเหตุการณ์ที่จุดชมวิวหลังคาร้านอาหาร ภาพที่เห็นข้างหน้าคือทะเลเขาหลักที่ไม่เคยแห้งชั่วนาตาปี บัดนี้แห้งเหือดออกไปสุดลูกหูลูกตา มีคนนอนตายอยู่นับไม่ถ้วน ชาวบ้านหลายคนกำลังช่วยเก็บศพที่อยู่ใกล้ฝั่ง หลายคนเห็นอยู่ลิบ ๆ กำลังเดินกะปลกกะเปลี้ยกลับเข้ามา คงเป็นพวกที่โดนคลื่นลูกแรกกวาดลงทะเล แต่รอดมาได้

อีกไม่นาน คลื่นลูกที่สองก็มา พวกที่กำลังเดินเข้าฝั่งเริ่มรู้ชะตากรรม ต่างพากันวิ่งหนี แต่ไม่ทันหรอกครับ คลื่นกวาดหายไปหมด ตายกันเห็น ๆ ต่อหน้าต่อตา ทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่

จากนั้นฝรั่งนักท่องเที่ยวที่รอดตายก็ขึ้นมาออบนเขาหลักในสภาพขวัญเสียอย่างหนัก บางคนตัวเปล่าเปลือยจนชาวบ้านต้องถอดเสื้อให้พันกายกันอุจาด หลายคนบาดเจ็บจากหินหรือเศษสิ่งของ รถของน้องผมกับรถของเพื่อนอีกคันต้องวิ่งรับส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลท้ายเหมือง โดยให้สมาชิกในรถรออยู่ที่เขาหลัก วิ่งอยู่สองรอบจนกระทั่งมีรถพยาบาลกับรถมูลนิธิเข้ามา ก็เลยขับกลับภูเก็ต

ช่วงกลับลงจากเขาหลัก ที่เชิงเขาเห็นซากรถหลายคันพังยับเยิน หงายท้องอยู่ในพงหญ้าข้างทางด้วยฤทธิ์คลื่น นั่นถ้าปั๊มน้ำมันมีเบนซิน 95 ก็คงเสียเวลาเติมกันอยู่ทั้ง 2 คัน แล้วก็ได้เจอคลื่นลูกแรกซัดไปนอนปากคาบหญ้าคากันก่อนขึ้นเขาแน่ ๆ ส่วนรถบัสภูเก็ต-ระนองที่วิ่งผ่านหน้าปั๊มไปไม่กี่นาทีก่อน โดนคลื่นกวาดลงขุมน้ำ..... ตายทั้งคัน





เดินทางมาค่อนโลก เพื่อที่จะมาตายที่นี่
ภาพสุดท้ายก่อนโดนคลื่นลูกที่สองกวาดหายไปในทะเล



วันที่ 27 ธันวาคม 2547

ผมมาเปิดร้านตามปกติ พอสายหน่อยเสียงวิทยุประกาศหารถที่จะขนน้ำ+ข้าวกล่องไปเขาหลัก (น่าจะเป็นเพราะรถชุดแรกขนอาหารออกไปเขาหลักแล้วยังไม่กลับมา) ผมเลยปิดร้านชวนน้องขับรถรับรับอาหารที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ แล้วจะไปรับน้ำดื่มที่ศาลากลาง ปรากฏว่าทั่นนายกแม้วมา มีการปิดถนนไม่ให้รถเข้า ผมไม่อยากรอเลยขับไปซื้อเองที่โคกกลอย แล้วขับไปเขาหลัก

ลงจากเขาหลัก ความพินาศอยู่ข้างหน้า เหมือนกับในรูปสงครามที่เคยเห็น แต่นี่เรื่องจริง ศพเรียงรายอยู่สองข้างถนน มาผ้าคลุมบ้าง สังกะสีบ้าง มีเศษไม้ตอกไว้ข้าง ๆ แล้วเอากระป๋องครอบไว้เป็นที่สังเกต บางศพเป็นเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ นุ่งบิกินี่ นอนอยู่ใต้ร่มไม้ข้างถนนเพียงเดียวดาย มีเพียงเศษผ้าปิดหน้าไว้กันอุจาดเท่านั้น เห็นแล้วเศร้าใจ นึกถึงตอนที่พวกเขาจะเดินทางมาพักผ่อนที่เมืองไทย ตอนนั้นคงจะตื่นเต้นกับการได้ไปพักผ่อนในแดนไกล แต่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่านั่นเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิต เดินทางมาสู่ความตายในดินแดนที่ห่างไกลจากเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก










ผมสังเกตว่าอาหาร-น้ำ จะไปกระจุกอยู่ที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว หรือโรงพยาบาล ส่วนในพื้นที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเหลืออยู่ มีเพียงอาสาสมัครจากมูลนิธิต่าง ๆ ทหาร นาวิกโยธิน ทำงานกัน แวะจอดรถสอบถามอาสาสมัครมูลนิธิกลุ่มหนึ่ง ปรากฏว่ายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า เลยไล่แจกอาหารกับน้ำให้ชุดทำงานบนถนนจนหมด ท่าทางพวกเขาดีใจกันมาก

เที่ยวกลับ เพิ่งสังเกตเห็นตำรวจจากหลาย ๆ สภ.อ. จอดรถนั่ง ๆ นอน ๆ กันอยู่ริมถนนหน้าอุทยานฯ เขาหลัก คงจะเป็นเพราะต้นสังกัดส่งมาช่วย แต่พอเห็นสภาพเข้าเลยทำอะไรใม่ถูก หรือว่าช่วยจนเหนื่อยแล้วมานั่งพักก็ไม่รู้




เมื่อเส้นทางเคลียร์
บขส. ภูเก็ต-กรุงเทพฯ สายเก่า เที่ยวแรก
ก็ออกเดินทางผ่านความพินาศเข้ากรุงเทพฯ
The job must go on



ขากลับแวะขอข้าวกล่องกับน้ำทานที่โรงพยาบาลท้ายเหมือง (แจกชาวบ้านจนหมด ตัวเองไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เหอ ๆ ) แล้วรับฝรั่งไปส่งที่ศาลากลางภูเก็ต 2 คน มาจากเดนมาร์กคนนึง ยังหาครอบครัวไม่เจอ อีกคนมาจากเยอรมัน คนนี้ลูกสาวกับภรรยาไปคอยอยู่ที่ภูเก็ตแล้ว

ระหว่างขับรถกลับก็มีเพื่อนโทรศัพท์เข้ามาหาผม รายงานว่าเพื่อนเราตายไป 2 หายไป 1 เพื่อนที่ตายคนนึงกับคนที่หายไป ทำงานอยู่ในพื้นที่ ส่วนอีกคนอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต ก็ดันทะลึ่งนั่งเรือไปตายฉลองวันเกิดตัวเองที่สิมิลัน

จากที่เห็นและรับฟังจากวิทยุ รถส่งอาหาร-น้ำ ไร้สังกัดอย่างผมมีกันมากมาย ออกมาวิ่งรับส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งภูเก็ต พังงา กระบี่ ช่วยกันไปตามมีตามเกิด ไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากราชการทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเปิดปั้มน้ำมันหลังเที่ยงคืน จนการช่วยเหลือใหญ่จากราชการมาถึง ก็สลายตัวกันไปอย่างเงียบ ๆ


29 ธันวาคม 2547
เมื่อวานเปิดร้านหาเงิน 1 วัน ส่วนน้องชายผมยังวิ่งรถส่งน้ำ อาหาร เสื้อผ้าบริจาคอยู่ วันนี้ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่แหลมปะการังที่หายไปว่ายังไม่ตายว้อย แต่จะยังไม่กลับเข้าภูเก็ต จะอยู่กับพรรคพวกที่ทำงานและรอดตายมาด้วยกันก่อน เอ้า.. งั้นไปเขาหลักอีกรอบ คราวนี้ยืมกระบะมีแค็บของเพื่อนไป จะได้ขนของได้มากหน่อย รับน้องสาวไปด้วยอีกคนนึง แปะกระดาษหน้ารถว่า "รถช่วยเหลือผู้ประสบภัย" ก็เข้าได้ทุกที่ ของที่ขนครั้งนี้หนักไปทางเสื้อผ้ากับรองเท้าแตะ

พอลงจากเขาหลัก รถติดครับ มีทั้งรถขนของ ขนโลงศพ ขนศพ แล้วก็เยอะที่สุดก็คือรถที่แห่กันไปดู สองข้างถนนตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นศพ ช่วงไหนที่วิ่งตามท้ายรถขนศพ (รถของมูลนิธิ อัดกันไปในหลังคาแครี่บอยราว ๆ 20 กว่าศพ เปิดฝาท้าย) กลิ่นไม่จืดเลยครับ ปิดกระจกแล้วกลิ่นยังเล็ดลอดเข้ามา คนทำงานกู้ภัยนอกจากพวกเก็บศพและขนย้ายซากปรักหักพังแล้ว อีกหน่วยงานหนึ่งที่น่าชมเชยคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคครับ พวกเขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะปักเสาและเดินสายไฟ กางเต็นท์กิน-นอนกันกลางกลิ่นศพอย่างนั้นแหละ

กว่าจะเจอเพื่อน เอาเสื้อผ้ากับของใช้ให้ ก็ใกล้มืดแล้ว ขับต่อไปจะเข้าบ้านน้ำเค็ม ตำรวจทางหลวงปากทางเข้าบอกว่าถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่อย่าเข้าไปเลย ถนนหนทางบ้านเรือนไม่เหลืออะไรแล้ว ของที่เอามาช่วยให้วางไว้ที่ศาลาปากทางนี่แหละ เดี๋ยวชาวบ้านก็จะมาหยิบกันไปเอง





รีสอร์ทแห่งหนึ่งปลายแหลมปะการัง เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเปิดเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม
เช้าวันที่ 26 ธันวาคม GM ของรีสอร์ทออกมาเดินถ่ายรูปสภาพทั่วไป เพื่อจะส่งไปยังสำนักงานที่กรุงเทพฯ





ฟ้าใส ทะเลสวย




ภาพสุดท้ายแห่งชีวิต
คนงานกลุ่มนี้กำลังตกแต่งสวนอยู่
โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมของเขาถูกขีดไว้แล้ว
ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
เมื่อคลื่นมาถึง คนงานกลุ่มนี้ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว





อีกชั่วโมงเศษ มันมาดั่งมัจจุราช
ฟ้ายังใสอยู่ แต่ทะเลไม่สวยแล้ว





Morning has broken



พักรถกันที่ปากทางบ้านน้ำเค็มสักครู่ใหญ่ ทุ่มเศษจึงออกรถ แล้วตัดสินใจกลับอีกทางนึง ไม่กลับทางเดิม เพราะไม่อยากไปเจอรถติด ยอมอ้อมสักหน่อย เส้นทางผ่านตลาดเก่าตะกั่วป่า แล้วเลี้ยวขวากลับ ถนนเปลี่ยวผ่านป่าเขา แทบไม่มีรถสวนมา บางตอนที่ผ่านชุมชนหรือหมู่บ้าน ทุกแห่งจะต้องมีงานศพที่บ้าน บางบ้านมีถึง 3 ศพ ขับได้ไม่เร็วนัก เพราะรถคันนี้ไฟหน้ารถสว่างกว่าตะเกียงหน่อยเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าของรถมันทนขับมาได้อย่างไร

เลยชุมชนหนึ่งมาได้สักพักใหญ่ เส้นทางยังคงเป็นถนนเปลี่ยว สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ผมได้กลิ่นมาแตะจมูก มันเป็นกลิ่นศพชัด ๆ ตอนแรกนึกว่าอุปทานกลิ่นศพตอนเย็นติดจมูกมา จนกระทั่งน้องสาวที่นั่งอยู่เบาะแค็บโพล่งออกมา "ไอ้พี่คนไหนตดวะ"

ผมหันไปตวาดทันที "ตดบ้าบออะไรของแก กลิ่นศพโว้ย เปิดกระจกเร็ว"

จะว่ากลิ่นจากงานศพบ้านข้างทางก็ไม่ใช่ แถวนั้นมีแต่ป่าทั้งนั้น ขับไปเถียงกันไปว่ากลิ่นมาจากไหน พอกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จางหายไปก็ปิดกระจกกันต่อ ขับไปสักพัก ราว ๆ 15 นาทีเห็นจะได้ กลิ่นสยองมาอีกแล้วครับทั่น คราวนี้ผมกับน้องชายที่นั่งเบาะหน้าไขกระจกลงพร้อม ๆ กัน แล้วนั่งกันเงียบกริบตลอดทาง ผมขับเปิดกระจกไปจนถึงอำเภอท้ายเหมืองตอนเกือบสามทุ่ม แวะร้านข้าวต้มในตลาด สั่งยาธาตุมาย้อมใจกันสองแบน ก่อนขับกลับภูเก็ต

คืนนั้นคงมี "ใครบางคน" ขออาศัยรถผมกลับบ้าน....


----------------------------------------------------------




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2551
4 comments
Last Update : 26 ธันวาคม 2551 14:11:23 น.
Counter : 16012 Pageviews.

 

อ่านแล้วเศร้าไปด้วยเลย

ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น จำได้ว่าครั้งแรกไม่คิดว่ามันจะรุนแรงมาก

เพราะข่าวค่อนข้างสับสน แล้วไม่นึกว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทย

แต่พอรู้ว่าเป็นความจริง...ความรู้สึกแรกคือสงสารชาวต่างชาติขึ้นมาจับใจ

เพราะมีชาวต่างชาติเสียชีวิตมากกว่าคนไทย

จากชีวิตที่เคยเดินทางทำให้รู้สึกว่าถ้าเป็นเราต้องไปมีชะตากรรมแบบนั้นในต่างถิ่น

สูญเสียญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัว คงชอ๊คทำอะไรไม่ถูก หันไปทางไหนก็คนแปลกหน้า แปลกภาษา

ถึงจะรอดชีวิตมาได้ก็คงคิดว่าอยากตายไปพร้อมๆกับคนเหล่านั้น...อ่านแล้วถึงได้เศร้าไปด้วยเลยค่ะ

ขอร่วมไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ 26 ธันวาด้วยคนนะคะ

 

โดย: Suessapple 26 ธันวาคม 2551 23:27:28 น.  

 

ผมว่าคนไทยน่าสงสารกว่าครับ ชาวต่างชาติหลังจากได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี และส่งกลับประเทศแล้ว หากเพื่อนฝูงคนรักตาย คงเสียใจอยู่ไม่นานนัก (ก็หลายปีอยู่) แต่คนไทยในพื้นที่นี่สิครับ ตื่นมาตอนเช้าก็เห็นแต่ถนนเดิม ๆ หาดเดิม ๆ ที่เคยอยู่เคยอาศัยกันอย่างมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งตอนนี้ไม่มีอีกต่อไป

 

โดย: Dearance 27 ธันวาคม 2551 13:55:25 น.  

 

asfsaf

 

โดย: kaka IP: 223.206.154.217 10 ธันวาคม 2555 20:44:54 น.  

 

น่าสงสาร

 

โดย: Hi friend IP: 125.25.33.144 28 ธันวาคม 2557 21:37:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Dearance
Location :
ภูเก็ต Virgin Islands

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Google
Friends' blogs
[Add Dearance's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.