Group Blog
 
All Blogs
 

เกาะอาถรรพ์

.....ผมมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และสิ่งที่ผมไม่สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และผมอยากจะเตือนผู้อ่าน ที่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ ให้อ่านอย่าง ระมัดระวัง และใช้วิจารณญาณในการอ่าน และจะให้ดี ควรมีผู้ปกครองคอยดูแลเป็นระยะ
.....เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ราวๆ เดือน เมษายน ผม แฟนสาว กับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย “บอย” พนักงานที่บริษัท “น้องบัว” เพื่อนสมัยเรียนมัธยมของอ้อย“น้าศา” น้าสาวของอ้อย และ “ไอ้ทอม” น้องชายของผมเอง พวกเราได้นัดหมายกันไปเที่ยว ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
.....เราตัดสินใจเดินทางไปเกาะที่ห่างไกลผู้คน มันไกลมากไกลจนเกือบจะมีพวกเราเท่านั้นที่ถูกเรียกว่า “คน” เพราะนอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียง“ป้าเจิด” หญิงชรา ท่าทางน่ากลัว ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรม ที่มีเพียงแห่งเดียวบนเกาะนี้ซึ่งกว่าที่เราจะมาถึงที่นี่ได้ มันก็มืดค่ำมากแล้ว แต่มันก็คุ้มกับ บรรยากาศที่สุดแสนจะธรรมชาติ (ผมนึกในใจ) อีกคนเป็นบริกรหนุ่มฉกรรจ์นามว่า “ปาเด” หนุ่มฉกรรจ์ผู้ที่มีรอยสักอย่างโดดเด่นอยู่ที่แขนข้างขวา นี่ถ้าผมมาเที่ยวญี่ปุ่น ผมคงเข้าใจว่าปาเด ต้องเป็น ยากุซา อย่างแน่นอน แต่ผมไม่แน่ใจนักว่า รอยสักที่ปรากฏบนแขนของปาเดนั้นเป็นรูปอะไรเพราะที่นี่มืดมาก ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้คบเพลิงและอาศัยแสงจากเปลวเทียนเท่านั้น แต่มันคงไม่ใช่รูป “ชินจังช้างน้อย” หรอก เพราะมันช่างไม่เข้ากับหน้าตา อันโหดอุ๋ย หยาบคาย และแลดูดุดันของเขาเลย เห็น ปาเด บอกกับใครสักคนในกลุ่มพวกเราว่า มันเป็นรอยสักที่เป็นเครื่องรางติดตัวของเขา
.....คืนแรกที่พักผ่อนอยู่ที่นี่ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ที่นี่สงบเงียบ เป็นธรรมชาติแต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่า มันเงียบมาก เงียบจนผิดสังเกตุ มันเหมือนมีใครสักคนคอยจับตาดูเราอยู่ (ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมก็มาทราบภายหลังว่า เพื่อนๆก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก) รุ่งเช้าพวกเราออกเล่นน้ำทะเลและเดินเล่นรอบๆเกาะ แต่ดูเหมือนดินฟ้าอากาศ จะไม่เป็นใจนัก ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่มันเพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆเท่านั้น พายุโหมกระหน่ำพัดเข้าหาชายฝั่งอย่างบ้าคลั่ง เรากำลังจะกลับแต่เราก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งพวกเราได้พบกับ หญิงวัยกลางคน เดินอยู่ที่ชายหาดท่ามกลางพายุฝนที่ตกกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำไมมีผู้หญิงมาเดินอยู่ที่นี่เธอแต่งตัวดูไม่เหมือนกับคนที่นี่ หน้าตาเธอดูใจดี และมีชาติตระกูลแต่เธอดูเศร้ามากแล้วทำไมเธอต้องมาเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนเช่นนี้ ? ? ?
.....ท้องฟ้ามืดลงทุกทีมืดจนเราไม่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้อีกต่อไป ก็ไหนป้าเจิด กับ ปาเด บอกว่าบนเกาะนี้นอกจากพวกเขา และพวกเราแล้ว ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ไงแล้วผู้หญิงที่เราเห็นเมื่อสักครู่ เธอเป็นใคร ? ? ? พวกเราเริ่มสงสัย กะกันเอาไว้ว่าเดี๋ยวพอกลับถึงโรงแรมจะต้องถามป้าเจิด กับปาเด ให้ได้ความ
.....เรากลับมาถึงโรงแรมอย่างทุลักทุเลเต็มทนพวกเราแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำอาบท่า นัดกันว่า อีก 1 ชั่วโมงเราจะออกมาเจอกันอีกครั้งที่ห้องโถง พอได้เวลาผมกับแฟน ก็ออกมาที่ห้องโถงตามนัดหมาย

“มีใครเห็นป้าเจิดกับ ปาเดบ้างรึเปล่า” ผมรีบถาม เพราะอยากจะถามถึงผู้หญิงที่เจอที่ชายหาด

“ไม่เห็นมีใครเลย ผมเดินดูหลายรอบแล้ว” บอย บอกกับพวกเราอย่างนั้น

“ใช่ครับ ผมก็ไม่เห็น ปาเด อยู่ข้างนอกเหมือนเคย” ทอมพูดเสริมขึ้นมา

.....สิ้นเสียงพูดคุยของพวกเรา ไฟก็ดับลง พวกเราตะโกนด้วยความหวาดกลัว ประตูไม้บานใหญ่ค่อยๆ เปิดขึ้น แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ด ด ด ด ด ด ด เสียงประตู ที่เราไม่ค่อยจะคุ้นหูนักในเมืองหลวงดังขึ้น ร่างของหญิงผมยาว โผล่ขึ้นต่อหน้าพวกเราเธอค่อยๆ เดินก้าวเข้ามา ทีละน้อย พายุยังโหมกระหน่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง แสงจากสายฟ้า สว่างและมืด เป็นจังหวะ เงาของหญิงที่กำลังเดินเข้ามา ช่างดูน่ากลัวเสียนี่กระไร เธอเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเรา เปลวเทียนสว่างขึ้นอีกครั้งและเราก็ได้เห็นเธออย่างเต็มตา ป้าเจิด ! ! ! พวกเราเรียกพร้อมกัน เรารู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก เมื่อได้เห็นป้าเจิด และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมรีบถามป้าเจิด ถึงผู้หญิงที่ได้พบที่ชายหาดเมื่อบ่าย ป้าเจิด หน้าตาตกใจทันทีที่ได้ยินคำถาม ดูเหมือนเธอจะไม่อยากที่จะให้คำตอบนี้กับพวกเรานัก

“อย่าไปสนใจมันเลยพ่อหนุ่ม เรื่องมันนานมาแล้ว เชื่อป้าสิ” ดูเธอหวาดกลัวที่จะค้องตอบคำถามนี้เหลือเกิน

“นะครับ ป้าครับ ผมอยากรู้จริงๆ ก็ไหนป้า บอกว่าที่นี่ไม่มีคนอื่นไง”

“ก็ใครบอกล่ะ ว่าผู้หญิงที่เธอเห็นเป็นคน ว่าแต่พวกเธอยังอยากฟังเรื่องต่อไปอีกไหมล่ะ”

“เอาสิครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”

.....จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มันก็ครบรอบ สามสิบปี พอดิบพอดี นี่ถ้าพวกคุณไม่ถามถึง ป้าก็คงลืมมันไปแล้วเหมือนกันมันนานมาก ป้าอยากลืม และไม่อยากนึกถึงมันอีก แต่ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ป้าก็จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเราฟัง
.....ในค่ำคืนใดก็ตาม ณ โรงแรมแห่งนี้ หากใครได้จุดเทียนอยู่ที่หน้ากระจก และผิวปากไปพร้อมๆกัน แล้วล่ะก็ ...................ป้าเจิดเงียบไป ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง แววตาเธอดูช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร

“จุดเทียน ผิวปาก แล้วมันจะเป็นอะไรครับป้า” ทอมทนอดใจไม่ไหว จึงเอ่ยปากถาม

ป้าเจิดหันมายิ้มพร้อมกับคำตอบ“เทียนก็จะดับสิว่ะ”

.....ผมสะกิดป้าเจิดเบาๆ ด้วยปลายเท้าโทษฐานเป็น หญิงชราที่มีมุขเยอะที่สุดในปฐพี ฝ่ายป้าเจิดก็รับมุข ด้วยการกระเด็นไปติดข้างฝาอีกด้านของห้องอย่างได้อารมณ์

“เอาล่ะ ๆ เมื่อกี้ป้าล้อเล่น และจากนี้ไปเป็นเรื่องที่ป้าจะเล่า เรื่องจริงให้พวกเราได้ฟังเสียที”

.....ทุกคนเริ่มตั้งใจฟังอีกครั้ง คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด พายุเข้า และฝนก็โหมกระหน่ำเหมือนในค่ำคืนนี้ไม่มีผิด ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาที่นี่ ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน รู้สึกว่าจะยังไม่ถึงสองเดือนดีนัก ทั้งคู่มาพักอยู่ที่นี่ 5 คืน และคืนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง ก็ได้เกิดขึ้นในคืนวันสุดท้ายของทั้งสองที่จะพักอยู่บนเกาะแห่งนี้ พวกเขาไม่ได้มาเที่ยว แต่มาเพื่อหาสิ่งของบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ได้ว่ามันคืออะไร(ตราบจนทุกวันนี้) คืนสุดท้ายฝ่ายชายหนุ่ม ก็ออกไปข้างนอกเพื่อหาของบางอย่างเหมือนเช่นเคย เขารู้ดีว่า เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีก หากเขาไม่สามารถหามันพบเขาเดินหาอยู่นาน ฝนยังตกหนักเช่นเดิม . . .
.....เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับมาที่โรงแรม ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่คิดที่จะกลับบ้านหากไม่ได้พบกับสามีของเธออีกครั้ง เธอเฝ้ารอสามีอันเป็นที่รักอยู่ที่นี่รอนานมาก มันเป็นวันครบรอบ 1 ปีของการจากไปของสามี เธอตัดสินใจออกมาตามหาเขา เหมือนที่เขาได้ออกตามหาบางสิ่งบางอย่าง
.....เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน หญิงสาวก็ไม่ได้กลับมาที่โรงแรมอีกเลย และทุกวันที่มีพายุฝนกระหน่ำ ใครสักคนบนเกาะแห่งนี้ ก็จะได้เห็น หญิงสาวหน้าตาดี ออกเดินตามหาอะไรบางอย่างท่ามกลางพายุฝน และมันก็เป็นอย่างนี้ตลอดมา แต่ก่อนที่เธอจะออกไปตามหาสามี เธอได้เขียนจดหมายเลือดเอาไว้หนึ่งฉบับ เธอคงรู้ดีว่า เธออาจจะไม่ได้กลับมาที่โรงแรมนี้อีก เธอใช้มีดกรีดที่ข้อมือ เลือดสีแดงสดไหลยาวเป็นทาง เธอเอานิ้วมือที่เปื้อนเลือดขีดเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษ และป้าก็เก็บมันมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วป้าเจิดก็เดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ดูเก่าเหลือเกิน มันมีคราบเลือดอยู่จริงๆ ด้วย ไม่มีใครกล้าที่จะหยิบอ่าน
.....ทุกคนในขณะนี้เริ่มรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องราวที่ได้รับฟังทันใดนั้น ไฟจากเปลวเทียนก็ดับลงอีกครั้ง หลายคนหวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว ยังไม่ทันที่เสียงหวีดร้องจะเงียบสนิทดี เปลวเทียนถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แต่มันกลับถูกจุดขึ้นมา พร้อมกับกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าในกระจกบานใหญ่นั้น มีใบหน้าของ หญิงชราผู้หนึ่ง ผู้ที่พวกเรารู้จักกันดีเธอคือ “ป้าเจิด”เจ้าของโรงแรมแห่งนี้

“ปะ ปะ ป ป้า า . . .” ยังไม่ทันที่เราจะเรียกสติกลับคืนมา

.....ในเงากระจก ภาพของป้าเจิดก็ค่อยๆ หันหลังให้พวกเราเธอค่อยๆ เดินจากไป และก่อนที่จะลับตาเธอหันกลับมาหาเราอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ภาพที่เราได้เห็น ไม่ใช่ป้าเจิด มันเป็นภาพของผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงคนที่ผมจำได้ว่า เธอคือคนคนเดียวกับที่เราได้พบเมื่อกลางวัน เธอยิ้มให้กับพวกเรา ก่อนที่ภาพของเธอ จะจางหายไปในกระจกเงาบานใหญ่ที่อยู่ต่อหน้า ผมแข็งใจหยิบกระดาษที่มีคราบเลือดเปิดอ่าน หวังว่าเธออาจจะต้องการบอกอะไร กับเราบางอย่าง เธออาจจะบอกถึง สาเหตุของการตายของเธอ กับแฟนหนุ่ม หรือ ไม่ก็อาจจจะต้องการให้เราทำอะไรบางอย่างให้เธอ. .
.....ขณะนี้ กระดาษเปื้อนคราบเลือด อยู่ในมือของผมเปลวไฟของแสงเทียน สลับกับแสงจากฟากฟ้า สว่างพอที่จะให้เราสามารถที่จะอ่านข้อความในกระดาษเปื้อนรอยเลือดนี้ได้ว่า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"กรูนึกแล้วว่ามรึงต้องอ่าน"

ได้จาก FWD Mail ครับ




 

Create Date : 18 มกราคม 2548    
Last Update : 18 มกราคม 2548 11:22:53 น.
Counter : 343 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Khun_ไร้ใจ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Khun_ไร้ใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.