ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

Chevrolet Beat EV ...ซิตี้คาร์น้องเล็กปั้นแต่งแบบไฟฟ้า

แม้จะดูเหมือนเริ่มถอยลงไปแล้วสำหรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า ที่มาเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาแล้วอยู่ดีๆก็ไม่ค่อยเป้นข่าวคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ หลัง 2 คุ่แข่งเบียดกันชิงตลาดรถกลุ่มใหม่ตามสภาวะน้ำมันแพง ที่ดูเหมือนค่ายยานยนต์จากอเมริกาจะมีมวยเด็ดไว้จัดหนัก

เราหลายคนคงรู้จัก Chevrolet Volt ที่มาพร้อมคำกล่าวว่ามันเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนานแท้ที่พร้อมตอบสนองกหารขับขี่ด้วยระยะทางที่มากกว่าภายใต้คอนเซปต์ Extended Range ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่แบบเครื่องปั่นไฟฟ้าเพิ่มพลังงานให้ขับต่อได้อย่างไร้กังวล

Chevrolet Beat เป็นหนึ่งในรถเล็กที่เกิดขึ้นในแนวคิดรถเล็กเพื่อคนเมือง ที่ล่าสุดมันถุกดัดแปลงเป็นรถไฟฟ้าเพื่อฉลองวันสิ่งแวดล้อมดลก ซึ่งรถต้นแบบคันนี้จะนำมาใช้เพื่อศึกษาความเป้นไปได้ในการผลิตรถไฟฟ้าในประเทศแถบเขตร้อน

เจ้าตัวเล็กพลังไฟฟ้านี้มาพร้อมเรือนร่างที่เราคุ้นเคยในขนาดเดียวกับรถซิตี้คาร์ทั่วๆไป ที่มาพร้อมระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 แรงม้า ที่สั่งจ่ายพลังงานจากแบตเตอร์รี่ลิเธี่ยมไอออนขนาด 20 กิโลวัตตื ที่สามารถเดินทางได้ไกลถึง 130 กิโลเมตร ในการชาร์จ 1 ครั้ง ที่สามารถใช้งานได้ที่อุณห๓มิตั้งแต่ -20 องศา ถึง 45 องศาเซลเซียส และใช้เวลาน้อยกว่า 8 ชั่วโมงในการประจุไฟให้เต็ม

ด้านนาย คาล สลิม ประธานและผู้อำนวยการจัดการ General motor India เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะมีการแนะนำเทคโนโลยีใหม่นี้ให้แก่ลูกค้าทั่วโลกเพื่อลดการใช้น้ำมัน โดยอินเดียจะเป็นผู้นำในเรื่องการค้นคว้าทางด้านรถไฟฟ้า และผมรู้สึกดีใจที่ GM เลือกอินเดียเป็นตลาดสำคัญรถไฟฟ้าด้วย

อย่างไรก็ดี Chevrolet Beat EV ยังเป็นเพียงต้นแบบที่เพิ่งจัดทำขึ้น ในขณะที่ก่อนหน้าค่ายรถยนต์อเมริกาก้มีแผนในการลงตลาดรถยนต์นั่งขนาดจิ๋วเพื่อสู้กัย Tata Nano แต่นายคาล ก็กล่าวว่า รถนั่งขนาดเล็กอาจจะไม่เหมาะกับ GM ซึ่งนับเป็นการปิดฉากที่อาจเปิดม่านใหม่ในกลุ่มรถไฟฟ้าก็ได้

Sanook! Auto Comment

Chevroelt Beat EV เป็นการยินยันหนึ่งว่า GM ก็สนใจในการส่งรถนั่งไฟฟ้าลงตลาดใหม่ เพียงแต่มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา ที่เราอยากค่ายนี้ในไทยมองว่า ตลาดไทยกำลังต้องการสิ่งใหม่ๆ มากกว่าแค่รถธรรมดาๆ ที่มีขายอยู่แล้ว




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2554   
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 21:20:37 น.   
Counter : 1097 Pageviews.  

ตำนานความแรงของ TOYOTA CELICA

สุดยอดรถ สปอร์ท 2 ประตูขนาดเล็ก ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Toyota ในการแข่งขัน Rally ระดับโลกหลายยุคหลายสมัย ความสวยงามไม่เป็รองใคร นั่นคือ Toyota Celica นั่นเอง หลังจากพวกเรา //www.thaispeedcar.com ได้รู้จักสปอร์ทรุ่นพี่ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสปอร์ทรุ่นน้อง ว่ามีความเป็นมา ผลิตมาแล้วกี่รุ่น แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร
เริ่มตำนานใน ปี 1967 สมัยนั้นรถสปอร์ท 2 ประตูกำลังเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ความสำเร็จของ Toyota นั้น หลังจากที่ได้เข็นรถสปอร์ทรุ่นแรก ในชื่อว่า 2000 GT ออกมาอวดสายตาชาวโลก จนได้รับความนิยมขายดิบ ขายดี ในขณะที่รถตลาดรุ่นใหญ่อย่าง Toyota Colona และ รุ่นเล็กที่กำลังมาแรงอย่าง Corolla ก็กำลังทำยอดการตลาดของ Toyota ให้เติบโตขึ้นในทุกขณะ ทางบริษัทจึงได้วางแผนการผลิตรถ 2 ประตูขนาดเล็ก ด้วยความผสมผสานระหว่าง Corolla กับ 2000 GT ออกมาเป็นรถต้นแบบ ในชื่อว่า EX-1 แต่ก็เป็นไปได้เพียง รถยนต์ต้นแบบเท่านั้น จนในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ เดือนธันวาคม ปี 1970 การเปิดผ้าคุม Toyota Celica รุ่นแรกก็ได้เกิดขึ้น สร้างความสนใจแก่ชม ด้วยรูปร่างเล็กกะทัดรัด เน้นความความประหยัด จนทำยอดจองได้มาก และกระแสตอบรับที่ดีต่อสายตาคนทั่วโลก
1970 - 1977 Celica Generation 1
ถือ เป็นรุ่นแรกในสายการผลิต ด้วยรูปแบบรถสปอร์ท 2 ประตู Hard Top 2 + 2 ที่นั่ง ใช้ไฟหน้าเช่นเดียวกับ Corolla แบบไฟกลม 4 ดวง ช่วงล่างแบบ Sport ผสมรูปลักษณ์รถยนต์ขนาดเล็กอย่าง Carina จนได้เป็นรถสปอร์ทรูปร่างสวยงามนาม Celica ซึ่งในบ้านเรามักนิยมเรียกกันว่า เซลิก้าหน้าโหนก หรือ สาลิกา ออกมาจำหน่ายทั่วโลก ในรหัสเครื่องยนต์ต่างกัน ตามลักษณะรุ่น
Celica LT , ST , ET, RA จะ ใช้เครื่องยนต์หลายรุ่นใน ตระกูล R engine , T engine ตั้งแต่ขนาด 1400 ซีซี รหัส T1400 รุ่นประหยัด ขนาด 1600 ซีซี ในเครื่องบล็อค 2T จนถึงแบบแคมคู่ 2T Twincam 1600 ซีซี
Celica GT-GTV เป็น รถที่ผลิตขึ้นให้เต็มเปี่ยมทั้งความสวยงาม และสมรรถนะ ด้วยมิติความกว้าง1,610 ยาว 4,165 สูง 1,310 น้ำหนัก 970 กิโลกรัม และเครื่องที่มีพลังรุนแรง ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่ชื่นชอบกับผู้ที่นิยมขับรถแบบ โอเวอร์สเตียร์ และถูกดัดแปลงเป็นรถยนต์แข่งขันทางฝุ่น ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ รหัส 8R 1900 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยคาบูเรเตอร์แบบคู่ มีแรงม้า 108 แรงที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 6,200 รอบ/นาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 190 กม./ชม. และยังมีเครื่องยนต์ให้เลือกอีกมาก ตามโซนแต่ละประเทศ จนถึงเครื่องขนาดใหญ่ระดับ 2000 ซีซี ในรหัส 18R-C และ 2200 ซีซี รหัส 20 R
Celica Liftback เป็น อีกรูปแบบหนึ่งของ Celica Generation I เริ่มผลิตขึ้นในปี 1973 ด้วยรูป แบบ 3 ประตู กระจังหน้าถูกขยายกว้าง ไฟท้ายแบบ 5 ช่อง คล้ายกับ Ford Mustang ในรหัสบอดี้ TA20 -27 และ RA21 จนถึง RA 28 แต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกันเช่น กระจังหน้า ไฟหน้า ความยาวของตัวถัง ฝากระโปรงหน้า และฝาท้าย ส่วนเครื่องมีให้เลือกตั้งแต่ 1600 ซีซี และ 2000 ซีซี เป็นอีกรุ่น ที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลกในสมัยนั้น
1977 – 1978 Celica Generation 2
เป็น รุ่นที่ 2 ของการผลิต ด้วยการปรับปรุงรูปแบบ ตั้งแต่การเพิ่มความยาว และความกว้างของตัวถัง ฝากระโปรงหน้าที่ลาดยาวขึ้น ไฟหน้าคล้ายรุ่นเดิมแบบไฟกลม 4 ดวง จนถึงตัวสุดท้ายรุ่นไฟเหลี่ยม 4 ดวง ลดความสูงของหลังคาให้เตี้ยลง โดยเน้นความสามารถทางด้านอากาศผลศาสตร์ ให้ค่าสัมประสิทแรงเสียดทานต่ำลง เพื่อเหตุผลด้านการประหยัดพลังงาน จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนครั้งใหญ่ และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว จนได้ฉายานามว่า เซลิก้า แอร์โร่ว์
Celica ST, LT, GT ยังคงใช้เครื่องยนต์เหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่ 2T และ 2T Twincam ขนาด 1600 ซีซี และรุ่นใหญ่สุด 2200 ซีซี ในรหัส 18R-C
Celica XX หรือ Celica Supra เป็น รุ่นที่จำหน่ายใน UK และ USA จะใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบ ตั้งแต่ 1M ขนาด 2000 ซีซี 110 แรงม้า 5M ขนาด 2800 ซีซี และเครื่องยนต์แบบ 2000 ซีซี Twinturbo รหัส 1G-TEU และกลายมาเป็นต้นแบบ Supra MK I
1982 – 1985 Celica Generation 3
รุ่น ที่ 3 นี้ รูปทรงภายนอก และภายในถูกปรับเปลี่ยนโฉมกันครั้งใหญ่ ภายนอกรูปลิ่มเน้นความเหลี่ยมดุดัน ไฟหน้าเป็นกระจกใส แบบ Pop Up ซึ่งเมื่อเวลาเปิด ไฟหน้าจะพับตั้งขึ้น รุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นมาทั้ง 2 ประตู และ 3 ประตู รุ่นที่ผลิตมีตั้งแต่
Celica SV, ST, ST-EFI, SX ยัง ใช้แบบขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์นั้นยังคงมีให้เลือกมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่ 1600 ซีซี รหัส 2T 1800 ซีซี รหัส 3T และ 1S ขนาดความจุ 2000 ซีซี รหัสเครื่องยนต์ 18R-G จนถึงบล็อกใหญ่สุดขนาด 2400 ซีซี ในเครื่อง 22R-E
Celica GT-T, GTS ถือ เป็นรุ่นท็อปสุดของ Celica รุ่นนี้ เหตุผลการผลิตเพื่อใช้ ในการแข่งขัน WRC หรือ Word Rally Championship Group B ซึ่งในรุ่น GT-T จะถูกผลิตขึ้นเพียง 200 คัน เครื่องยนต์นั้น ทั้ง GT-T และ GTS จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 1800 ซีซี 4 สูบ แบบ DOHC Twincam 2 วาล์วต่อสูบ 8 หัวเทียน Twin Spark ควบคุมการสั่งงานด้วยระบบหัวฉีด EFI เพิ่มพลังงานด้วย Turbo Charger รหัส CT20 ในบล็อคเครื่องยนต์คุ้นหู 3T-GTE ได้แรงม้ามากถึง 160 แรงม้า และแรงบิด 152 ft•lbf (206 N•m) ที่ 4800 รอบต่อนาที
1986 -1989 Celica Generation 4 รุ่น ที่ 4 ของสายการผลิตครั้งนี้ทาง Toyota ก็ได้ปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับเคลื่อนเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งมีผลด้านการประหยัดพลังงานได้มากกว่า สิ้นเปลืองวัสดุน้อยกว่า จนทำให้ได้ Celica รุ่นใหม่ ภายใต้รูปแบบที่ฝากระโปรงหน้าที่สั้นลง เหมาะกับการใช้งานเมือง และ ไฟหน้าแบบ Pop Up ตามความนิยมในรถสปอร์ทสมัยนั้น การผลิตมีทั้งแบบ 2 และ 3 ประตู รวมถึงรุ่นหลังคาอ่อนแบบเปิดประทุนได้ ซึ่งบ้านเรานิยมขนานนาม Celica รุ่นนี้ว่า เซลิก้า ไฟป๊อบตูดกระจก ด้วยเสาหลังคาด้านหลังแบบ C-pillar ที่ทำให้ด้านท้ายดูเหมือนไม่มีเสาหลังคา เป็นชิ้นเดียวกับกระจกบานหลัง แบ่งได้ตามรหัสตัวถังดังนี้
Celica 1.6 ST รหัสตัวถัง AT 160 ใช้เครื่องยนต์แบบ SOHC 8 V ขนาด 1600 ซีซี รหัส 2S-E มีพลัง 97 แรงม้า
Celica 1.6 GT รหัส ตัวถัง AT160 ใช้เครื่องยนต์แบบ Twincam 16V 1600 ซีซี รหัสเครื่องยนต์ 4A-GE ควบคุมหัวฉีดด้วยระบบ TVIS ให้แรงม้า 124 แรงม้าที่ 6600 รอบต่อนาที
Celica 1.8 ST-EFI & 1.8 SX รหัสตัวถัง ST163 ใช้เครื่องขนาด 1800 ซีซี SOHC 8 วาล์วต่อสูบ รหัสเครื่องยนต์ 4S-Fi
Celica 2.0 ST รหัสตัวถัง ST161 ใช้เครื่องขนาด 2000 ซีซี รหัส 3S-FE แบบ SOHC มีพลัง 115 แรงม้า
Celica 2.0 SX, GT & GT-S รหัสตัวถัง ST162 ใช้เครื่องรหัส 3S-GE แบบ Twincam 16 V DOHC มีกำลังเครื่องยนต์มากถึง 135 แรงม้า
Celica GT–FOUR รหัส ตัวถัง ST165 เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ผลิตออกมาเพื่อใช้ในการแข่งขัน Rally WRC ด้วยเครื่องยนต์ แบบ 4 สูบ ขนาด 2000 ซีซี 16 V DOHC ปั่นพลังด้วย Turbo Charger ระบายความร้อนด้วย Inter Cooler จนได้กำลังที่ 182 แรงม้า ที่ 6000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 249 Nm ที่ 3200 รอบต่อนาที แม้ GT-Four จะเป็นรถที่มีน้ำหนักตัวอยู่มากถึง 1462 กิโลกรัม แต่ก็สามารถทะยานตัวได้อย่างรวดเร็วที่ 0-100 กิโลเมตรภายใน 7.9 วินาที ความเร็วตีนปลายทำได้ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างสบายๆ
1990 -1993 Celica Generation 5
รุ่น ที่ 5 กับสายการผลิต Celica การออกแบบครั้งนี้ แตกต่างกับรุ่น Gen 4 อยู่มาก เน้นที่ความกลมกลืน รูปทรงที่ทันสมัยขึ้น ผสมความสวยงามน่าเกรงขามคล้ายกับสปอร์ทรุ่นพี่อย่าง Toyota Supra และความกะทัดรัดอย่างรุ่นน้อง Toyota MR2 ไฟหน้ายังคงใช้แบบ ป๊อบอัพ กระจกมองข้างทรงลู่ลม หลังคาลาดต่ำลง ทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทางอากาศเพียง CD 0.34 การผลิตมีตั่งแต่รุ่น 3 ประตู และ 2 คูเป้ซึ่งหาดูได้ยากมาก และ 2 ประตูหลังคาอ่อนสามารถเปิดปะทุนได้ ในบ้านเรานิยมเรียก Celica รุ่นนี้ว่า เซลิก้า ปลาคาร์ฟ (อันนี้ผมก็ไม่ทราบได้ว่ามีที่มากันยังไงนะครับ คงจะมาจากกระแสนิยมเลี้ยงปลาคาร์ฟ กันมากในสมัยนั้น?) Celica รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่นิยมมาก กับรูปทรงที่สวยงาม และ ความสามารถในการเกาะถนน แบ่งรุ่นตามเครื่องยนต์ที่บรรจุใต้ฝากระโปรงดังนี้
Celica S-R, Z-R, GT-R, Active Sports ใน รหัสตัวถัง AT180 , ST182 – ST184 มีเครื่องให้เลือกตั้งแต่ 1,600 ซีซี รหัส 4A-FE ในรุ่น SR – ZR จะใช้เครื่องขนาด 2,000 ซีซี ในรหัส 3S-FE ส่วนในรุ่น GT-R จะใช้เครื่อง 2,000 ซีซี แบบ DOHC รหัส 3S-GE โดยมีแรงม้า165 ตัวที่ 6,800รอบ และ แรงบิด19.5 กก.ม ที่ 4,800รอบต่อนาที จนถึงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ 2,200 ซีซี รหัส 5S-FE ในรุ่น GT–GTS ช่วงล่างแบบแมคเฟอร์สันสตรัทด้านหน้า และระบบคานคู่ด้านหลังเช่นเดียวกับ Toyota Colona ดิสเบรก 4 ล้อพร้อมระบบ ABS ภายในแบบสปอร์ท และพวงมาลัยเพาเวอร์แบบ แรคแอนพิเนียน ระบบเลี้ยวสี่ล้อ 4 WS ทำให้เป็นรถที่ได้ทั้งความเร็ว และสมรรถนะการเกาะถนน
Celica GT-Four เป็น รถยนต์ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ รหัสตัวถัง ST 185 ที่จะมีความแตกต่างจาก ST182 -184 ด้วยกันชนหน้าแบบเปิดกว้างพร้อมช่องระบายความร้อน สคูปดักลมบนฝากระโปรงหน้า Toyota Celica GT-4 ถูกผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้เป็นรถแข่งทางฝุ่น ในการแข่งขัน Rally WRC ซึ่งตามกฎของ FIA (Homologate) ที่ว่ารถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายมากกว่า 2,500 คันขึ้นไป GT-4 จึงเป็นที่หมายปองของผู้ที่นิยมรถสปอร์ทแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และเครื่องยนต์อันทรงพลังในรหัส 3S-GTE ขนาด 2,000 ซีซี DOHC อ่านปริมาณอากาศขาเข้าด้วย Airflow พ่วงด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ twin entry turbo หรือเทอร์โบแบบ 2 พอร์ทในตัวเดียว รหัส CT26 ระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูเลอร์แบบ Air-To-Air วางอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า 3S-GTE มีความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชักที่ 86.0 x 86.0 ม.ม. อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 225 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 30.8 กก. - ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full time อัตราทดเฟือง เกียร์ 4.285 มาพร้อมกับระยะฐานล้อที่กว้างถึง 2,545 มิลิเมตร ความยาวตัวถัง 4,424 มิลิเมตร ฐานล้อด้านหน้าที่ 1,505 และด้านหลัง 1,525 มิลิเมตร จึงทำให้ GT-4 กลายเป็นรถสปอร์ท 2 ประตูขนาดเล็กที่มีทั้งพลังเครื่องยนต์ที่รุนแรง การออกตัวที่ดี และการยึดเกาะถนน
1994-1999 Celica Generation 6
ใน รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ ทาง Toyota Motor ฉลองความสำเร็จครบรอบกำเนิด 25 ปีของ Toyota Celica จึงทำให้Celica รุ่นนี้กลับมามีเอกลักษณ์แบบย้อนยุค ด้วยไฟหน้ากลม 4 ดวง เฉกเช่นเดียวกับ Celica Generation 1 ให้ความสวยงามดุดันได้มากกว่า จนได้รับฉายาในบ้านเราว่า เซลิก้าไฟกลม หรือตากลม มาพร้อมกับรูปทรงที่ทันสมัยมากขึ้น มีทั้งแบบ 2 ประตู 3 ประตู Liftback และแบบหลังคาอ่อนเปิดประทุน ออฟชั่นต่างๆอย่างครบครันทั้งระบบ ดิสเบรก 4 ล้อ ABS ช่วงล่างแบบ Sport ให้ความมั่นใจในการเกาะถนน
Celica ST- GT รหัส ตัวถัง AT200-ST204 เริ่มตั้งแต่ตัวประหยัดขนาด 1,800 ซีซี ในเครื่องยนต์รหัส 7A-FE ซึ่งในตัวถัง ST จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 2200 ซีซี ในรหัส 5S-FE และเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี รหัส 3S-GE DOHC จนถึงในรุ่น GT,GT-S จะใช้เครื่องยนต์ 2,200 ซีซี รหัส 5S-FE 136 แรงม้าที่ 5,400 รอบต่อนาที
Celica SSI, SSII ใน รหัส ST202 ผลิตขึ้นปี 1997 จะใช้เครื่องยนต์บล็อกใหม่ในชื่อว่า BEAMS ในรหัส 3S-GE VVTi ซึ่งจะเพิ่มระบบวาล์วแปรผันให้กับฝาสูบของเครื่องยนต์ สามารถเปลี่ยนระยะองศาการเปิดปิดวาล์ว ให้สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ได้มากขึ้น เป็นผลทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า มลพิษต่ำกว่า แต่ให้พลังสูงขึ้นเป็น 200 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที กับแรงบิด 152 lb/ft ที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยไม่พึ่งพาเทอร์โบ
Celica GT-Four รหัส ST205 มาพร้อมกับกันชนหน้าแบบเปิดกว้าง สปอร์ทไลท์ไฟกลมใต้กันชน กระจังหน้าเปิดช่องเป็นตะแกรงเพื่อในการช่วยรับลมมาระบายความร้อน สคูประบายอากาศบนฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ พร้อมสปอยเลอร์หลังทรงสูงโลโก้ GT FOUR ในด้านท้ายช่วยในการเพิ่มแรงกดอากาศที่ความเร็วสูง ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบในรหัสเดิม 3S-GTE ขนาด 2,000 ซีซี DOHC ซึ่งได้ปรับปรุงมาจาก ST185 หลายส่วน อ่านปริมาณอากาศด้วย Map เซนเซอร์ เทอร์โบใช้ขนาดโตรหัส CT20B ระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูลเลอร์ แบบอากาศสู่น้ำ Air-To-Water ที่ด้านหน้าจะมีหม้อน้ำระบายความร้อนน้ำให้กับ น้ำหล่อเย็นอินเตอร์ ให้กำลัง 255 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 31 ก.ก-ม ที่ 4,000 ต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD ช่วงล่างแบบ Super Strut Suspension ระบบดิสเบรกหน้าขนาดใหญ่ และคาริเปอร์แบบ 4 Port ด้านหน้า และ 2 Port ด้านหลัง ซึ่งถือว่าเป็นรถสปอร์ทขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่สมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้
Celica GT-Four WRC เป็น รถที่ใช้ในการแข่งขันชิงแชมป์แรลลี่โลก หรือ WRC ใช้เครื่องยนต์ 3SGTE ปรับเปลี่ยนเพิ่มพลังเป็น 299 แรงม้า ภายใต้การควบคุมของ Toyota Team Europe จนในปี 1990 คาร์ลอส เซนซ์ นักแข่งในทีม Toyota ก็สามารควบ GT-4 ในรหัส ST185 คว้าแชมป์โลกได้เป็นผลสำเร็จ ก่อนที่ในปี 1992 ก็สามารถกับมาคว้าแชมป์ได้อีก จนถึงปี 1993 ยูฮา คังคูเนน ก็ยังคงทำให้ Toyota Team Europe ครองแชมป์โลกได้เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน จนปีต่อมา 1994 ดิดีเยร์ โอรีโอล ปี ก็ควบ GT-4 ในรหัส ST-205 เข้าเส้นคว้าแชมป์เป็นครั้งที่สามติดต่อ ถือเป็นความสำเร็จของ GT-4 ก่อนที่ในปี 1995 รอบชิงชนะเลิศทาง สมาพันธ์การแข่งขันรถยนต์นานาชาติ หรือ FIA ได้ประกาศปรับแพ้การแข่งขัน หลังจากที่ตรวจสอบว่าทาง Toyota Team Europe ได้เพิ่มช่องทางอากาศให้กับเทอร์โบ ให้มีขนาดใหญ่กว่าที่กำหนด ผิดกฎการแข่งขันที่ทาง FIA ได้ตั้งไว้ ก่อนที่จะปรับให้หยุดการแข่งขันถึง 2 ปี จนทำให้ Celica GT-4 WRC ห่างหายไปจากวงการจากบัดนั้นจวบจนปัจจุบัน จนในอีก 2 ปีต่อมา Toyota Team Europe ก็ได้เปลี่ยนทายาทสืบทอดเป็น Toyota Corolla WRC โฉมไฟกลมกลับขึ้นสังเวียนมาชิงชัยอีกครั้ง
2000 -2005 Celica Generation 7
มา ถึงรุ่นปัจจุบัน Celica รุ่นนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนโฉมเป็นการใหญ่ ภายใต้คอนเซป XYR กันชนหน้าแบบ front bumper และ สปอย์เลอร์หลังทรง GT ไฟหน้าแบบยาว ฝากระโปรงหน้ามีจมูกรับอากาศ ทำให้รูปทรงของ Celica รุ่นนี้สวยงาม และทันสมัย ช่วงล่างใช้แบบแม็คเฟอร์สันสตัรท คอยล์สปริง ระบบเบรก ABS มีให้เลือกทั้งเกียรธรรมดา และ เกียรออโตเมตริก 4 speed แบบ Steermatic ที่สามารถเปลี่ยนเป็น Manaul ได้
Celica SS-I รหัส ตัวถัง ZZ230 จะใช้เครื่องยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งเครื่องยนต์จะถูกปรับเปลี่ยน ให้ท่อระบายไอเสียไหลลงสู่ด้านหลัง ขนาด 1,794 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ DOHC บล็อก BEAMS ขนาดช่วงชัก 85X82 กำลังอัดที่ 10:1 รหัส 1ZZ-FE ควบคุมปริมาณอากาศด้วยระบบวาล์วแปรผัน VVTi ให้แรงม้า 145 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 170.4 Nm ที่ 4,200 รอบต่อนาที
Celica SS-II รหัส ตัวถัง ZZ231 ใช้เครื่องยนต์รหัส 2ZZ-FE ถูกโมดิฟลายให้มีพลังมากขึ้นโดยบริษัท YAMAHA ด้วยการเพิ่มกำลังอัดขึ้นเป็น 11.0:5 เปลี่ยนระยะช่วงชักจาก 85X82 เป็น 79.0X91.5 มิลิเมตร แต่ทำให้มีความจุเพิ่มขึ้นเพียง 1 ซีซีเท่านั้นเป็น 1795 ซีซี ฝาสูบแบบ BEAMS หรือระบบ VVTi ซึ่งจะเพิ่มระบบเปลี่ยนระยะยกของลูกเบี้ยว ซึ่งจะใช้ลูกเบี้ยว 2 ตัว ลูกเบี้ยวตัวแรกที่มีองศาน้อยทำหน้าที่เปิดวาล์วในรอบต่ำ ส่วนรอบสูงจะเปลี่ยนใช้ลูกเบี้ยวองศาสูง ทำให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 190 แรงม้าที่ 7,600 รอบต่อนาที แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 180.44 Nm ที่ 6800 รอบต่อนาที
Celica SS-II Super Strut ใช้ เครื่องยนต์รหัส 2ZZ-FE เพิ่มช่วงล่างแบบ Super Strut นุ่มนวล เกาะถนนขึ้น เกียรออโตเมตริก 4 speed แบบ Steermatic ที่จะให้อัตราทดที่ชิดแบบ Close Ratio ซึ่งจะเปลี่ยนเกียรที่ 7,800 รอบ ซึ่งแต่ละเกียรรอบเครื่องจะตกลงเพียง 1,800 รอบต่อนาทีเท่านั้น และเฟืองท้ายแบบ LSD ทำให้ Celica รุ่นนี้ให้ทั้งความเกาะถนน และการขับขี่ได้สนุกมากขึ้น
ในปัจจุบัน Celica SS-II ได้ถูกปรับเปลี่ยนแปลงโฉมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในรายการ Japan Grand Touring Car หรือ JGTC ขึ้นชั้นเทียบเท่า Super Car ระดับโลก และรายการ Motor Sport อีกหลายรายการจนสร้างชื่อเสียงให้กับ Celica ในปัจจุบัน

//www.thaispeedcar.com




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2554   
Last Update : 24 มิถุนายน 2554 21:07:01 น.   
Counter : 4557 Pageviews.  

2011 Chevrolet Captiva ...อีกระดับขั้นในความเหนือชั้น

ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับรถอเนกประสงค์คันใหม่จากค่ายรถยนต์โบว์ไทน ที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และนี่เป็นการประเดิมครั้งแรกตามแผนของ 4 รุ่น 14 เดือน ที่เป็นหนึ่งแผนใหญ่ในการแบ่งเค้กของค่ายรถยนต์อเมริกันในไทยที่ต้องติดตามกันอีกสักพักหนึ่ง

การเติบโตที่มากเป็นประวัติการณ์ของค่ายเชฟวี่ นับเป็นสัญญาณ ที่ทำให้รู้ว่าคนไทยกำลังตอบรับยานยนต์ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง หลังเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีการแนะนำคอมแพ็คคาร์รุ่นใหม่เข้ามาปลุกกระแส และในตลาดกลางปีที่กำลังระอุอยู่นี้ค่ายรถยนต์เชฟวี่ ก็ได้ปล่อย SUV ออกมา

2011 Chevrolet Captiva Minorchanged

เกมใหม่จากค่ายรถยนต์ Chevrolet นี้เป็นการเปิดตัวรถอเนกประสงค์ยอดนิยมของค่าย Chevrolet Captiva ที่การกลับมาครั้งมีการเปลี่ยนแปลงหลายรายการ โดยเฉพาะการอัพเดทการตบแต่ง ตั้งแต่แชสซีจนถึงภายนอก ที่สงนราคาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น

Chevrolet captiva 2011 นั้น มาพร้อมการอัพเดทรายละเอียดต่างๆมากมาย ที่เริ่มตั้งแต่ภายนอก ที่คุณจะเห็นใบหน้าใหม่ที่คมเข้มขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกันชนหน้า,กระจังหน้า ในขณะที่เส้นสายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนัก ทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทว่ารองเท้าคู่กายมีการอัพเดทไปใช้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ 17 นิ้ว และใหญ่ยักษ์สุดมีขนาดใหญ่ถึง 19 นิ้วจากโรงงาน ทั้งหมดมาพร้อมยางหน้ากว้างซี่รีย์ 235 จากโรงงานให้สมรรถะที่โดดเด่นในการขับขี่ยิ่งขึ้น และยังมีการแนะนำสีใหม่ Auburn Brown

2011 Chevrolet Captiva Minorchanged

ในห้องโดยสารรถอเนกประสงค์ใหม่ค่ายค่ายโบว์ไทน์ดูจะเน้นหนักในเรื่องนี้เป็นพิเศษมีการเปลี่ยนแปลงในหลายจุดที่สำคัญ ตั้งแต่การเปลี่ยนเอาสไตล์การตบแต่งแบบใหม่ ที่เน้นหนักในการเพิ่มความหรูหราเข้ามารวมไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะฝั่งคนขับ ที่มาพร้อมเบานั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง โดยยังเน้นตอบสนองในด้านความเป็นรถนั่งที่ให้คุณเดินทางได้ 5 หรือ 7 คน ที่มีการเปลี่ยนแสงไฟในห้องโดยสารใหม่มาใช้สีฟ้าอ่อน Ice Blue พร้อมมาตรวัดรอบดีไซน์ใหม่หมดจด

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในห้องโดยสาร captiva ใหม่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์อเมริกาจัดการยกก้านเบรคมือออกไป แล้วหันมาใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มพิ้นที่ความสะดวกสบาย ส่วนพวงมาลัยแบบมัลติฟังชั่น ก็ใส่ออพชั่นมามากมาย ที่ควบคุมได้ตั้งแต่ตั้งความเร็วอัตโนมัติ ควบคุมเครื่องเสียง และเป็นครั้งแรกที่ควบคุมแอร์ได้ด้วย

2011 Chevrolet Captiva Minorchanged

ความโดดเด่นของ Captiva โฉมเปลี่ยนเล็กครั้งนี้ยังไม่หมด เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่มีการแนะนำนวัตกรรมความบันเทิงใหม่ล่าสุด ที่จะมีอยู่ในรุ่น LT และ LTZ กับระบบเครื่องเสียง 3 มิติสมบูรณ์แบบ 3 D Sound Staging ที่ขับผ่านลำโพง 8 จุดในรถ ให้ความชัดเจนในอรรถรสความบันเทิง ที่ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นส่วนตัว USB และ AUX ได้

ด้านสมรรถนะการขับขี่ครั้งนี้อาจจะเป็นที่น่าเสียดายที่ค่ายรถยนต์อเมริกัน ตกลงตัดใจทิ้งรุ่นดีเซลแล้วหันมาเอาจริงเอาจังกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบแถวเรียง ที่ตอบสนองด้วยพละกำลังที่หนักแน่นยิ่งขึ้นถึง 168 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ให้มากถึง 229 นิวตันเมตร แถมยังรองรับน้ำมัน E85 ได้ โดยให้ความประหยัดยิ่งขึ้นกับการอัพเดทระบบส่งกำลังใหม่เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้องฟังชั่น Driver Shift Control (DSC) ที่ยังมีฟังชั่นโหมดประหยัดเพิ่มอัตราซดน้ำมันให้ประทับใจ

2011 Chevrolet Captiva Minorchanged

สำหรับรายละเอียดอื่นๆของ Captiva นั้น ก็คงไม่พ้นเรื่องช่วงล่างที่น่าประทับใจอยู่แล้ว แต่ก็มีการอัพเดทเพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้นไปอีก มีการเปลี่ยนเหล็กกันโคลงใหม่ เช่นเดียวกับ ช็อกอัพและสปริง ที่ยังคงความเป็นรถนั่งขนานแท้ ด้วยระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ 4 จุด และยังคงมาพร้อม 2 ทางเลือกสำหรับลูกค้า ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อที่มาพร้อมระบบ Torque on demand เสริมสมรรถนะทันใจ

เรื่องความปลอดภัยใน Captiva ใหม่นั้นก็มีการเน้นหนักในทุกลีลาการขับขี่ ตั้งแต่ระบบ ป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) ที่คงจับมือมากับระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (ESP) และ ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP) ในขณะที่การเบรคมั่นใจแบบสั่งได้ผ่านชุดดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ระบบป้องกันล้อล็อค ABS กระจายแรงเบรก ผ่าน EBD ที่เสริมการทำงานแรงเบรคผ่านระบบไฮโดรลิก HBA ซึ่งยังพก3 เทคโนโลยีใหม่เริ่มจาก Hill Start Asist ที่ช่วยหน่วงการทำงานแรงดันเบรค 2 วินาที ในยามที่รถติดอยู่บนเนินชัน มาพร้อมระบบช่วงล่างยกตัวอัตโนมัติ (Self levelizer) ช่วยปรับระนาบของรถ และสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ Hill Decent Control ที่รักษาความเร็วยามลงเขาหรือทางชัน ก็ยังมาให้มั่นใจเหมือนเดิม

2011 Chevrolet Captiva Minorchanged

ทั้งนี้ Chevrolet Captiva Minorchanged 2011 จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเดือนหน้า โดยในครั้งนี้ทางค่ายโบว์ไทนได้มีการแนะนำ พรีเซ็นเตอร์ นาย มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานจ์ และ เกม ดวงพร ลือกิตินันท์ ควงคู่มาเป็นตัวแทนการนำเสนอเรื่องราวสมรรถนะ และเทคโนโลยี ที่ก้าวล้ำในCativa รุ่นใหม่ ส่วนราคาจำหน่าย เริ่มต้นที่ 1,198,000 และสูงสุดที่ 1,580,000 บาท

Sanook! Auto Comment

การมาของรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ของค่ายรถยนต์รายนี้ค่อนข้างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากมายหลายรายการ ดดยเฉพาะ ในใครที่ชอบความสบายของห้องโดยสาร ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีคงจะถูกใจมากขึ้น เช่นเดียวกับสมรรถนะที่น่าจะดีขึ้น ซึ่ง ในวันที่ 13-14 นี้ ทางทีมงานเราได้รับเชิญให้ไปร่วมขับทดสอบันอย่างถึงพริกถึงขิง และเราคงจะมีอะไรเกี่ยวกับเจ้าอเนกประสงค์ใหม่นี้มาเล่าให้ฟัง




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2554   
Last Update : 23 มิถุนายน 2554 22:19:44 น.   
Counter : 1663 Pageviews.  

Mazda RX-8 รถในฝันของหลายๆคน

เมื่อ ปี 2003 รถสปอร์ตที่มากด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง RX-8 ได้ถูกเปิดตัว พร้อมรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวอย่างมีสไตล์ ล่าสุดทาง Mazda ก็ได้เข็นเอา RX-8 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ที่ได้แต่งหน้าทาปากใหม่ให้ได้ยลโฉมกัน

รูป ลักษณ์ใหม่ของ RX-8 มีความโฉบเฉี่ยวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไฟหน้าถูกออกแบบใหม่ให้มีรูปทรงที่เรียวมากขึ้น กันชนหน้า-หลังและไฟท้ายก็ได้รับการดีไซน์ใหม่ ช่องระบายด้านข้างหลังแก้มหน้า ออกแบบใหม่ให้เป็นไฟเลี้ยวไปในตัว ส่วนล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ก็เป็นลายใหม่ที่มีรูปทรงของโรตารี่แฝงอยู่ด้วย ส่วนภายในก็ได้เปลี่ยนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายกับของ MX-5 รวมถึงมาตรวัดต่าง ๆ ก็ถูกออกแบบใหม่เช่นกัน


ทาง ด้านเทคนิค Mazda ได้จัดการติดตั้งเหล็กค้ำโช้คหน้าใหม่ ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าของเดิม ระบบกันสะเทือนด้านหลังได้ปรับมุมองศาจุดยึดของอาร์มต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพการเกาะถนนที่เป็นเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้ปรับอัตราทดเกียร์ของระบบเกียร์ธรรมดาใหม่ ให้มีความจัดจ้านมากกว่าเดิม

สำหรับ เครื่องยนต์นั้น ยังคงเป็นแบบโรตารี่บล็อกเดิม ซึ่งทาง Mazda บอกว่าข้อดีของการวางเครื่องยนต์โรตารี่นั้น นอกจากจะให้กำลังที่จัดจ้านในรอบสูงแล้ว บล็อกเครื่องยนต์ยังมีขนาดเล็ก ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าพวกเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ หรือ V6 กว่าหลายเท่าตัว

Mazda RX-8
แบบเครื่องยนต์ Renesis 2 Rotor
ปริมาตรกระบอกสูบ 1.3 ลิตร
กำลังสูงสุด 232 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 22.0 กก.-ม.
ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง
ระบบเกียร์ ธรรมดา 6 สปีด
ระบบกันสะเทือน (หน้า/หลัง) ดับเบิลวิชโบน / มัลติลิงค์
ระบบเบรก (หน้า/หลัง) ดิสก์ ช่องระบายความร้อน
มิติ (ย. x ก. x ส.) 4,430 x 1,770 x 1,340 มม.
ความยาวฐานล้อ 2,700 มม.

mazda rx 8 wallpapers. Mazda RX-8

//www.grandprixgroup.com




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2554   
Last Update : 22 มิถุนายน 2554 19:57:11 น.   
Counter : 3447 Pageviews.  

Ford Focus 2012 5-Door มั่นใจทุกการขับขี่




Ford Focus 2012

Ford Focus 2012 ด้วยเทคโนโลยีและประสิทธิภาพในการขับขี่ที่มั่นใจมาโดยตลอด ภายใต้แบรนด์ Ford ที่มาพร้อมกับถังน้ำมันตัวใหม่ จะทำให้คุณรู้สึกสนุกไปกับการขับขี่ ซึ่งฟอร์ด โฟกัส 2012 นี้จะออกวางจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิในปี 2011 เป็นต้นไป

เครื่องยนต์ Ti-VCT ขนาด 2.0 ลิตร 160 แรงม้า และล้อแมกซ์ ขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับการป้องกันการโจรกรรมด้วยชุดล็อคล้อชุบโครเมี่ยม พวงมาลัยเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกใหม่ (EPAs) ที่ตอบสนองต่อการบังคับที่รวดเร็วและคล่องแคล่วแม่นยำ ระบบเบรก ABS ที่มาพร้อมระบบป้องกันการล็อค และระบบล้อยึดเกาะถนนซึ่งเป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกคันใน ฟอร์ด โฟกัส 2012 คุณจึงมั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ขับขี่มีความปลอดภัยสูงสุด

ราคา 2012 ฟอร์ด โฟกัส เริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 720,000 บาทครับ ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ทั้งพลังการขับเคลื่อนที่คล่องตัว การบังคับที่ง่ายดาย และความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน ถือว่าคุ้มมากครับสำหรับ Ford Focus 2012

ถ้าใครสนใจ และชอบแบรนด์ฟอร์ดอยู่แล้ว อย่ารอช้า รีบจับจองมาเป็นเจ้าของไว้สักคันนะครับ เอารูปมาให้ดู เพื่อช่วยในการตัดสินใจครับ




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2554   
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 17:56:14 น.   
Counter : 1430 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]