4 ปี ที่แล้ว.....
คืนวันที่ 25 ธันวาคม 2547
ผมปิดร้านกลับบ้าน แวะจิงเกอเบลที่ร้านประจำหน้าปากซอย เจอน้องชายกับพรรคพวกกำลังเฮฮากันอยู่ เลยแวะแจม (ของฟรี) เจ้าของร้านมาชวนว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะไปดูที่ที่บ้านน้ำเค็มกัน พ่อของน้องเด็กเสิร์ฟในร้านมีที่อยู่ที่นั่น ถ้าที่สวยราคาไม่แพงจะได้หุ้นซื้อไว้เก็งกำไรกัน ผมไปด้วยไม่ได้เพราะต้องเปิดร้าน เลยฝากว่าช่วยเลยไปดูที่เกาะคอเขาด้วย กะว่าปีใหม่จะไปกางเต็นท์กันที่ชายหาดบนเกาะนั้น
วันที่ 26 ธันวาคม
มาเปิดร้านด้วยอาการแฮงค์เล็กน้อยพองาม สักพักใหญ่แม่ค้าน้ำปั่นที่เช่าที่หน้าร้านเดินมาบอก "พี่ ๆ เขาว่าน้ำท่วมป่าตองอ่ะ"
ผมบอกไปว่า "เอ เมื่อคืนฝนก็ไม่ตกนี่หว่า ช่างมันเถอะ อย่ามาท่วมแถวนี้ก็แล้วกัน" ตอนนั้นเวลาฝนตกหนัก ๆ น้ำบนเขาจะไหลลงมาท่วมถนนที่ป่าตองเป็นประจำ
ราวสิบโมงแก่ ๆ พี่ที่เคยทำงานด้วยกันโทรมาให้ช่วยเช็คข่าวหน่อย แกอยู่สุราษฎร์ฯ จะมาภูเก็ต ได้ข่าวว่าน้ำท่วมสะพานสารสิน รถเข้าภูเก็ตไม่ได้ ?????
อะไรกันหว่า เปิดทีวีก็ไม่เห็นมีอะไร พอเปิดวิทยุเท่านั้นแหละ เฮ้ย.. เรื่อง จริงหรือวะเนี่ย จากนั้นข่าวท้องถิ่นก็ประดังเข้ามา จากคนขับตุ๊ก ๆ บ้าง คนขับมอไซค์รับจ้างบ้าง ป่าตองตายเป็นพัน ตอนนั้นยังนึกอยู่ในใจเลยว่า ใส่ไข่ล่ะม้าง อะไรมันจะตายกันมากมายขนาดนั้น ตอนนี้โทรศัพท์มือถือบอดสนิทแล้วครับ หลังจากนั้นข่าวก็เริ่มปะติดปะต่อกันจนรู้เรื่อง อ้าว.. แล้วพวกที่ชวนกันไปบ้านน้ำเค็มเมื่อเช้านี้ล่ะ จะรอดมะเนี่ย
นั่งฟังวิทยุอยู่ในร้านจนสี่โมงเย็น น้องชายโทรศัพท์เข้ามาแต่เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่ายังไม่ตาย ตอนนี้กลับถึงท้ายเหมืองแล้ว เดี๋ยวจะไปที่ร้าน ผมบอกมันไปว่าผมผิดหวังมากที่มันรอดมาได้ เหอ ๆ ๆ
------ ต่อไปนี้เป็นเรื่องของน้องชายผม ------
มันเป็นจังหวะของชีวิต ดวง โชคชะตา หรืออะไรก็ช่างเถอะ เช้านั้นพวกไปน้ำเค็มตื่นกันสาย รถ 2 คัน ไปจอดเติมน้ำมันที่ปั๊มที่ทับละมุ ยังเห็นรถบัสสายภูเก็ต-ระนอง สีฟ้าขาววิ่งผ่านหน้าปั๊มไปเลย ปรากฏว่าปั๊มทับละมุเบนซิน 95 หมด จึงจอดเพียงให้พวกผู้หญิงเข้าห้องน้ำ แล้วออกรถต่อ
ขึ้นเขาหลัก ไม่มีเหตุการณ์อะไรบอกถึงความพินาศที่กำลังเกิดขึ้นข้างหน้า รถผ่านด่านตรวจหน้าอุทยานแห่งชาติเขาหลัก ก็ต้องตกใจเหยียบเบรกกันตัวโก่ง ข้างหน้ามีฝูงคนกำลังวิ่งหน้าตั้งขึ้นมา นำหน้าโดยตำรวจ พลางโบกไม้โบกมือห้ามไป ได้ความว่าข้างหน้าน้ำท่วมหนัก รถผ่านไม่ได้ บ้านช่องพังหมดแล้ว เลยขยับรถไปจอดดูเหตุการณ์ที่จุดชมวิวหลังคาร้านอาหาร ภาพที่เห็นข้างหน้าคือทะเลเขาหลักที่ไม่เคยแห้งชั่วนาตาปี บัดนี้แห้งเหือดออกไปสุดลูกหูลูกตา มีคนนอนตายอยู่นับไม่ถ้วน ชาวบ้านหลายคนกำลังช่วยเก็บศพที่อยู่ใกล้ฝั่ง หลายคนเห็นอยู่ลิบ ๆ กำลังเดินกะปลกกะเปลี้ยกลับเข้ามา คงเป็นพวกที่โดนคลื่นลูกแรกกวาดลงทะเล แต่รอดมาได้
อีกไม่นาน คลื่นลูกที่สองก็มา พวกที่กำลังเดินเข้าฝั่งเริ่มรู้ชะตากรรม ต่างพากันวิ่งหนี แต่ไม่ทันหรอกครับ คลื่นกวาดหายไปหมด ตายกันเห็น ๆ ต่อหน้าต่อตา ทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่
จากนั้นฝรั่งนักท่องเที่ยวที่รอดตายก็ขึ้นมาออบนเขาหลักในสภาพขวัญเสียอย่างหนัก บางคนตัวเปล่าเปลือยจนชาวบ้านต้องถอดเสื้อให้พันกายกันอุจาด หลายคนบาดเจ็บจากหินหรือเศษสิ่งของ รถของน้องผมกับรถของเพื่อนอีกคันต้องวิ่งรับส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลท้ายเหมือง โดยให้สมาชิกในรถรออยู่ที่เขาหลัก วิ่งอยู่สองรอบจนกระทั่งมีรถพยาบาลกับรถมูลนิธิเข้ามา ก็เลยขับกลับภูเก็ต
ช่วงกลับลงจากเขาหลัก ที่เชิงเขาเห็นซากรถหลายคันพังยับเยิน หงายท้องอยู่ในพงหญ้าข้างทางด้วยฤทธิ์คลื่น นั่นถ้าปั๊มน้ำมันมีเบนซิน 95 ก็คงเสียเวลาเติมกันอยู่ทั้ง 2 คัน แล้วก็ได้เจอคลื่นลูกแรกซัดไปนอนปากคาบหญ้าคากันก่อนขึ้นเขาแน่ ๆ ส่วนรถบัสภูเก็ต-ระนองที่วิ่งผ่านหน้าปั๊มไปไม่กี่นาทีก่อน โดนคลื่นกวาดลงขุมน้ำ..... ตายทั้งคัน
เดินทางมาค่อนโลก เพื่อที่จะมาตายที่นี่
ภาพสุดท้ายก่อนโดนคลื่นลูกที่สองกวาดหายไปในทะเลวันที่ 27 ธันวาคม 2547
ผมมาเปิดร้านตามปกติ พอสายหน่อยเสียงวิทยุประกาศหารถที่จะขนน้ำ+ข้าวกล่องไปเขาหลัก (น่าจะเป็นเพราะรถชุดแรกขนอาหารออกไปเขาหลักแล้วยังไม่กลับมา) ผมเลยปิดร้านชวนน้องขับรถรับรับอาหารที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ แล้วจะไปรับน้ำดื่มที่ศาลากลาง ปรากฏว่าทั่นนายกแม้วมา มีการปิดถนนไม่ให้รถเข้า ผมไม่อยากรอเลยขับไปซื้อเองที่โคกกลอย แล้วขับไปเขาหลัก
ลงจากเขาหลัก ความพินาศอยู่ข้างหน้า เหมือนกับในรูปสงครามที่เคยเห็น แต่นี่เรื่องจริง ศพเรียงรายอยู่สองข้างถนน มาผ้าคลุมบ้าง สังกะสีบ้าง มีเศษไม้ตอกไว้ข้าง ๆ แล้วเอากระป๋องครอบไว้เป็นที่สังเกต บางศพเป็นเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ นุ่งบิกินี่ นอนอยู่ใต้ร่มไม้ข้างถนนเพียงเดียวดาย มีเพียงเศษผ้าปิดหน้าไว้กันอุจาดเท่านั้น เห็นแล้วเศร้าใจ นึกถึงตอนที่พวกเขาจะเดินทางมาพักผ่อนที่เมืองไทย ตอนนั้นคงจะตื่นเต้นกับการได้ไปพักผ่อนในแดนไกล แต่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่านั่นเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิต เดินทางมาสู่ความตายในดินแดนที่ห่างไกลจากเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก
ผมสังเกตว่าอาหาร-น้ำ จะไปกระจุกอยู่ที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว หรือโรงพยาบาล ส่วนในพื้นที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเหลืออยู่ มีเพียงอาสาสมัครจากมูลนิธิต่าง ๆ ทหาร นาวิกโยธิน ทำงานกัน แวะจอดรถสอบถามอาสาสมัครมูลนิธิกลุ่มหนึ่ง ปรากฏว่ายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า เลยไล่แจกอาหารกับน้ำให้ชุดทำงานบนถนนจนหมด ท่าทางพวกเขาดีใจกันมาก
เที่ยวกลับ เพิ่งสังเกตเห็นตำรวจจากหลาย ๆ สภ.อ. จอดรถนั่ง ๆ นอน ๆ กันอยู่ริมถนนหน้าอุทยานฯ เขาหลัก คงจะเป็นเพราะต้นสังกัดส่งมาช่วย แต่พอเห็นสภาพเข้าเลยทำอะไรใม่ถูก หรือว่าช่วยจนเหนื่อยแล้วมานั่งพักก็ไม่รู้
เมื่อเส้นทางเคลียร์
บขส. ภูเก็ต-กรุงเทพฯ สายเก่า เที่ยวแรก
ก็ออกเดินทางผ่านความพินาศเข้ากรุงเทพฯ
The job must go onขากลับแวะขอข้าวกล่องกับน้ำทานที่โรงพยาบาลท้ายเหมือง (แจกชาวบ้านจนหมด ตัวเองไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เหอ ๆ ) แล้วรับฝรั่งไปส่งที่ศาลากลางภูเก็ต 2 คน มาจากเดนมาร์กคนนึง ยังหาครอบครัวไม่เจอ อีกคนมาจากเยอรมัน คนนี้ลูกสาวกับภรรยาไปคอยอยู่ที่ภูเก็ตแล้ว
ระหว่างขับรถกลับก็มีเพื่อนโทรศัพท์เข้ามาหาผม รายงานว่าเพื่อนเราตายไป 2 หายไป 1 เพื่อนที่ตายคนนึงกับคนที่หายไป ทำงานอยู่ในพื้นที่ ส่วนอีกคนอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต ก็ดันทะลึ่งนั่งเรือไปตายฉลองวันเกิดตัวเองที่สิมิลัน
จากที่เห็นและรับฟังจากวิทยุ รถส่งอาหาร-น้ำ ไร้สังกัดอย่างผมมีกันมากมาย ออกมาวิ่งรับส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งภูเก็ต พังงา กระบี่ ช่วยกันไปตามมีตามเกิด ไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากราชการทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเปิดปั้มน้ำมันหลังเที่ยงคืน จนการช่วยเหลือใหญ่จากราชการมาถึง ก็สลายตัวกันไปอย่างเงียบ ๆ
29 ธันวาคม 2547
เมื่อวานเปิดร้านหาเงิน 1 วัน ส่วนน้องชายผมยังวิ่งรถส่งน้ำ อาหาร เสื้อผ้าบริจาคอยู่ วันนี้ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่แหลมปะการังที่หายไปว่ายังไม่ตายว้อย แต่จะยังไม่กลับเข้าภูเก็ต จะอยู่กับพรรคพวกที่ทำงานและรอดตายมาด้วยกันก่อน เอ้า.. งั้นไปเขาหลักอีกรอบ คราวนี้ยืมกระบะมีแค็บของเพื่อนไป จะได้ขนของได้มากหน่อย รับน้องสาวไปด้วยอีกคนนึง แปะกระดาษหน้ารถว่า "รถช่วยเหลือผู้ประสบภัย" ก็เข้าได้ทุกที่ ของที่ขนครั้งนี้หนักไปทางเสื้อผ้ากับรองเท้าแตะ
พอลงจากเขาหลัก รถติดครับ มีทั้งรถขนของ ขนโลงศพ ขนศพ แล้วก็เยอะที่สุดก็คือรถที่แห่กันไปดู สองข้างถนนตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นศพ ช่วงไหนที่วิ่งตามท้ายรถขนศพ (รถของมูลนิธิ อัดกันไปในหลังคาแครี่บอยราว ๆ 20 กว่าศพ เปิดฝาท้าย) กลิ่นไม่จืดเลยครับ ปิดกระจกแล้วกลิ่นยังเล็ดลอดเข้ามา คนทำงานกู้ภัยนอกจากพวกเก็บศพและขนย้ายซากปรักหักพังแล้ว อีกหน่วยงานหนึ่งที่น่าชมเชยคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคครับ พวกเขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะปักเสาและเดินสายไฟ กางเต็นท์กิน-นอนกันกลางกลิ่นศพอย่างนั้นแหละ
กว่าจะเจอเพื่อน เอาเสื้อผ้ากับของใช้ให้ ก็ใกล้มืดแล้ว ขับต่อไปจะเข้าบ้านน้ำเค็ม ตำรวจทางหลวงปากทางเข้าบอกว่าถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่อย่าเข้าไปเลย ถนนหนทางบ้านเรือนไม่เหลืออะไรแล้ว ของที่เอามาช่วยให้วางไว้ที่ศาลาปากทางนี่แหละ เดี๋ยวชาวบ้านก็จะมาหยิบกันไปเอง
รีสอร์ทแห่งหนึ่งปลายแหลมปะการัง เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเปิดเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม
เช้าวันที่ 26 ธันวาคม GM ของรีสอร์ทออกมาเดินถ่ายรูปสภาพทั่วไป เพื่อจะส่งไปยังสำนักงานที่กรุงเทพฯฟ้าใส ทะเลสวยภาพสุดท้ายแห่งชีวิต
คนงานกลุ่มนี้กำลังตกแต่งสวนอยู่
โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมของเขาถูกขีดไว้แล้ว
ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
เมื่อคลื่นมาถึง คนงานกลุ่มนี้ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียวอีกชั่วโมงเศษ มันมาดั่งมัจจุราช
ฟ้ายังใสอยู่ แต่ทะเลไม่สวยแล้วMorning has brokenพักรถกันที่ปากทางบ้านน้ำเค็มสักครู่ใหญ่ ทุ่มเศษจึงออกรถ แล้วตัดสินใจกลับอีกทางนึง ไม่กลับทางเดิม เพราะไม่อยากไปเจอรถติด ยอมอ้อมสักหน่อย เส้นทางผ่านตลาดเก่าตะกั่วป่า แล้วเลี้ยวขวากลับ ถนนเปลี่ยวผ่านป่าเขา แทบไม่มีรถสวนมา บางตอนที่ผ่านชุมชนหรือหมู่บ้าน ทุกแห่งจะต้องมีงานศพที่บ้าน บางบ้านมีถึง 3 ศพ ขับได้ไม่เร็วนัก เพราะรถคันนี้ไฟหน้ารถสว่างกว่าตะเกียงหน่อยเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าของรถมันทนขับมาได้อย่างไร
เลยชุมชนหนึ่งมาได้สักพักใหญ่ เส้นทางยังคงเป็นถนนเปลี่ยว สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ผมได้กลิ่นมาแตะจมูก มันเป็นกลิ่นศพชัด ๆ ตอนแรกนึกว่าอุปทานกลิ่นศพตอนเย็นติดจมูกมา จนกระทั่งน้องสาวที่นั่งอยู่เบาะแค็บโพล่งออกมา "ไอ้พี่คนไหนตดวะ"
ผมหันไปตวาดทันที "ตดบ้าบออะไรของแก กลิ่นศพโว้ย เปิดกระจกเร็ว"
จะว่ากลิ่นจากงานศพบ้านข้างทางก็ไม่ใช่ แถวนั้นมีแต่ป่าทั้งนั้น ขับไปเถียงกันไปว่ากลิ่นมาจากไหน พอกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จางหายไปก็ปิดกระจกกันต่อ ขับไปสักพัก ราว ๆ 15 นาทีเห็นจะได้ กลิ่นสยองมาอีกแล้วครับทั่น คราวนี้ผมกับน้องชายที่นั่งเบาะหน้าไขกระจกลงพร้อม ๆ กัน แล้วนั่งกันเงียบกริบตลอดทาง ผมขับเปิดกระจกไปจนถึงอำเภอท้ายเหมืองตอนเกือบสามทุ่ม แวะร้านข้าวต้มในตลาด สั่งยาธาตุมาย้อมใจกันสองแบน ก่อนขับกลับภูเก็ต
คืนนั้นคงมี "ใครบางคน" ขออาศัยรถผมกลับบ้าน....
----------------------------------------------------------
Create Date : 26 ธันวาคม 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 26 ธันวาคม 2551 14:11:23 น. |
Counter : 16012 Pageviews. |
|
|
ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น จำได้ว่าครั้งแรกไม่คิดว่ามันจะรุนแรงมาก
เพราะข่าวค่อนข้างสับสน แล้วไม่นึกว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทย
แต่พอรู้ว่าเป็นความจริง...ความรู้สึกแรกคือสงสารชาวต่างชาติขึ้นมาจับใจ
เพราะมีชาวต่างชาติเสียชีวิตมากกว่าคนไทย
จากชีวิตที่เคยเดินทางทำให้รู้สึกว่าถ้าเป็นเราต้องไปมีชะตากรรมแบบนั้นในต่างถิ่น
สูญเสียญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัว คงชอ๊คทำอะไรไม่ถูก หันไปทางไหนก็คนแปลกหน้า แปลกภาษา
ถึงจะรอดชีวิตมาได้ก็คงคิดว่าอยากตายไปพร้อมๆกับคนเหล่านั้น...อ่านแล้วถึงได้เศร้าไปด้วยเลยค่ะ
ขอร่วมไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ 26 ธันวาด้วยคนนะคะ