ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

นิสัยไม่ดี...ที่ทำให้เราไม่รวยสักที

นิสัยไม่ดี...ที่ทำให้เราไม่รวยสักที

ถ้าให้ขอพรหนึ่งข้อ เชื่อแน่ว่าผู้คนจำนวนมากจะขอให้ แต่ไม่ว่าจะขอยังไง หากไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างก็คงไม่มีวันรวยขึ้นมาได้ ลองมาดูกันว่านิสัยอะไรที่ฉุดรั้งเราไม่ให้เดินไปถึงคำว่ารวยสักที

1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีแล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่พัฒนา ไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต บางคนติดอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าคอมฟอร์ตโซน ทำให้ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต 

2. ไม่ขยันไม่พอ ขี้เกียจอีกต่างหาก คนประเภทนี้มักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยไม่ได้นึกว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

3. ฟุ้งเฟ้อ ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น สำรวจดูว่ารายได้กับรายจ่ายของเราไม่สัมพันธ์กันหรือไม่ ใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ไม่ขาดหรือเปล่า ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

4.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการรูดบัตรเครคิต บางคนรูดจนเพลิน แต่ต้องมานั่งกลุ้มใจตอนสิ้นเดือน

5.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

6. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม อย่างน้อยที่สุดควรออมเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือน โดยเมื่อได้เงินเดือนมาแล้วต้องหักเงินออมออกทันที แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ก่อนเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเหลือเก็บ

7. ไม่หาความรู้เรื่องการลงทุน การเก็บเงินไว้ในธนาคารอย่างเดียวไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด หากต้องการทำให้เงินของคุณงอกเงยมากขึ้น ต้องรู้จักวางแผนการลงทุน เช่นลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องรู้จักหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งการอ่านหนังสือ ไปอบรม ไปงานสัมมนา เป็นต้น 

8.ไม่มีวินัยทางการเงิน สิ่งสำคัญทั้งหมดทั้งปวงคือ คุณต้องมีวินัย ถ้าต้องจะเก็บออมก็ต้องบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ทำ 2-3 เดือนก็เลิก 

ทั้งหมด 8 ข้อที่ว่ามานี้ ถ้าหากคุณทำได้ อนาคตทางการเงินของคุณจะสดใสแน่นอน หากไม่เชื่อลองเริ่มทำดูตั้งแต่วันนี้กันเลยครับ



  • สนับสนุนเนื้อหา S! money




 

Create Date : 07 มกราคม 2557   
Last Update : 7 มกราคม 2557 16:45:43 น.   
Counter : 1014 Pageviews.  

ร้านสะดวกซื้อชิงทำเลทอง “โชห่วย“ รอวัน...โรยรา

ร้านสะดวกซื้อชิงทำเลทอง “โชห่วย“ รอวัน...โรยรา

หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ ถือเป็น "ธุรกิจดาวเด่น" ติดต่อกันมาหลายปี รวมถึงปี 2557 เนื่องจากจำนวนสาขาที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และปีนี้ต้องจับตามองอย่างยิ่งในแง่ของการแข่งขันที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเข้มข้นขึ้น เพราะเป็นสมรภูมิที่เต็มไปด้วยผู้เล่นรายใหญ่ที่มีศักยภาพทั้งสิ้น

นอกจากเจ้าตลาด "เซเว่นอีเลฟเว่น" ของกลุ่มซีพี ออลล์ ค่ายคู่แข่ง ต่างก็ได้จัดทัพ เพื่อจะเปิดเกมบุกอย่างหนัก ทั้งแฟมิลี่มาร์ท ของกลุ่มเซ็นทรัล และลอว์สัน 108 ของเครือสหพัฒน์ ที่ผนึกกำลังกับบริษัทแม่จากญี่ปุ่น ซึ่งทุกค่ายต่างมีความพร้อมทั้งในแง่เม็ดเงินลงทุน มีโนว์ฮาว มีความเชี่ยวชาญและพร้อมที่จะปูพรมสาขาเพื่อแย่งเค้กก้อนโต นี่ยังไม่นับรวมถึงแมกซ์แวลู ของกลุ่มอิออนจากญี่ปุ่น ที่ขยายตัวอย่างเงียบ ๆ

ปัจจุบันร้านสะดวกซื้อมีจำนวนร้านรวมกันมากกว่า 12,000 แห่ง โดยปีที่ผ่านมามีสาขาเปิดใหม่รวมกันกว่า 1,500 สาขา จากปกติที่มีสาขาเปิดใหม่เฉลี่ยเพียง 700-800 สาขา ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายเชิงรุกของหลาย ๆ ค่าย โดยเฉพาะเซเว่นฯที่เร่งสปีดและเปิดสาขาเพิ่มเป็น 540 สาขา จากปกติเปิดปีละ 500 สาขา ทำให้ตัวเลข ณ สิ้นปี 2556 มี 7,500 สาขา

"ปิยวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล" รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ย้ำเสมอว่า เซเว่นฯมุ่งศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนานวัตกรรม บริการ แบบวันสต็อปเซอร์วิส และสินค้า เน้นกลุ่มอาหารพร้อมทาน ชูภาพลักษณ์อิ่มสะดวก เพื่อมัดใจลูกค้าและฉีกหนีคู่แข่ง ควบคู่การเปิดสาขามุ่งสู่เป้าหมาย 1 หมื่นแห่งในปี 2560

ด้านแฟมิลี่มาร์ท ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีกมากกว่าปีที่แล้ว เปิดไป 240 สาขา บวกกับการเปลี่ยน ท็อปส์ เดลี่ เป็นแฟมิลี่มาร์ท 74 สาขา จากปีที่ผ่านมา ส่งให้ตัวเลขทะลุ 1,000 สาขาไปแล้ว และตั้งเป้าว่าภายในปี 2560 จะมี 3,000 สาขา

"ณัฐ วงศ์พานิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่ มาร์ท จำกัด กล่าวว่า คอนวีเนี่ยนมีการแข่งขันสูงมาก แต่ก็ถือเป็นเซ็กเมนต์ที่โตมากที่สุดในแง่ของรีเทล ถ้าแบรนด์เล็กจะเหนื่อย สายป่านต้องยาว รายใหม่ ๆ จะเริ่มใหม่ไม่ง่าย การขึ้นเป็นอันดับ 1 คงยาก เพราะจำนวนสาขาห่างกันมาก แฟมิลี่มาร์ทเองก็ต้องพยายามหาจุดที่มีความชัดเจนในตัวเองให้ได้ หาจุดยืนให้ได้ในตลาด

"หลัก ๆ จะมุ่งไปที่การพัฒนาสาขาและทดลองรูปแบบใหม่ ๆ หลายโมเดล เพื่อสร้างจุดต่างและเอกลักษณ์ พยายามหาจุดยืนที่มีความชัดเจน ส่วนหนึ่งก็คือการเน้นเรื่องของการเลือกสินค้านำเสนอในร้าน"

ขณะที่ลอว์สัน 108 ของสหพัฒน์ แบรนด์น้องใหม่ ปีที่ผ่านมาเปิดสาขาได้ 50 แห่ง และตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มให้ได้ 1,000 สาขา และขยับไปถึง 5,000 สาขาในปี 2566 เจาะทำเลคอนโดฯ สำนักงาน สถานีรถไฟฟ้า ส่วนแหล่งชุมชนขนาดเล็กและตามซอยต่าง ๆ จะใช้ 108 ช็อป เป็นตัวรุก

ด้านความเคลื่อนไหวของยักษ์ค้าปลีก เทสโก้ โลตัส-บิ๊กซี ก็หันมาให้น้ำหนักกับไซซ์เล็กมากขึ้น โดยโลตัส เอ็กซ์เพรส จะเปิดเพิ่มอีก 300 สาขา จาก 1,200 สาขา เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ มินิ บิ๊กซี มีสาขา 278 แห่ง รวมปีก่อนที่เปิดใหม่ 153 สาขา และตั้งเป้าปี 2559 จะครบ 950 สาขา

การขยายสาขาเชิงรุกของทุกค่ายจึงทำให้การแข่งขันเพื่อแย่งชิงทำเลทองมีความรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามนอกจากการลงทุนเปิดสาขาด้วยตัวเองแล้ว ทุกค่ายยังมุ่งเพิ่มสัดส่วนของร้านแฟรนไชส์ ด้วยการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ผู้สนใจ รวมถึงโชห่วย ให้หันมาเปิดร้าน เพื่อให้การขยายสาขาเป็นไปอย่างรวดเร็วและโตแบบก้าวกระโดด

จากการสำรวจของนีลเส็นระบุว่า ร้านสะดวกซื้อมีการขยายตัวมากกว่าตลาดโดยรวม และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยปี 2555 เติบโต 23.01% ขณะที่เทรดิชั่นนอลเทรดโตเพียง 7.21% และร้านสะดวกซื้อมีส่วนแบ่งตลาดเมื่อปี 2554 ถึง 20% จากปี 2552 ที่มีเพียง 16.9% ขณะที่ส่วนแบ่งของโชห่วยตกลงมาเหลือเพียง 3% และถึงแม้โชห่วยจะมีส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตลดลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งของตลาดมากกว่า 50% ของธุรกิจค้าปลีก

อย่างไรก็ตามจากการเปิดเกมรุกหนักของร้านสะดวกซื้อที่ลงลึกไปถึงชุมชนต่าง ๆ ในระดับอำเภอ ยกตัวอย่างกรณีของเซเว่นฯ ที่วันนี้มีสาขาครอบคลุมกว่า 691 อำเภอ จากทั้งหมด 928 อำเภอทั่วประเทศ ความอยู่รอดของโชห่วยจากนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ต้องตีให้แตก

"ธนวรรษ์ เสริมพาณิชย์" ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า จากผลการวิจัยพบว่าร้านค้าปลีกสมัยใหม่เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ขณะที่โชห่วยเติบโตไม่ถึง 5% ปัจจุบันร้านโชห่วยมีคนเข้าร้านน้อยลง และเริ่มเห็นการเปิดร้านใหม่น้อยลง ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นคนที่มีอายุ รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ส่วนคนรุ่นลูกส่วนหนึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านให้ทันสมัยขึ้น คล้าย ๆ กับคอนวีเนี่ยนสโตร์และมีจำนวนหนึ่งที่ปรับไปสู่แฟรนไชส์ของค่ายใหญ่

ถ้าแนวโน้มอย่างนี้เกิดขึ้นมาก เชื่อว่าอีก 10-20 ปี อาจจะไม่มีโชห่วยรูปแบบดั้งเดิมให้เห็น หรืออาจจะมีบ้าง แต่ก็จะไปอยู่ตามย่านเก่า ๆ หรือตามสถานที่ท่องเที่ยวสไตล์ย้อนยุค

"ธนวรรษ์" ย้ำว่า พฤติกรรมของคนเป็นตัวกำหนดกรอบของรูปแบบการค้าใหม่ ๆ ซึ่งคอนวีเนี่ยนสโตร์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมากในแง่ของความสะดวก รวดเร็ว ร้านคอนวีเนี่ยนที่เปิดตัวอย่างรวดเร็วจึงเป็นตัวเร่งให้โชห่วยตายเร็วขึ้น

"การปรับตัวของโชห่วยไปสู่ร้านสะดวกซื้ออาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ถ้าทำเหมือนเซเว่นฯ คนก็จะเข้าเซเว่นฯ แต่ว่าถ้าทำเป็นร้านของตัวเอง มีสินค้าฉีกจากเซเว่นฯ อย่างร้านซีเจ ราชบุรี ขายของที่เซเว่นฯไม่มี ก็ทำให้เติบโตได้ ดังนั้นทางออกอย่างหนึ่งก็คือ การสร้างความโดดเด่นที่ไม่เหมือนเซเว่นฯ"



  • สนับสนุนเนื้อหา ประชาชาติธุรกิจ




 

Create Date : 02 มกราคม 2557   
Last Update : 2 มกราคม 2557 9:46:03 น.   
Counter : 1041 Pageviews.  

หุ้นดิ่งกราวรูดลง 23.99จุดรับข่าวการเมืองเดือด

หุ้นไทยตกหนักปิดตลาดลดลง 23.99 จุด มาที่ระดับ 1,308.46 จุด เหตุการเมืองปะทะกันดุเดือดระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจ

sell

ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดช่วงบ่ายลดลง 23.99 จุด มาที่ระดับ 1,308.46 จุด มูลค่าการซื้อขาย 26,186.34 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงค่อนข้างแรง เจอแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมือง ขณะที่ไร้แรงซื้อหนุน พรุ่งนี้ยังคงต้องเกาะติดสถานการณ์การเมืองว่าจะมีทิศทางอย่างไร พร้อมให้แนวรับ 1,300 หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,280-1,290 ส่วนแนวต้าน 1,320 จุด

1.KBANK     มูลค่าการซื้อขาย  1,583.72 ล้านบาท     ปิดที่ 160.00 บาท     ลดลง  6.00 บาท
2.TRUE      มูลค่าการซื้อขาย  1,149.02 ล้านบาท     ปิดที่   7.85 บาท     ลดลง  0.60 บาท
3.CPALL     มูลค่าการซื้อขาย  1,115.76 ล้านบาท     ปิดที่  42.75 บาท     ลดลง  1.50 บาท
4.JAS       มูลค่าการซื้อขาย  1,114.33 ล้านบาท     ปิดที่   6.85 บาท     ลดลง  0.25 บาท
5.CPF       มูลค่าการซื้อขาย  1,081.30 ล้านบาท     ปิดที่  31.00 บาท     ลดลง  0.25 บาท

MThai News




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2556   
Last Update : 26 ธันวาคม 2556 21:52:50 น.   
Counter : 698 Pageviews.  

ร่วงไม่หยุด! ทองคำปรับ6ครั้งลด 350 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 ธ.ค.) เวลา 15.46 น. สมาคมค้าทองคำ ได้ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศ เป็นครั้งที่ 6 ลดลงอีก 50 บาท ทองแท่งขาย 18,650 บาท รับซื้อ 18,550 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,050 บาท รับซื้อ 18,282.96 บาท

10

ปรับครั้งที่ 5 เวลา 15.40 น. ลด 50 บาท ทองแท่งขาย 18,600 บาท รับซื้อ 18,500 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,000 บาท รับซื้อ 18,237.48 บาท

ปรับครั้งที่ 4 เวลา 15.35 น. ลด 50 บาท ทองแท่งขาย 18,650 บาท รับซื้อ 18,550 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,050 บาท รับซื้อ 18,282.96 บาท

ปรับครั้งที่ 3 เวลา 14.44 น. ลด 100 บาท ทองแท่งขาย 18,700 บาท รับซื้อ 18,600 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,100 บาท รับซื้อ 18,328.44 บาท

ปรับครั้งที่ 2 เวลา 13.14 น. ขึ้น 50 บาท ทองแท่งขาย 18,800 บาท รับซื้อ 18,700 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,200 บาท รับซื้อ 18,434.56 บาท

ปรับครั้งที่ 1 เวลา 09.24 น. ลด 150 บาท ทองแท่งขาย 18,750 บาท รับซื้อ 18,650 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,150 บาท รับซื้อ 18,373.92 บาท

MThai news




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2556   
Last Update : 19 ธันวาคม 2556 22:10:14 น.   
Counter : 701 Pageviews.  

ทองคำน่าจะถึงจุดต่ำสุดในต้นปี 2557 ก่อนที่จะเริ่มไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ทองคำน่าจะถึงจุดต่ำสุดในต้นปี 2557 ก่อนที่จะเริ่มไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
       ในเดือนกันยายน 2554 ผมได้เตือนลูกค้าของผมว่าขาขึ้นของตลาดทองคำที่ยาวนานถึง 11 ปีกำลังจะจบลงและจะเข้าสู่ช่วงขาลงเป็นเวลา 3 ปีก่อนที่จะขยับขึ้นต่อได้ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่ปี 2557 เกือบ 3 ปีหลังจากเข้าสู่ขาลงซึ่งราคาทองปรับลดลงไปแล้วถึง 40%

ในบทความชิ้นนี้ ผมจะบอกกันคุณว่าทองคำจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ และจะขยับขึ้นไปเหนือ $5,000 ต่อออนซ์ได้อย่างไร เรามาเริ่มจากตัวบ่งชี้ทางเทคนิคก่อน จากแบบจำลองของผม ในปีหน้า momentum range ของทองน่าจะอยู่ในช่วง $1,948.10 - $1,338.20 ในขณะที่ trend range น่าจะอยู่ในช่วง $1,268.30 - $852.60

       ความหมายก็คือ ขณะนี้ราคาทองอยู่ที่ประมาณ $1,240 และมีแนวโน้มจะปรับลดลงต่อในต้นปี 2557 เนื่องจากราคาขณะนี้ต่ำกว่า $1,338.20 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของ momentum range ในปี 2557 และยังต่ำกว่าจุดสูงสุดของ trend range ในปี 2557 ด้วย ซึ่งถือเป็นข่าวดีเพราะมันแสดงว่าราคาทองน่าจะเข้าสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปีของตลาดขาลงในช่วงต้นปี 2557 นี้ โดยจุดต่ำสุดนี้น่าจะต่ำกว่า $1,178 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

       ตรงนี้คือประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือแบบจำลองของผมบ่งชี้ว่าหลังจากถึงจุดต่ำสุดแล้วราคาทองน่าจะเริ่มพุ่งทะยานขึ้นได้ในช่วงต้นปี 2557 จากกราฟราคาทองรายสัปดาห์ คุณจะเห็นเลยว่าวัฎจักรราคาทองคำเป็นอย่างไร ซึ่งจากการเก็บสถิติการซื้อขายทองคำมาเป็นเวลาหลายร้อยปี วัฎจักรของราคาทองคำบ่งชี้ว่าราคาจะเข้าสู่ช่วงต่ำสุดในเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม/ต้นเดือนมิถุนายน 2557 และหลังจากนั้นก็อาจจะปรับลดลงเล็กน้อย แบบจำลองระยะยาวของผมก็แสดงรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน โดยบ่งชี้ว่าจุดสูงสุดสำหรับรอบใหญ่จะมาถึงในปี 2559

แล้วคุณควรที่จะซื้อขายและลงทุนในตลาดทองในตอนนี้อย่างไร?
       นักค้าทองควรเน้นขาย Short ไปจนถึงต้นปีหน้า โดยขาย Short เมื่อราคาขยับขึ้นและซื้อกลับเพื่อปิดสถานะ Short เมื่อราคาปรับลง แล้วเมื่อราคาทองถึงจุดต่ำสุดในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ก็ค่อยเปลี่ยนมาเป็นการซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายเมื่อราคาขึ้น

       สำหรับนักลงทุน ควรเพิ่มการถือครองทองคำในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์เมื่อราคาทองปรับตัวต่ำกว่า $1,178 และให้ถือยาวสามปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ $5,000 ในปี 2559-2560

อะไรจะทำให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้นในช่วงสองสามปีข้างหน้า?
       เงินเฟ้อเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้น แต่นักลงทุนที่ฉลาดรู้ดีว่า... รัฐบาลในโลกตะวันตกทั้งในยุโรปและอเมริกาต่างก็อยู่ในสภาพล้มละลาย โดยตกอยู่ในวังวนของหนี้ที่ท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องไล่ล่าเก็บภาษีจากทรัพย์สินต่างๆ จากภาคเอกชนให้มากที่สุดเพื่อที่จะพยายามรักษาสถานะทางการคลังให้อยู่รอดได้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ประเภทของสะสมพุ่งสูงขึ้นอย่างพรวดพราด

       โดยในยุโรป นักลงทุนที่ร่ำรวยจำนวนมากได้หันมากว้านซื้อเพชรและงานศิลปะ ในขณะที่ในอเมริกา นักลงทุนผู้มั่งคั่งก็หันมาซื้อเพชร ไวน์ชั้นดี งานศิลปะ นาฬิกา และของสะสมอย่างอื่นๆ กันอย่างมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเอเชียก็เช่นกัน นักลงทุนซึ่งกังวลกับอนาคตของยุโรปและอเมริกาต่างก็หันเข้าหาสินทรัพย์ที่จะช่วยรักษาความมั่งคั่งของพวกเขาเอาไว้และสามารถเคลื่อนย้าย หรือเก็บซ่อนได้สะดวก

       นักลงทุนที่ฉลาดต่างยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้: ในวันที่ 23 กันยายน มีการประมูลเหรียญหายากไปทั้งสิ้น $10,778,040 ซึ่งถือเป็นราคาประมูลต่อเหรีญที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูลกันมา ($399,186) ซึ่งเหรียญจำนวนมากถูกประมูลไปด้วยราคาเกินกว่าสองเท่าของราคาที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะขายได้ โดยชุดเหรียญ Stellas ปี 1879-1880 จำนวน 4 เหรียญประมูลออกไปที่ราคา $5,000,000 เกือบสองเท่าของราคาที่คาดก่อนการประมูลที่ $2.75 ล้าน

       เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เหรียญหายากเป็นที่นิยมมากขึ้นก็คือความสะดวกในการพกพา นั่นคือคุณอาจจะเอาเหรียญที่มีราคา $1,000,000 ใส่กระเป๋าแล้วเดินผ่านด่านศุลกากรไปได้อย่างสบาย เพชรก็เช่นเดียวกัน ในเดือนตุลาคมที่ Sotheby’s มีการประมูลขายเพชร D-diamond 118 กะรัต ไร้ตำหนิในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ $30.6 ล้าน เหตุผลก็คือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดต้องการที่จะปกปิดทรัพย์สินที่มีให้มากที่สุดเพื่อลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย และรักษามูลค่าของสินทรัพย์เอาไว้ ซึ่งในไม่ช้า แรงผลักดันลักษณะเดียวกันนี้ก็จะขยับมาสู่ทองคำและทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง!

       เหตุผลประการถัดมา ก็คือไม่ช้าก็เร็วระบบการเงินหลักจะล่มสลาย และนำไปสู่ยุคใหม่ที่จะมีการใช้เงินสกุลอื่นเป็นทุนสำรองแทนที่ดอลลาร์ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ ปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็จะส่งผลต่อโลหะเงินด้วย โดยราคาของเงินน่าจะปรับลดลงจนถึงจุดต่ำสุดในเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 2557 ก่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับทองคำ นักค้าโลหะเงินควรที่จะขาย short ไปถึงต้นปีหน้า แล้วค่อยปรับกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นมาเป็นซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวและขายเมื่อราคาขึ้น

       ในขณะที่นักลงทุน ควรเพิ่มการถือครองโลหะเงินในช่วงต้นปีหน้า โดยตั้งเป้าถือยาวไปจนถึงจุดสูงสุดรอบใหญ่ในปี 2559-2560 แนวรับสำคัญสำหรับโลหะเงินที่ควรจับตามองอยู่ที่ $18.52 ถัดมาคือ $16.81 และ $16.33 ซึ่งคาดว่าเงินน่าจะถึงจุดต่ำสุดที่ระดับใดระดับหนึ่งในสามแนวรับนี้

สำหรับทองคำ แนวรับหลักอยู่ที่ $1,178 ถัดมาคือ $1,162 แล้วก็ $1,029 และ $995 ผมคาดว่าทองคำน่าจะลงไปถึงจุดต่ำสุดที่ $1,029 หรือไม่ก็ $995 แต่เมื่อถึงระดับนั้นในต้นปีหน้าแล้ว ขอแนะนำให้คุณควรเตรียมซื้อทองให้มากที่สุดเท่าที่จะซื้อได้

Larry Edelson

//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000149247




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2556   
Last Update : 3 ธันวาคม 2556 22:11:48 น.   
Counter : 927 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]