~~ 18 - 19 มีนาคม ชมดอกไม้ฤดูร้อนที่ภูหลวง ~~
ทริปนี้ผมจัดเอง รวมตัวกันได้ 20 คน 2 คันรถตู้ ออกเดินทางคืนวันที่ 17 มีนาคม ไปแวะดูอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภูเรือ แล้วค่อยไปภูหลวงตอนสายๆ ค้างหนึ่งคืนที่บ้านพักของทางเขตฯ แล้วกลับในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้นเนื่องจากภาพเยอะมาก ในส่วนนี้เลย ลงแต่ภาพวิวก่อน แล้วจะลงภาพดอกไม้ในส่วน Comment ต่อไป เผื่อจะได้ไม่โหลดนาน (ไหมหว่า)เช้าวันที่ 18 มากันที่ยอดภูเรือ มองลงไปเห็นผาโหล่นน้อย ที่เดินผ่านขึ้นมา แล้วก็ถึงเวลาอาทิตย์ขึ้นพระพุทธรูปที่ยอดภูเรือ (เอียงนิดนึงเปล่าหว่า)แล้วก็มาที่ภูหลวงต่อ ณ ผาช้างผ่านแล้วเดินต่อไปยังผาสมเด็จมาถึงผาสมเด็จมองไปไกลๆ เห็นผาเตลิ่น ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปใกล้ถึงแล้วเมื่อมาถึงผาเตลิ่นก็ลองมองกลับไปที่ผาสมเด็จ เราเดินมาไกลเหมือนกันนะเนี่ยต้นกุหลาบแดงขึ้นแม้กระทั่งริมผาเจ้าหน้าที่ ที่นำทางเรามา พบควันลอยขึ้นมาจากป่าไกลๆ พอดี จึงเรียกวิทยุแจ้งเหตุไฟป่าแล้วก็เดินมาดูเท้าไดโนเสาร์ ก่อนจะเดินกลับกันวันรุ่งขึ้น ไปดูอาทิตย์ขึ้นกันที่ผาช้างผ่านแล้วก็เดินต่อในเส้นทางผาเยือง เจอหินรูปนกกระบาแล้วก็เดินวกกลับมาถึงผาเยือง ที่ตั้งของพระตำหนักก่อนจะกลับ แวะมาถ่ายหน้าที่ทำการ ยินดีต้อนรับ (เอาไว้คราวหน้าจะมาให้ต้อนรับใหม่นะ)รูปวิวมีน้อย รอดูรูปดอกไม้ต่อด้านล่างนะ
~~ 10 - 13 กพ. 49 อช.ตะรุเตา คนเดียว แต่เพื่อนเยอะ ~~
ทริปนี้ ผมไปเที่ยวแบบกึ่งคนเดียว เพราะว่า ไปคนเดียว แต่ไปแจมกับเขาไปเรื่อย ทั้งกลุ่มที่รู้จักกันนานแล้ว กลุ่มที่เพิ่งรู้จักในเน็ทก่อนไป และกลุ่มที่ไปรู้จักที่นั่น เริ่มเดินทางด้วยรถทัวร์ บ.ทรัพย์ไพศาล ชั้นครึ่ง 48 ที่นั่ง สภาพไม่ค่อยดี ดูเก่าหน่อย แถมด้วยกลิ่นจากของที่วางอยู่ใต้รถก็ลอยขึ้นมาด้วย(ประเภทของตากแห้งทั้งหลายนั่นแหละ ทำเอาเซ็งเลย) แต่ราคากลับสูงกว่าที่เคยถามไว้ คือ 691 บาท (ก่อนหน้านี้เพิ่ง 639 เอง)เดินทางออกจากสายใต้ใหม่เวลา 6 โมง ครึ่งกว่าๆ (เวลา 6 โมง 20 ของคนไทยนั่นแหละ หุหุ) แล้วก็ไปถึง อ.ละงู ประมาณ 8 โมงเช้า ลงที่หน้าวัดอะไรสักอย่าง ฝั่งตรงข้ามจะเป็นจุดซื้อตั๋วรถขากลับของทรัพย์ไพศาลนั่นแหละ แวะซื้อตั๋วขากลับก่อนเลยก็ดีนะ ที่นี่เองผมก็ได้เจอกลุ่ม 12 คน ซึ่งพอกลับจากทริปแล้วแปลกใจที่ กลุ่มนี้ เจอกันตั้งแต่บนรถ ยันกลับกทม. ไปก็ที่เดียวกันหมด แต่ไม่ทำความรู้จักกันเลย ได้คุยกันไม่กี่คำเองด้วย มีแต่ยิ้มให้แล้วก็ทักว่า "อ้าวเจอกันอีกแล้ว" เหอๆ ทำไมหว่าจากนั้น ผมก็เดินแบกสัมภาระหนักอึ้ง ไปที่วินรถสองแถว บริเวณหน้าตลาด ซึ่งเป็นร้านโรตีอยู่ (ที่จริงก็มีรถสองแถวกระบะสีส้ม ที่ด้านข้างเขียนว่าไปปากบารา ขึ้นไปก็จะมาพักที่วินรถสองแถวนี้ก่อนแหละ แต่ผมไม่รู้ ก็เลยเดินเอาจนถึงวิน ราวๆ 500 ม. -_- เหนื่อยวุ้ย ) ก็พักทานโรตีกับโอวันติน กาแฟ เป็นอาหารเช้ากันก่อน หรือใครจะเดินเล่นในนั้นหาอะไรทานก็ได้นะ(ไม่ต้องรีบไปหรอกครับ เพราะ เรือออกรอบเร็วสุดก็สิบโมงครึ่ง)ร้านโรตีจากบนรถสองแถวหลังจากที่คิดว่า ถึงเวลาอันสมควร (หรือเดินจนเบื่อแล้ว) ก็ขึ้นรถสองแถวนั้นไปที่ท่าเรือปากบารา ค่ารถก็ 15 บาท เท่านั้น กับระยะทางเกือบ 20 กิโล (แต่จริงๆแล้ว ผมมาถึงกินแล้วก็ไปท่าเรือเลย ถึงท่าเรือตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง รอไปสิ เรือเร็วออก 11 โมงครึ่ง เหอๆ)ออกรถแล้ว ผู้โดยสารแค่ 2 คนเองเมื่อถึงท่าเรือแล้ว จะเห็นว่ามีที่ขายตั๋วหลายที่เหลือเกิน แต่ยังไงๆ ที่แนะนำก็คือเรือเร็ว เท่านั้น เพราะราคา 1000 บาท แพงกว่าเรือช้าแค่ 100 เดียว แต่ไวกว่าเยอะ (ออกช้ากว่า 1 ชม. แต่ไปถึงก่อน ครึ่ง ชม.) ซึ่งก็มีอยู่เจ้าเดียว คือของ บริษัท ตะรุเตา สปีดโบ้ท เฟอร์รี่ทีม ดูรายละเอียดได้ที่ //www.tarutaospeedboat.com/ (แต่เวลาออกไม่ตรงนะ) จะโทรไปลงชื่อจองก่อนแบบผม หรือว่าไปถึงแล้วซื้อเลยก็ได้ ที่ขายก็อยู่ตรงหน้าทางขึ้นเรือเลย เห็นได้ง่ายตั๋วจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ปากบารา - ตะรุเตา , ตะรุเตา - หลีเป๊ะ , หลีเป๊ะ - ตะรุเตา , ตะรุเตา - ปากบารา ไปแค่ไหนเขาก็จะฉีกไปแค่นั้นเวลาเยอะครับ ถ่ายไปเรื่อย นกนางแอ่นนกที่เขาเลี้ยงไว้ เอามุมมองแบบดูต้องการอิสระซะหน่อย กะว่าจะให้สะท้อนใจอ่ะ รู้สึกกันไหมเนี่ย หืมมมมมพอถึงเวลาใกล้ๆ 11:30 น. ผมก็หาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยงซะก่อนเลย ที่ท่าเรือตรงที่นั่งรอนั่นแหละ มีอาหารตามสั่งราคาจานละ 30 ก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 ร้านนี้ลุงเจ้าของร้านแกคุยเป็นกันเองดี กินอิ่มแล้วก็ซื้อน้ำขวดถุงละ 6 ขวด 20 บาท จากร้านตรงนั้น จะได้เอาไว้กินบนเกาะ จะได้ไม่ต้องซื้อน้ำแพงๆ บนเกาะ (กระป๋องละ 20 น้ำเปล่า 1.5 ลิตร 20 บาท) แล้วก็ขนของขึ้นเรือสำหรับเรือเร็วนี้จะมีอยู่ 2 ลำ คือ สตูล1 และ Tiger1 แต่เลือกลำไม่ได้นะถ้าได้ สตูล1 ก็ถือว่าดีมา เพราะเร็วกว่า Tiger1 พอสมควรแต่ถ้าได้ Tiger1 นอกจากจะช้ากว่า สตูล1 แล้ว แถมถ้าวิ่งย้อนลม คนที่อยู่บนดาดฟ้าก็ต้องระวังหน่อย เพราะอาจจะได้อาบน้ำโดยไม่เต็มใจได้ เนื่องจากละอองน้ำเยอะมากๆ (ผมโดนตอนขากลับ ต้องรีบไปมุดใต้ครีบด้านหน้า นั่งกอดเข่ายังกะขอทานหลบฝนใต้สะพานลอยแน่ะ -_- ... แต่อย่าหวังว่าจะหลบพ้นนะ เพราะน้ำมันจะไหลมาตามครีบแล้วลงพื้นกระเด็นขึ้นมาโดนอยู่ดี เวรกรรม... )สตูล1 เอาถังมายืนยันเด็กฝรั่ง น่ารักดี ผมรักเด็กนะครับ เหอๆเรือจะใช้เวลาวิ่งประมาณ ครึ่ง ชม. ก็จะมาถึงเกาะตะรุเตา แล้วจะมีเรือหางยาวออกมาถ่ายคน ขี้น - ลง เรือ ซึ่งคนที่จะลงตะรุเตา ก็ต้องเสียเงินให้เรือหางยาวนี้อีก เที่ยวละ 20 บาท ต่อคนเมื่อถ่ายคนเรียบร้อย เรือก็จะเดินทางต่อไปหลีเป๊ะ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชม. โดยจะผ่านเกาะกลางแบบลิบๆ แล้วเรือก็จะไปจอดบริเวณหน้าหาดพัทยา แล้วก็จะมีเรือหางยาวมารับเช่นกัน ลงลำไหนก็ได้ แล้วบอกให้ไปส่งที่ๆ เราต้องการ ค่าบริการก็ 40 บาทตลอดสาย (ตอนผมลง เสียเวลาตรงนี้มาก อย่างเซ็งเลย เพราะแวะไปส่งฝรั่งบนเกาะหลีเป๊ะ 5 - 6 จุดก่อน กว่าจะได้ไปอาดัง แถมบางจุด มันก็หาดเดียวกันแหละ แต่กลัวฝรั่งไปไม่ถูก เรือก็เลยต้องแล่นออกมาน้ำลึก แล้วก็อ้อมฝ่ากองปะการัง เข้าไปใหม่เมื่อมาถึงจุดส่ง หาดเดียวกันนั่นแหละ -_- ดังนั้นแนะว่าหาลงเรือลำเดียวกับพวกกลุ่มใหญ่ๆ จะได้ไปส่งน้อยจุด จะได้ไม่ต้องมาน่งบ่นแบบผม )หาดหลีเป๊ะ เห็นแค่นี้จะนึกไรออกไหมนี่ หุหุหลังจากเรือมาส่งถึงเกาะอาดังแล้ว ผมก็เข้า Check in ที่ประชาสัมพันธ์ โดยเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 20 บาท แล้วก็สามารถลงชื่อจองโปรแกรมเหมาเรือออกดำน้ำได้เลย จุดนี้ก็มาเจอกลุ่ม 12 คนอีกแล้ว เขามาเรือช้า แต่ดันมาถึงก่อน (ก็เพราะไม่ต้องแวะส่งคนเยอะแบบผมไง)โปรแกรมดำน้ำก็จะมีอยู่ 4 โปรแกรมคือ1. 1000 บาท ไปไม่กี่จุด จำไม่ได้2. 1800 บาท ไปราวๆ 7 จุด รอบๆ เกาะอาดัง - ราวี3. 2000 บาท ไปแค่ 3-4 จุด แต่ไปถึงเกาะกลาง เกาะไข่ (วันไหนลมแรงก็ไปไม่ได้นะ)4. Package 2 วัน 2500 บาท ไปรอบๆ เกาะครบทุกจุด แต่ไม่ได้ไปเกาะกลางและเกาะไข่เรือรับได้ 8 คน ก็หารกันเอาเองว่าคนละเท่าไหร่ ไม่เต็มก็ดูคนที่มาลงชื่อได้ อาจจะจัดลงเรือลำเดียวกันได้ผมก็ลงชื่อว่าจะแจมกับเขาแหละ (แต่เอาจริงๆ ก็หนีไปแจมขึ้นเรือใหญ่ ที่เพื่อนอีกกลุ่มในเวป Ontotour เขาไปกัน หุหุ)ลงชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ไปหาทางกางเต๊นท์ ที่เกาะอาดังนี้ กางได้ตลอดแนวหาดเลย ไม่ได้แบ่งเขตอะไร ผมก็เลือกไปกางแถวๆ ในป่าสนทางทิศตะวันออก เพราะเห็นว่าลมแรงดี แต่พอกางเสร็จ ไปเดินเล่นเดี๋ยวเดียว กลับมาก็พบว่าเต๊นท์หกคะเมนไปซะแล้ว จากแรงลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งๆ ที่ทั้งถ่วงน้ำหนักและปักสมอไว้อย่างดี ก็เลยต้องย้ายเข้ามาในป่าสน ลมเบาลงหน่อย แต่ก็ยังแรงพอที่จะพัดให้เย็นสบายในเวลากลางคืนได้ (เพื่อนที่พักบ้านพักทางหาดตะวันตกบ่นร้อนกันอุบเลย หุหุ)กางเต๊นท์แบบนี้แหละ อยู่ได้ไม่นานก็คว่ำ ต้องหนีไปอยู่ในป่านู่นแน่ะหน้าหาดทางตะวันออกของอาดังพอเวลาเย็นๆ ใกล้เวลากินข้าวผมก็ไปสั่งอาหารไว้ก่อน ถึงเวลาจะกินจะได้ไม่ต้องรอนาน อาหารที่นี่ราคาก็แพงไม่มาก อาหารจานเดียวตามสั่งเมนูสิ้นคิดก็จะอยู่ที่ 45 บาท (ผมกินแบบนี้ทุกมื้อแหละ ประหยัดสุด เหอๆ) แต่ถ้าเป็นเซ็ท มื้อเช้าก็ 50 บาท มื้อเที่ยงกับเย็นจำไม่ได้ น่าจะราวๆ 100 บาท แต่ต้อง 4 คนขึ้นไปด้วย พวกนี้ก็จะมีพวกปลาทอดเป็นตัวๆ ให้ด้วย หลังสั่งอาหารแล้ว ใครจะฆ่าเวลาโดยเดินขึ้นผาชะโดไปดูอาทิตย์ตกวิวมุมสูงก็ดี(แต่ไม่รับประกันว่าเห็นนะ เพราะผมขึ้นตอนเช้าน่ะ แต่คิดว่าตอนเย็นก็อาจจะเห็น) ใช้เวลา ขึ้น - ลง และชมวิว ประมาณ ชม.กว่าๆ ถึงชม.ครึ่ง ยังไงก็เตรียมไฟฉายไปด้วยก็ดี เพราะอาทิตย์ตกแล้วลงมาก็คงมืดน้ำทะเลใสเชียว แต่หาดไม่ขาวเท่าไหร่ หยาบอีกต่างหากวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปดำน้ำกับเรือใหญ่ เรื่องอาหารกลางวัน มีสองทางคือ สั่งหิ้วไปตั้งแต่บนฝั่ง หรือไปสั่งกินบนเกาะราวี ถ้าคนเยอะ แนะนำว่าหิ้วไปเองดีกว่า (แต่ผมกินฟรีบนเรือใหญ่ที่เพื่อนเหมาไปนั่นแหละ หุหุ)จุดแรกของการดำน้ำที่อยากให้ไปก่อนคือ ร่องน้ำจาบัง ไปเพื่อดูว่าน้ำแรงไหม ถ้าแรงก็ค่อยกลับมาเป็นจุดสุดท้ายอีกรอบ ซึ่งยังไงก่อนออกดำน้ำ ลองถาม จนท. ดูว่าจะมีเชือกให้เกาะไหม (ผมไปกับเรือใหญ่ของเพื่อน ก็เลยมีเชือกให้เกาะ ไม่งั้นโดนพัดปลิวแน่ เพราะน้ำแรงมากๆ)เรือลำนี้แหละ ที่ผมเกาะไปดำน้ำด้วยเก็บวิวริมทางไปเรื่อยหาดทรายขาว เกาะราวี ถ่ายไปสิขอนไม้เนี่ย ถ่ายจนตอมันอยากจะวิ่งหนีกล้องแล้วน้ำใสจนเห็นก้อนปะการังชัดเชียวเจอไม้เป็นไม่ได้ ก็งี้แหละคนโสดครับ ไม่มีนางแบบ หาอะไรอยู่ที่หาดก็ถ่ายไว้ก่อนเห็นไหม กับหมาก็ยังไม่เว้นมันนอนอยู่ก็ยังจะไปถ่ายมาถึงเกาะหินงามต้องขอบคุณ Filter ND ครึ่งซีก ที่ช่วยทำให้ฟ้าไม่ขาว อิอิ ของเล่นใหม่ครับ ฝีมือไม่มีก็เอาอาวุธเข้าช่วยเงาผู้สูงอายุจากเวป Ontotourวันต่อมา ผมจะไปต่อที่ตะรุเตา ช่วงเช้าหลังกินมื้อเช้า ผมก็ขึ้นผาชะโด แล้วก็กลับลงมาเก็บข้าวของแล้วไป Check Out จ่ายค่ากางเต๊นท์คืนละ 30 บาท แล้วไปเดินเล่นรอเวลาขึ้นเรือหางยาวตอน 9 โมงครึ่ง (เสียอีก 40 บาท) เพื่อจะขึ้นเรือใหญ่ให้ทันออกตอน 10 โมงเช้า นั่งกลับไปตะรุเตา 1 ชม. แล้วก็ต่อเรือหางยาวไปลงที่ท่าเรือเกาะตะรุเตา (เสียอีก 20 บาท) แล้วก็ไป Check in ที่ท่าเรือ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท เพราะเราเสียไปที่อาดังแล้ว พร้อมกันนั้นก็ถามทาง จนท.เลยว่า มีใครเหมารถไปอ่าวตะโล๊ะวาวกับอ่าวสนหรือเหมาเรือไปถ้ำจรเข้ไหม (ตอนผมไปเจออีกกลุ่มกำลังหาคนแชร์เหมารถรอบเที่ยงครึ่งพอดี เลยได้แจมแบบต้องรีบไปกางเต๊นท์) จากนั้นก็ไปหาที่กางเต๊นท์ ตามแนวหน้าชายหาด (ชอบที่กางเต๊นท์ที่นี่มาก เพราะทำเลดีมาก มีโต๊ะให้ด้วย) ผาชะโด2 จุดสูงสุด แต่ไม่สวยสุดผาชะโดข้างล่างลงมาหน่อย สวยกว่าเพราะเห็นหาดกลับมาที่หน้าหาดด้านล่างระหว่างรอขึ้นเรือเกาะหลีเป๊ะ โดยมีเกาะอาดังเป็นฉากหลัง ดูสิ ตอนจะกลับ ฟ้าใสเชียวพอผมกางเต๊นท์เสร็จก็รีบไปรอขึ้นรถที่นัดไปด้วยกันตอนเที่ยงครึ่ง แล้วรถก็มาตอนบ่าย (อ่าว ก็เที่ยงครึ่งของคนไทยนี่ หุหุ) แล้วก็ไปอ่าวตะโล๊ะวาวกัน แล้วก็เดินเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์คุกตะรุเตาโดยมีไกด์ช่วยบรรยายให้อย่าดีด้วย(อย่าถามชื่อผมนะ เพราะไม่เคยจำได้เลย เหอๆ) แล้วก็ไปอ่าวสน แล้วก็แวะอ่าวเมาะแล๊ะ ที่มีบ้านพักสวยๆ แต่โทรมๆ ก่อนจะกลับมาถึงที่ทำการตอน 5 โมงกว่าๆถนนระหว่างไปอ่าวตะโล๊ะวาวอ่าวตะโล๊ะวาวอ่าวตะโล๊ะวาว มุมใกล้หน่อยข้างกลังก็ยังจะไปถ่ายมันอีกใต้ท่าเรือ ดูแล้วขนลุกวุ้ย เพรียงเกาะหนาตึ๊บได้เวลาเข้าคุกซะแล้ว ดูแผนที่กันก่อนท่าเรือ เขาว่าเมื่อก่อนมันยาวกว่านี้ แต่พังไปแล้วทำใหม่แค่นี้พอตึกแดง เขาก็ว่าสร้างผิดแบบ อยากรู้ หาเอาเองโฟกัสพลาดอ่ะ จะให้ดูว่าอิฐมาจาก บบท. แปลว่า บางบัวทองเลยนะเนี่ย จริงๆ อันนี้ซีเรียส ไม่ได้มุกนะเอ้อกลับมาที่อ่าวตะโล๊ะวาวอีกรอบก่อนจากเจ้านี่ชื่อปีโป้ ไม่สู้กล้องเลย จะถ่ายเป็นเดินหนีมาถึงอ่าวสนไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่เจองูด้วย ในที่สุด เจ้าตัวที่อยู่บนหัวผมก็มีเพื่อน เอิ๊กๆอ่าวเมาะและหาดหน้าอ่าวเมาะและ เงียบ สงบดีจริงๆบ้านพักดูหรูดีไหมครับมุมบนเหล่าเต๊ง สวยไหม (แต่ตอนขึ้นลงดูบันไดดีๆ นะครับ มันผุแล้ว)เล่นมั่ว WB ซะหน่อย ไม่มีอะไรเล่น เพราะตอไม้ก็ไม่มี 555+กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำซะหน่อย แล้วก็เดินริมหาดกะว่าหาวิวถ่ายประภาคารสวยๆ มองไปเรื่อยๆว่าจะไปจุดไหนดี ก็ไปสังเกตุเห็นขาตั้งกล้องมากมาย กองอยู่กระจุกเดียวกัน ที่แท้ก็เพื่อนๆ จากเวป pai-pa.com ที่ผมทำความรู้จักไว้ในเวปก่อนมานั่นเอง (จริงๆ เจอกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขี้เกียจเล่าวุ้ย ตู๊ว่าเพิ่งเจอแล้วกันนะ หุหุ) ก็เลยเข้าไปแจมถ่ายกับเขาด้วยเลยชุดนี้เป็นประภาคารทั้งน๊านน ดูไปเรื่อยๆ นะหาแบบนี้ตั้งนานไม่เจอ มาเจอเอาตอนขากับ ตั้งขาตั้งแทบไม่ทัน เห็นแล้วอิจฉาวุ้ยหลังจากถ่ายจนพอใจแล้ว(จริงๆ ยังไม่พอใจหรอก แต่แสงมันหมดแล้วอ่ะ) ก็ไปเตรียมกินข้าวที่ร้านอาหารที่นี่ราคาก็ไม่หนีจากอาดังมากนัก ส่วนใหญ่จะพอๆ กัน (ผมกินแต่อาหารสิ้นคิดอ่ะ ราคาเท่ากัน เลยไม่ได้สังเกตุอย่างอื่น แหะๆ แต่เขาว่าแพงกว่าอาดังนิดหน่อย แต่เมนูสิ้นคิดก็มีข้าวผัดอเมริกันเพิ่มขึ้นมานะ ที่อาดังไม่มี แถมแค่ 50 บาทเองด้วย )สรุปง่ายๆ กิจกรรมบนเกาะตะรุเตาก็จะมี- เหมารถ ราคา 600 บาท ไปอ่าวตะโล๊ะวาว เพื่อชมวิวท่าเรือสวยๆ แล้วเดินเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์คุกตะรุเตา และไปอ่าวสน และอาจจะแวะอ่าวเมาะและ (เหมารถนี้ ถ้าช่วงอากาศปลอดโปร่งไม่มีมรสุม แนะนำให้ไปตั้งแต่เช้ามืด เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่าวตะโล๊ะวาว ซึ่งเขาว่าสวยมากๆ แต่ผมไม่ได้ไปเพราะช่วงมรสุมเข้าพอดี เมฆเลยเยอะ) ใช้เวลาประมาณ 5 ชม.- เหมาเรือ ราคา 800 บาท(มั้ง เพราะไม่ได้ไปอีกแล้ว) เพื่อไปถ้ำจรเข้ อันนี้ถามคนที่ไปมา ต่างก็บอกว่า..... ไม่มีอะไรเลย -_- แต่ถ้าเวลาเหลือและคนแชร์เยอะก็น่าไปดูซะหน่อย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. มีเหมาเรือไปที่อื่นด้วยนะ ราคาก็แตกต่างกันไป ต้องถามจนท. ดูเองนะ- เดินขึ้นจุดชมวิวผาโต๊ะบู ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. แบบชิวๆ แนะนำให้ขึ้นตอนอาทิตย์ตกดินก็คงสวยใช้ได้ (แต่ผมก็ขึ้นตอนเช้า แหะๆ)- ชมการบรรยาย ตอน 2 ทุ่มครึ่ง ไม่รู้ว่ามีวันไหนบ้าง สอบถามจนท. ดูเอง รู้แต่ผมไม่ได้ดูอีกแล้ว มุดเต๊นท์ตั้งแต่ 2 ทุ่ม อิอิเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ตื่นตั้งแต่ 6 โมง แล้วก็ขึ้นไปที่ผาโต๊ะบู .... ไม่เห็นอาทิตย์ขึ้นหรอก แต่ก็อากาศดีใช้ได้ แล้วก็ลงมาเก็บของไป Check out ที่ท่าเรือ ราวๆ 10 โมงครึ่ง เพื่อเตรียมขึ้นเรือตอน 11 โมง (เวลาคนไทย ตอนผมมาจริง เที่ยง เหอๆ) จ่ายค่าที่พัก ก็คืนละ 30 บาทเช่นกัน ผาโต๊ะบูในเต๊นท์ ดูแล้วหดหู่วุ้ยออกมาข้างนอกก็เหงาๆปากอ่าวพันเตมาละกา (โอ้ เพิ่งนึกชื่ออกตอนจะจบนะเนี่ย -_-)พระบรมรูป ร.5เก็บนกนางแอ่น รอเวลาขึ้นเรือไม่วายเก็บประภาคารอีกเก็บไปเรื่อย ว่างจัดเจอขอนไม้อีกแล้ว ตั้งชื่อมันซะเลย "ขอนไม้ที่ว่างเปล่า" อิอิเมื่อถึงเวลาก็ขึ้นเรือหางยาวไปขึ้นเรือใหญ่(จ่ายอีก 20 บาท) แล้วก็กลับถึงฝั่ง กินมื้อเที่ยงที่ร้านลุงตรงท่าเรือ แล้วเดินไปขึ้นรถสองแถวกลับไปในเมือง ลงที่หน้าที่ซื้อตั๋วขากลับ เวลาเหลือเยอะ ก็เลยไปเดินตลาดในเมืองเล่นก่อน (ไม่รู้เค้ารับฝากของหรือเปล่านะ ถ้าไม่มีก็อาจต้องแบกไปด้วย แต่ผมแจมอยู่กับกลุ่ม pai-pa เลยมีคนเฝ้าให้ หุหุ ) พอถึงเวลาขึ้นรถ ( 3 โมง 45 ) ก็ขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ถึงก็ราวๆ ตี 5 กลับบ้านอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวทำงานต่อพอดี ( โอ้...ชีวิต หุหุ )อะไรมันจะดึงดูดปานนั้น ไอ้ประภาคารเนี่ยคนขับเรือกำลังรอเรือใหญ่เบ็ดเสร็จ สำหรับผม ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ราวๆ 37xx บาท แพงกว่าที่คาดไว้ที่ 3300 บาท ก็เพราะ ของฝาก ของที่ระลึก และน้ำกระป๋อง ที่เหนื่อยก็เป็นดื่ม (ป๋องละ 20 บาท)เป็นค่ารถทัวร์ ขาไป 691ค่ารถทัวร์ ขากลับ 639 (เพราะของคนอื่นซื้อไว้ก่อนผม)ค่าเรือ 1000ค่ารถสองแถว 15 x 2 = 30ค่าเรือหางยาว ( 40 x 2 ) + ( 20 x 2 ) = 120ค่าอาหาร 11 มื้อ ( 20 + 30 + 45 ) + ( 45 + 45 + 45 ) + ( 45 + 45 + 45 ) + ( 45 + 30 ) = 440ค่าดำน้ำ โปรแกรม 2 1800 บาท หาร 8 คน = 225ค่าเหมารถบนเกาะตะรุเตา 600 บาท 10 คน = 60 บาทค่าเหมาเรือไปถ้ำจรเข้ .... ไม่ได้ไปอ่ะค่าของที่ระลึก ... แล้วแต่ จำไม่ได้ค่าน้ำ + ขนม ... แล้วแต่ จำไม่ได้จบแล้วปล. ใครจะไปหลีเป๊ะ ไปหาอ่านของคนอื่น ทริปนี้ ไปแค่นี้ ก็รู้แค่นี้แหละ เหอๆ แต่ก็น่าไปนะ หาดสวย อาหารน่าอร่อย แต่งบสูงเท่านั้นเอง
~~ 17-19/1/49 พัทยามุมสูง ยามเย็น ~~
ไปสัมนาของ บ. มาที่พัทยา วันๆ ก็อยู่แต่ให้ห้องสัมนา มีโอกาสได้โผล่ออกมาถ่ายก็ยามเย็นนี่แหละ เลยมีแต่รูปช่วงเย็น (จริงๆ ตอนกลางวันก็ไม่มีอะไรเหมือนกันแหละ)ยามเย็นวันแรกซูมเข้าไปใกล้ๆ เก็บภาพแบบดวงโตๆ มีเจดีย์มาเป็นส่วนประกอบไม่เห็นอาทิตย์เป็นดวง แต่ก็สวยดีวันที่สอง เห็นเป็นทรงกลมชัดเจนเชียวค่อยๆลับขอบฟ้าเข้าสู่ความมืดแล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์ (เค้าดื่ม เราถ่าย(รูป))จะถูกจะแพง ก็เมาเหมือนกัน
~~ 30 ธค 48 - 2 มค 49 ติดเกาะหมู่ข้ามปี ที่หมู่เกาะสุรินทร์ ~~
ทริปติดเกาะข้ามปี ที่อช.หมู่เกาะสุรินทร์ หลังจากที่เคยไปมาแล้วตอนสงกรานต์ ไปคราวนี้เต่าก็ไม่เจอ ฉลามก็ไม่เจอ แต่ก็ยังดีที่อากาศไม่ร้อนเท่าเมษาเท่าไหร่ ลมแรง อากาศสบายๆณ ท่าเรือคุระบุรีเริ่มออกเดินทางก่อนหมดสัญญาณเมื่อมาถึงก็เตรียมดำน้ำกันชายหาดไม้งามปูเสฉวนกระจายอยู่ทั่วบริเวณหาดเด็กสาวชาวต่างชาติ ดูท่าสบายใจที่ได้นั่งรับลมเย็นบนต้นไม้หน้าหาดบางคนก็เล่นน้ำหน้าหาดยามน้ำขึ้นนั่งมองท้องฟ้า เมฆขาวๆ ล้อมรอบด้วยกิ่งไม้ กลางสายลมที่พัดลงทะเลยามเย็นป่าชายเลนเล็กๆ ข้างจุดขึ้นเรือ ส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางระบบนิเวศน์ของที่นี่หน้าหาดไม้งามยามน้ำลงให้เห็นลานปะการังน้ำตื้น เป็นดังโรงเรียนอนุบาลของสิ่งมีชีวิตแถวนี้ครอบครัวปลาสิงห์โตทั้ง 3 ตัว ที่เห็นได้ง่ายที่นี่ปลาไหลมอเล่ย์ ขนาดไม่ใหญ่นัก ก็มีให้เห็น หากสังเกตตามซอกปะการังให้ดีลูกปลาการ์ตูน Nemo สีส้มขาวสดใส ก็อยู่ตามกอดอกไม้ทะเลแถบนี้ด้วยยามเย็น เมื่อชายหาดหมดแสงตะวันตะเกียงหลอดไส้ก็เริ่มส่องแสงก็ได้เวลาเติมพลังมื้อสุดท้ายของวันด้วยไข่เจียวและผัดรวมมิตรทะเลยามเช้า ก็ออกเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติสู่หาดช่องเขาขาดข้างๆ มีบึงบัวสวยงาม อยากจะเดินเข้าไปริมบึง แต่หาทางไม่เจอชายหาดระหว่างทางที่เดินบ้างก็มีโขดหินสิ่งใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย หลังโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น เก็บภาพกันเป็นที่ระลึกณ หาดช่องเขาขาดเสาสัญลักษณ์ของชาวมอแกนแล้วก็ถึงเวลาต้องอำลาจากเกาะมุมเดิมกับคราวที่แล้ว แต่กล้องคนละตัวขากลับเมื่อใกล้ถึงฝั่ง ก็ได้แต่คิดว่า ทำไมบนเกาะนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆจบแล้วครับ
~~ 16 ธค. 48 วัดพระแก้ว ~~
ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ไปเดินวัดพระแก้วเล่นๆ หาเรื่องถ่ายรูปไปเรื่อยจบแล้วครับ