วัดวิชุนราช พระธาตุหมากโม หลวงพระบาง
วัดวิชุน
    วัดวิชุนสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ1503 ตามคำบัญชาของเจ้าวิชุนราช ซึ่งได้ตั้งชื่อตามพระนามของท่านนั่นเอง
จากหลักฐานบางตอนของพงศาวดารลาวได้กล่าวว่า วัดวิชุนสร้างเสร็จในคศ.1504 หลังจากนั้นก็ได้อัญเชิญ
"พระบาง"มาประดิษฐานไว้ที่วัดวิชุนแห่งนี้นี่เองวัดวิชุน มีเจดีย์ที่สำคัญอยู่ก็คือ เจดีย์พระประทุมหรือพระธาตุดอกบัวใหญ่
 มีลักษณะงดงามกว่าใครในสมัยนั้น ต่อมาเนื่องมาจากพระธาตุมีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่ง จึงได้ชื่อว่า พระธาตุหมากโม ตั้งแต่ในอดีต
   พระเจดีย์พระประทุมหรือพระธาตุหมากโมองค์นี้ ในสมัยที่โจรฮ่อได้เข้ามาปล้นสดมป์ขุดค้นสมบัติ  ได้ทรุดโทรมลงอย่างมาก
ถึงปีคส.1895 ในสมัยปกครองของเจ้าชีวิตสักรินทน์ ได้ทรงทำนุบำรุงวัดวิชุนขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งถึงคศ.1914 พนะธาตุเกิดถล่มลง
อีดครั้งในบางส่วน ก็ได้ซ่อมแซมอีกครั้ง
 ในการซ่อมแซมครั้งนี้มีการค้นพบวัตถุโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุเจดีย์จำลองที่สร้างด้วยทองคำ พระพุทธรูปทอง
ของมีค่าเช่นเงิน ทอง และอื่นๆอีกมากมายที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก สิ่งของที่ค้นพบส่วนใหญ่จะเป็นศิลปกรรมสมัย
ศตวรรตที่15 และ16 ปัจจุบันได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่หอพิพิธพัณฑ์หลวงพระบาง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าชมสืบไป
 วัดวิชุนปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม เพื่อเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกชาติ ทุกวัย นิยนเข้ามากราบไหว้
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้ว ที่น่าสนใจก็คือ พระพุทธรูปองค์ประธานองค์ใหญ่ สร้างจากส่วนประกอบคล้ายปูนซีเมนต์ซึ่งในสมัยโบราณ
ยังไม่มีปูนซีเมนต์ จึงได้ก่อขึ้นด้วยโครงเหล็ก ส่วนตัวพระก็นำเอาหนังควาย  มาขึ้นรูปเป็นพระพุทธรูป จนถึงปัจจุบัน
 ในอาณาบริเวณด้านซ้ายมือของโบสถ์ จะมีบริเวณที่จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ของปู่เยอ ย่าเยอ ที่เป็นผู้เฒ่าในตำนานของชาวลาว
ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก





Create Date : 17 พฤษภาคม 2557
Last Update : 17 พฤษภาคม 2557 11:02:03 น.
Counter : 788 Pageviews.

0 comment
ออกพรรษา2556เชิญร่วมชม บั้งไฟพระยานาค ที่เมืองปากซัน ลาว 2 วัน 1 คืน

ບັ້ງໄຟພະຍານາກ ๒๕๕๖

  ทริปนี้ ทีมงานชนาธิป ทราเวล ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองว่า ลูกไฟ ที่ขึ้นจากแม่น้ำโขง นั้นมันคืออะไร ปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือว่า ชาวลาวยิงปืน  ปีนี้ขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ตรงกันกับวันที่ 19 ตุลาคม 2556 ครับ เป็นโอกาศที่มาก ที่ปีนี้ตรงกันกับ เสารฺ อาทิตย์ ซึ่งหาได้ยากมากในการที่จะมีโอกาศมาชมปรากฎการณ์ครั้งนี้โดยไม่ต้องลางานครับ 

  ทริปนี้เหมาะสำหรับท่านที่ัยังไม่เคยเห็น "บั้งไฟพระยานาค" ของจริงครับ ฟังแต่เขาเล่าว่า แต่ก็ยังไม่เคยเห็นของจริงซักที  ทางทีมงานขอเชิญท่านร่วมชมปรากฎการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นแค่ปีละครั้งเดียว ทางเราเป็นมืออาชีพครับ ปีนี้ดูที่ "วัดพระบาทโพนสัน" เมืองปากซัน สปป.ลาวครับ ที่วัดนี้เป็นจุดที่มีบั้งไฟขึ้นมากจริงๆ ปีกลายก็ขึนนับร้อยๆลูก ใช้เวลาไม่นานก็เต็มอิ่มกับประสบการณ์อันยากจะลืมเลือน ถือว่าเป็นประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ครับ

               สอบถามเพิ่มเติมที่ 0866394853 0874294791 0800762509 ตึ๋งครับ

วันที่ 19 ตุลาคม 2556

  08.00 น. ต้อนรับทุกท่านที่จุดนัดพบครับ เดินทางสู่ด่านมิตรภาพไทยลาว รอทีมงานเตรียมเอกสารตรวจคนเข้าเมืองไม่นานก็พาคณะเดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเเห่งที่หนึ่ง เดินทางสู่สปป.ลาว

                 สะบายดีเมืองลาว รับการต้อนรับจากมัคคุเทศก์ชาวลาวในชุดผ้าซิ่นไหมอันสวยงามตามแบบฉบับสาวลาว ซึ่งเป็นชุดประจำชาติ ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง

       เดินทางสู่ วัดเชียงควน

             ซึ่งหลวงปู่เหลือ สุลีลัด ได้สร้างขึ้นจากศรัทราของชาวลาวที่ร่วมบริจาดเงิน ทอง ข้าวสาร หรือแม้แต่แรงงาน ทำให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมอันอะลังการณ์ แทบไม่เชื่อว่าแค่ ศรัทราจากคนๆเดียว จะสามารถรวมให้เกิด วัดเชียงควน แห่งนี้ขึ้นมาได้

images by free.in.th images by free.in.th

     เดินทางมุ่งสู่เส้นทางหมายเลข 13 ใต้ มุ่งหน้าสู่ เมืองแห่งเเม่น้ำสองสี ฉายากุหลาบปากซัน ร่วมเชียร์ประเพณีแข่งเรือยาวอันยิ่งใหญ่ของชาวปากซัน

รับประทานอาหารประเภทปลาน้ำโขง(1)ที่ร้านอาหารวิวแม่น้ำโขง เดินชมงานตามอัชยาสัย

   17.00 น.  รับประทานอาหารเย็น(2)ที่ปากซัน

          เดินทางสู่บ้านโพนสัน ชมงานบุญออกพรรษาของชาวบ้าน ร่วมรำวงงานวัดกับดนตรีพื้นเมือง ของชาวบ้าน ใครยังไม่กล้ากล้าก็ย้อมใจด้วยเบียร์ลาวเย็นๆก็ตามอัชยาสัยครับ

  19.00 น. พิสูจน์ปรากฎการณ์ที่ท่านเคยได้ยินบอกเล่าต่อๆกันด้วยตัวเอง เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกไปสีแดงอมชมพูที่พุ่งสู่ท้องฟ้า หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามันคืออะไร บั้งไฟผี ลูกก๊าซ ชาวลาวยิงปืน หรือ บั้งไฟพระยานาคพร้อมรับประทานอาหารว่าง

   เดินทางกลับเวียงจัน พักผ่อนที่โรงแรมตามอัชญาสัย ใครต้องการท่องราตรีเมืองลาว รำวงสไตด์ลาวกับจังหวะบัดสะลบแจ้งไก๊ดได้ครับ  ราตีสุกสัน(ราตรีสวัสดิ)

    07.00 น. รับประทานอาหารเช้า(3)

images by free.in.th images by free.in.th images by free.in.th

  08.00 น. เช็คเอาท์จากโรงแรม

ร่วมสักการะพระธาตุหลวง

      ปูชนีย์วัตถุอันสำคัญอย่างยิ่งในประเทศลาวนี้ จากหนังสืออุรังคธาตุ(อุรังคนิทาน)ได้กล่าวถึงพระธาตุหลวงว่า ได้สร้างขึ้นในสมัยเดียวกันกับสร้างเมือง เวียงจัน ครั้งแรกหลังจากสร้างพระธาตุพนมเสร็จ ผู้ที่ทรงสร้างครั้งแรกคือ
          พระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ เจ้าเมืองเวียงจัน คนแรก พร้อมกับพระอรหันต์ 5 พระองค์
ซึงปรากฎอยู่ในหนังสืออุรังคนิทานว่า"หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปริพนิพานแล้วราว 8 ปี พระมหากัสะปเถระ ได้นำพระอุรังคธาตุ(กระดูกหน้าอก)มาประดิษฐานไว้ที่ ภูกำพร้าหรือ ดอยกะปะณตีรี (พระธาตุพนม ปัจจุบัน) ในตอนแรกที่ภูกำพร้าประกอบด้วยกษัตริย์ 5 พระองค์ได้แก่
                            พระยาสุวันพิงคาน เจ้าเมืองหนองหารหลวง
                            พระยาคำแดง เจ้าเมือง หนองหารน้อย
                            พระยานันทเสน เจ้าเมืองมรุขะนครหรือเมือง ท่าแขก
                            พระยาอินธปัตธะนคร เจ้าเมืองอินธะปัต ประเทศเขมร
  พระยาจุลมณีพรมทัตร เจ้าเมืองแกวปะกัน แขวงเชียงขวาง"

อนุสาวรีย์ประตูชัย (Victory Monument)

สถาปัตยกรรม ผสมผสานลาว ล้านช้าง กับฝรั่งเศส ตั้งตระหง่านสูงเด่นอยู่ ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรำลึกถึงวีรชนของชาติ
ที่ เสียสละ เพื่อชาติบ้านเมืองมา ทุกยุค ทุกสมัย ชั้นบนสุดท่าน สามารถชมทิวทัศน์ของเวียงจันทน์ได้รอบทิศทาง

วัดสีสะเกด (Wat Sisaket)

  วัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน)  เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส  แปลว่า 100,000,
 อาราม แปลว่า วัด,  วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน  ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว)   ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ฯ ท่าเตียน ของไทย) 

                  เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต  ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด100,000 องค์  ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน  แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น  ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร(3)

ด้วยเมนูอาหารหลากหลาย เฝอแซ๊บ หรือ จะลองแหนมเนืองรสชาติอร่อยของชาวเวียงจัน แจ้งไก๊ดได้เลยครับ

images by free.in.th

 เจ้าแม่หลักเมือง(City Pillar)

เป็น ศาลหลักเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยูใน วัดศรีเมือง ซึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวไทย และลาว ในแต่ละวันจะมีประชาชนมากราบไหว้
ขอพรจากเจ้าแม่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ ผู้จะเดินทางไกล ไปต่างถิ่น หรือ สามีภรรยามีบุตรยาก มักจะมาขอพรมิได้ขาด

พิพิธภัณฑ์หอพระแก้ว (Hor Phra Kaew Museum)

ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตก่อนที่จะถูก อันเชิญมาไว้ที่กรุงธนฯโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ร. 1)
 เมื่อปี ค.ศ. 1778

หอคำ(Petit Trianon)

พระราชวังเก่า ทุกวันนี้ใช้เป็นทำเนียบประธานประเทศ


   เข้าชอปปิ้งในร้านสินค้าปลอดภาษี ที่ด่านลาวเลือกซื้อสินค้านานาชาติมียี่ห้อ ราคาถูก ต่างๆ มากมาย อาทิ เหล้า ไวน์ บุหรี่ และเครื่องสำอาง
                         เดินทางกลับเมืองไทยด้วยความประทับใจ

heart ****ต้องมีพาสปอร์ทนะครับ ถ้าใช้บัตรผ่านแดนกรุณาแจ้งก่อนครับ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ*******heart

อัตราประกอบด้วย
- ค่าที่พัก โรงแรมในประเทศลาว 1คืนพัก 2 ท่านห้องเฮืองเจริญ หรือเทียบเท่า
 - ค่ารถตู้ปรับอากาศ
 - ค่าอาหาร 4 มื้อ
- น้ำดื่มและอาหารว่างระหว่างเดินทาง
- ค่าธรรมเนียมสถานที่ต่าง ๆ รวมค่าผ่านแดนไปลาว
- ค่าประกันอุบัติเหตุตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ท่านละ XXXXXX บาท
- มัคคุเทศก์นำเที่ยวตลอดการเดินทาง (ลาว )

อัตรานี้ไม่รวม
-ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ค่ามินิบาร์
-ค่ารายการอาหารนอกเมนู เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-ค่าทิปคนขับรถและไกด์
-ค่าตำรวจท่องเที่ยวลาวกรณีลูกค้าใช้บัตรผ่านแดน
ChanatipTravel
99/48 M.sukkaseam Ban nadon nittayo Rd. udonthani
Tel 0866394853  0874294791 Fax 042290668
Facebook:https://www.facebook.com/ChanatipTravl
Email: van2479@gmail.com
Skyp:ChanatipTravel udon2lao      
Line ID : Chanatiptravel
website: //www.udon2lao.com

images by free.in.th




Create Date : 27 กันยายน 2556
Last Update : 27 กันยายน 2556 12:07:07 น.
Counter : 672 Pageviews.

0 comment
หอพิพิธพัณฑ์ ป้องกันความสงบประชาชน People's Security Museum นครหลวงเวียงจัน

หอพิพิธพัณฑ์ ป้องกันความสงบประชาชน People's Security Museum
พิพิธภัณฑ์การรักษาความปลอดภัยของประชาชนในเวียงจันทน์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการครบรอบปีที่ 50 ของการก่อตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยประชาชนลาวในปี 1961
       เพื่อให้ทราบความทุ่มเทของผู้นำลาวและนักรบที่ต่อสู้เพื่อประเทศ นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยประชาชนลาวกองกำลังที่รู้จักกันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล พิพิธภัณฑ์ที่ใช้ในการเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประชาชนลาวกองทัพ แต่ในปี 2005
          พิพิธภัณฑ์แสดงแกลเลอรี่ภาพวาดถาวรก่อตั้งและประวัติของกองกำลังรักษาความปลอดภัยสาธารณะเช่นเดียวกับกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ อธิบายกิจกรรมของพวกเขาอยู่ในความสงบทางการเมืองสังคมและภูมิภาคภารกิจรักษาเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตนกับองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ จนถึงปัจจุบันมีมากกว่า8,000 รูป

 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน ไกรสอน พรหมวิหาร ประมาณ 3 กิโลเมตรจากสถานีรถโดยสารกลาง
ระหว่างแยกจากที่พระเจดีย์พระธาตุหลวง ประตูทางเข้ามีการเก็บค่าผ่านประตูเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายครับ
  อาคารพึ่งสร้างเสร็จไม่นาน รูปทรงคล้ายกันกับสำนักนายกรัฐมนตรีที่อยู่ข้างประตูชัย แต่มีขนาดเล็กกว่า
 ผมถ่ายเฉพาะด้านหน้าที่มีการนำรถที่ใช้ในสงคราม แต่ยังมีสภาพเดิมๆมาตั้งโชว์ บางคันถ้าเอามาโมดีๆขับไปโชว์สาวๆแถว อุดร คงจะดีไม่น้อย อิ อิ


 เวลาเปิด ปิด ครับ
แผนที่คร่าวๆครับ





Create Date : 02 กันยายน 2556
Last Update : 2 กันยายน 2556 9:11:13 น.
Counter : 788 Pageviews.

1 comment
สวนวัฒนธรรมเชียงควนหรือ วัดเชียงควน
.coimages by free.in.th" alt="www.udon2laom" alignment="" border="" hspace="" vspace="">


วัดเชียงควนหรือ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงควน

พระพุทรรูป,เทวรูป,เทวะลัย ที่ปรากฏอยู่สวนวัฒนธรรมเชียงควน เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ 2501 (ค.ศ 1958) มีบริเวณประมาณ 8 ไร่ เกิดจากการรวบรวมรัพยากรทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หิน ทราย ปูน หรือเงิน โดย พ่อขาวบุญเหลือ สุลอลัดจากคำจารึกที่อยู่ใยสวนกล่าวถึง เรื่องราว ของ นาคะพิภพ สวรรค์ทั้งหกและ พุทธประสูติ จนถึงพุทธปริพนิพาน

หลวงปู่บุญเหลือ เกิดเมือวันที่ 3 มิถุนายน 1933 ตรงกับขึ้น 11ค่ำ เดื่อน 7 ปีระกา เป็นบุตรคนที่ 7ของพ่อ คำหมั้น และแม่ทอง ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณที่ตั้งวัดเชียงควนปัจจุบัน โดยมีอาชีพ หาปลา ทอเสื่อ เป็นหลัก

ท้าวสายสมร หรือหลวงปู่เหลือในวัยเยาว์ ลืมตามาดูโลกก่อนกำหนดถึง2เดือน สมัยก่อนเด็กคลอดก่อนกำหนด จะเป็นคนที่เจ็บออดๆแอด เลี้ยงยากจึงให้นางคำปลิวและจาร์ยคู ซึ่งเป็นพี่สาวและพี่เขยเลี้ยงดู ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามคำแนะนำของผู้เฒ่าผู้แก่เป็น บุญเหลือ ตั้งแต่นั้นมา ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตั้งแต่นั้นมา เด็กชายบุญเหลือ กลับมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

พอเด็กชายบุญเหลืออายุได้ 6ปี  แม่คำปลิวแม่เลี้ยงได้เสียชีวิตลง เหลือแต่ จาร์ยคู เลี้ยงดูแต่เพียงผู้เดียว ไม่นานนัก จาร์ยคู ก็ทนความว้าเหว่ไม่ไหวเลยแต่งงานใหม่ ซึ่ง พ่อคำหมั้น และแม่ทอง เลยต้องรับนายบุญเหลือกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านเดิมต่อไป

เด็กชายบุญเหลือมีความต่างจากเด็กทั่วไปคือ เป็นเด็กที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน พูดจาอ่อนหวาน ซื่อสัตย์สุจริต โดยเฉพาะ มีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายด้วยความเมตตาสูง รักต้นไม้ใบหญ้า รักเพื่อนฝูงมีจิตใจกว้างขวาง มีลักษณะเป็นผู้นำในหมู่เพื่อนฝูง ให้เกียรติผู้ที่มีอาวุโสกว่าโดยเฉพาะผู้สูงอายุนอกจากนั้นยังเป็นคนที่หลงไหลในศิลปกรรมวิชาหัตถกรรม,การทอผ้ามัดมี่เป็นอย่างมาก

  เมื่อถึงวัยเข้าเรียนพ่อได้ส่งเข้าเรียนหลายแห่ง แต่ เด็กชายผู้นี้ไม่สนใจในการเรียนแม้แต่น้อย ทุกคนก็พยายามทำทุกวิถีทางให้เด็กน้อยผู้นี้ ตั้งใจเรียนให้จนได้แต่ก็ไม่เป็นผล ถึงขั้นบังคับเคี่ยวเข็นลงไม้ลงมือเด็กน้อยก็ยังไม่เอาถ่าน จนในที่สุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เด็กน้อยบุญเหลือ จึงได้แค่อ่านออก เขียน กอ ขอ คอ เท่านั้นเอง

เด็กชายบุญเหลือพออายุได้ 12 ปี ได้ตัดสินใจหลบหนีออกจากบ้าน ออกซัดเซพเนจร ไปตามยะถากรรม ค่ำไหนนอนนั่น เที่ยวหาความอบอุ่นเเละเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นที่พึ่งทางใจของตัวเองไร้จุดหมาย การเดินทางของบุญเหลือคือเดินทางขึ้นเหนือของลาวไปเรื่อยๆ จนไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งของ ภูสันหนาว ซึ่งเป็นภูเขาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ไร้ผู้คนอยู่อาศัย จำเป็นจะต้องอาศัยผลไม้ ผลมัน กินเพื่อประทังชีวิต

ที่ภูสันหนาวนั่นเอง บุญเหลือก็ได้พบกับอาจาร์ย(ไม่ปรากฎนาม)ซึ่งมีวิชาแก่กล้ายิ่งนัก บุญเหลือจึงได้ร่ำเรียนวิชาศึกษาปฎิบัติธรรมกับอาจาร์ยจนล่วงเวลาผ่านไป 6 ปี จากเด็กชายบุญเหลือก็กลายมาเป็น ท้าวบุญเหลือ หนุ่มน้อยผู้มีความรู้ ความสามารถ สติปัญญา ล้ำเลิศซึ่งในวัยนี้หายากที่จะทำได้เมื่อถึงเวลา ท้าวบุญเหลือจึงได้กราบลาอาจาร์ย เพื่อนำความรู้ไปเผยแผ่แก่ท้องถิ่น และบ้านเมือง ซึ่งบางครั้งก็มีอุปสรรคมากมาย แต่ท้าวบุญเหลือก็ไม่เคยย่อท้อ

จนเวลาล่วงไปจนท้าวบุญเหลือ อายุได้ 30 ปี จึงได้เดินทางกลับมายังบ้าน เชียงควน บ้านเกิด เมืองหาดทรายฟอง

อยู่ได้แค่ 6 ปี พ่อและแม่ของท้าวบุญเหลือก็ถึงแก่กรรม ท้าวบุญเหลือก็เลยได้ครอบครองมรดกทั้งหมดของบิดา/มารดา จากนั้นก็เลยได้ทำการบอกบุญ ร่วมกำลังทรัพย์ หาปัจจัย ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศเพื่อทำการก่อสร้าง วัดเชียงควน

ภายหลังที่ประชาชนได้เลื่อมใสศรัทราร่วมกันร่วมสร้างวัดเชียงควน ชาวบ้านเลยเกิดคววามเคารพเลื่อมใส เลยเรียกท้าวบุญเหลือมาเป็น หลวงปู่บุญเหลือ จนถึงปัจจุบัน




Create Date : 31 พฤษภาคม 2556
Last Update : 31 พฤษภาคม 2556 16:21:03 น.
Counter : 618 Pageviews.

0 comment
วัดมะโนรม หลวงพระบาง

รูปภาพ

 วัดมะโนรม หลวงพระบางสร้างขึ้นโดยพระเจ้าสามแสนไทย ราชโอรสของพระเจ้าฟ้างุ้ม ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรล้านช้างราวๆกลางศตวรรธที่14  วัดเก่าเป็นที่ประดิษฐ์ถานพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ ซึ่งสูญหายไปโดยหาหลักฐานอ้างอิงไม่ได้

พระเจ้าสามแสนไทย ได้หล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้ไว้ในระหว่างปี 1378-1379 สันนิษฐานว่า การสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้จัดสร้างอยู่ที่นี่เองใ นเวลาที่พวก”หล้อ”เข้าปล้นสะดมในปีค.ศ 1887นั้น วัดมะโนรม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนอกกำแพงเมืองได้ถูกโจมตีด้วย และชาวหล้อก็ได้ทำลายพระพุทธรูปด้วยการเจาะท้อง

    โบสถ์หลังใหม่นี้ได้เริ่มสร้างใหม่ในปีค.ศ 1972 สร้างขึ้นใกล้กับที่ตั้งของวัดเก่าหลังหนึ่งชื่อว่า วัดเฃียงกลางพุทธสีมา(ปัจจุบัน) มีระเบียงสองข้างเพิ่มเติม มีรุปแบบการก่อสร้างคล้ายวัดโพนไช  วัดมะโนรมด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีหลังคาลดหลั่นลงมาเป็นสองชั้น

    ในโอกาสที่มีการย้ายองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่มาประดิษฐ์สถานณ.ที่ประทับปัจจุบันนี้ในปีค.ศ 1971 นั้น หอพระพุทธรูปได้ถูกทำลายไปแล้ว หลังจากมีการซ่อมองค์พระครั้งใหญ่โดยมีการหล่อ แขน ขา เพิ่มเติมด้วยปูนและหุ้มด้วยทองคำ

    ด้านหลังของโบสถ์หลังใหม่ ยังมีร่องรอยของวัด เชียงกลาง อยู่แต่กด็เหลือแต่เพียง ฐาน ของพระพุทธรูปแค่นั้น และพระพุทธรูปเก่าๆจำนวนหนึ่ง ทางวัดก็ได้จัดเก็บไว้ในสถานที่ลึกลับเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อให้รอดพ้นจากการค้นหา

    ด้านทิศตะวันตกของโบสถ์หลังใหม่ มีกุฎิ3หลังที่สร้างอยู่ในสมัยต่อมา และที่ หอทาน นั้นตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉีบงเหนือ ของวัดใกล้ๆกันกับที่ประทับองค์เก่า ได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่แบบใหม่เพิ่มเติม

   สมัยก่อน ชาวบ้านแถววัดมโนรมและวัดเชียงกลาง ส่วนใหญ่จะมีหน้าที่หลักคือเป็น ควานช้าง ของราชเมือง และชบวนช้างก็เคยมาทำพิธีที่ ช้างรามเกียรติ์ อยู่ใกล้ๆวัดมโนรม แต่น่าเสียดายที่ประเพณีนี้ได้ล้มเลิกไปแล้ว ในสมัยค.ศ 1926

             เรื่องและภาพโดย ชนาธิปทราเวล www.udon2lao.com




Create Date : 12 พฤษภาคม 2556
Last Update : 12 พฤษภาคม 2556 15:08:38 น.
Counter : 560 Pageviews.

0 comment
1  2  

เชร็ค 3
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]