ว่าด้วยจ๊อบสอง....
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก...เกือบ 8 เดือนเต็มๆแล้วที่มาอยู่อังกฤษ นอกจากงานหลักสำคัญอันดับหนึ่งคือการไปทำ lab ทุกวัน งานอีกอย่างก็คือหารายได้จากอาชีพเสริมพิเศษ(ฟังดูล่อแหลม) ซึ่งที่ทำอยู่ประจำอาทิตย์ละ 2 วัน ก็คือการเป็นสาวเสริฟ(แสนสวย อิอิ) ประจำร้านอาหารไทย ได้เงินมาพอเป็นค่ากับข้าวในแต่ละเดือน ยังมิหนำใจก็และความงกเป็นแรงผลักดันเลยหางานที่ 2 ทำอีก ซึ่งก็ได้มาเนื่องจากการชักชวนของนักเรียนไทยที่ทำอยู่ก่อนแล้ว (คล้ายๆการไปขายแรงงานที่ซาอุ)งานที่ว่านี้ทำในห้างใหญ่โต ขายของแพงที่สุดในเมือง ชื่อว่า John Lewis ในตำแหน่งชื่อ RGS ไม่รู้ว่าย่อมาจากอะไร แต่มีอุปกรณ์ประจำตัวคือไม้ถูพื้น ถุงมือยาง และเครื่องดูดฝุ่นวันนี้ไปเริ่มงานวันแรก 8 โมงเช้า เจอเพื่อนร่วมงานเป็นคนไทยซะ 90% ที่เหลือก็จะเป็นคนดำบ้าง แขกบ้าง อย่างในรอบเช้าของวันนี้ก็มีสาว(ไม่น้อย)ผิวดำ 2 คน ยืนมองกลุ่มคนไทยอย่างหวาดระแวง เพราะพวกเราเยอะจริงๆ นักเรียนไทยนิยมทำงานนี้กันค่อนข้างมาก เพราะว่าทำแค่ตอนเช้า ก่อนห้างเปิดเท่านั้น อย่างเราไปทำวันอาทิตย์วันเดียวตั้งแต่ 8.00-10.30 ก็จะได้เงินประมาณ 21 ปอนด์ การทำงานก็ไม่มีอะไรมาก ซุปหัวหน้างานจะแจกเสื้อคล้องคอเขียวๆ ปักว่า RGS (ถ้าทำหายมีมูลค่า 8 ปอนด์ -__-) และฝากทรัพย์สมบัติกระเป๋าทั้งหมดไว้ทั้ รปภ ของห้าง เพื่อไม่ให้เราแอบลักขโมยของในห้างได้ จากนั้นก็เข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติงาน ซึ่งจะแบ่งพื้นที่รับผิดชอบออกเป็น Zone อย่างชัดเจนว่าใครทำตรงไหน อย่างเราก็ได้รับผิดชอบตรงที่เรียกว่า Pay to eat หรือแปลว่า จ่ายแล้วกิน (ภาษาอังกฤษแตกฉานจริงๆ) ก็คือส่วนรับประทานอาหารในห้างนี้นั่นเอง ว่ากันว่า เป็นส่วนที่ต้องให้คนที่สวยที่สุดทำ เอ๊ย...ต้องเป็น ส่วนที่ต้องใช้เวลาทำค่อนข้างมาก เพราะสกปรกมากที่สุด และถ้าไม่ทำก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า แกอู้งานนะเฟ้ย...วันแรกนี้ยังไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ช่วยๆคนที่ทำอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยยังไม่เหนื่อย แต่ดูๆไปแล้วงานนี้นอกจากจะได้เงิน คงได้กล้ามแขนขึ้นมาอีกเป็นมัดๆอ้อ..เพื่อนที่ทำงานเตือนด้วยว่าระหว่างทำงาน แม้เราจะเดินไปมาในห้าง แต่ห้ามทำตัวหรู แอบแวะดูของ ยืนจ้องราคาสินค้า หรือว่าไปหยิบจับข้าวของในห้างเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ แม้ว่าของนั้นจะหล่นอยู่ที่พื้นก็ให้ใช้เท้าเขี่ยๆออกไป มิฉะนั้นหากซุปเห็น หรือใครไปฟ้องซุปจะถูกด่าได้ หากอดใจไม่ไหวอยากช๊อปเต็มที (ที่จริงห้างนี้เราก็ไปซื้อของบ่อยๆนะ) ก็จงรอให้หมดเวลางาน ถอดเสื้อเขียว RGS ออก แล้วเดินกลับเข้ามาใหม่ตอนห้างเปิดนะจ้ะ
อยากกลับบ้านนนนนน...
จะครบหกเดือนแล้วที่มาอยู่อังกฤษ คงเหมือนอีกหลายๆคนที่เป็นโรค home sick คิดถึงบ้านมากๆแบบบรรยายไม่ถูก เมื่อวันก่อน supervisor มาบอกกำหนดการสอบ ถ้าเราผ่านด่าน 3 สยองนี้ ประกอบด้วย ส่ง lierature review , symposium, viva examination (อันนี้สยองสุด) ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเสร็จภายในเดือน พย ถ้าเรียบร้อย คือไม่สอบตก ก็จะได้กลับบ้านสักพักนึงช่วงนี้ก็ตัวติดอยู่กับโต๊ะ Lab ไม่ได้ไปไหนเลย และก็ต้องพยายามเริ่มเขียน lierature review ให้ได้ ...อากาศประเทศนี้มันทำให้จิตใจห่อเหี่ยวนะ ทำ lab ไป มองเห็นฝนตก ก็รู้สึกเหงาๆเบื่อๆ บอกไม่ถูก
พาชิมขนมร้านดังเมือง York ...
ดองเค็มไว้นานตั้งแต่วันหยุดอีสเตอร์ที่ผ่านมา ไปเที่ยวร่าเริงกลับมาก็เจอแต่เรื่องโหดๆ เลยไม่มีเวลาอัพบล็อคซะที...ทริปที่ไปนี้ เรียกว่ารวบรวมผู้มีรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูงไว้ได้อย่างครบถ้วน เพราะเงินไม่ค่อยจะมีกัน แต่ก็อยากเที่ยวอยากกิน โชคดีที่ยังมีเจ้าภาพให้อาศัยบ้านพักที่ Newcastle ฟรี แถมยังพาเที่ยวอีกด้วยนับเป็นพระคุณ
องค์หญิง(กำมะลอ)เข้าครัว
แต่ไหนแต่ไร เมื่ออยู่เมืองไทย ไม่เคยต้องมีเหตุให้จำเป็นต้องทำกับข้าว ก็เพราะอาหารบ้านเราราคาถูกแสนถูก แถมอร่อยกว่าทำเองอีก เรื่องไรจะทำให้เมื่อยและเมื่อแม่สุดที่รักมาเยี่ยม เราก็แสนสบายราวเจ้าหญิงฉางผิง เพราะอยากกินอะไร แม่ทำให้ทุกอย่าง แถมไม่ต้องช่วยทำ เพราะแม่บอกว่าเดี๋ยวมือด้านนะลูก (ที่จริงคงรำคาญ) มาอยู่ที่นี่ จะให้ซื้อกินทุกมื้อ คงไม่ไหว หรือจะให้ต้มมาม่ากินตลอด คงตายก่อน ความรู้ด้านการครัวก็เชี่ยวชาญดีมาก เพราะเก่งแต่ทฤษฎี รายการโปรดคือ ยุทธภูมิกระทะเหล็ก และทีวีแชมเปี้ยน อย่างไรก็ตามก็ทำอาหารหน้าตาแปลกๆที่ตัวเองคิดว่า อืม..มันก็พอกิน(กันตาย)ได้นะ ส่งรูปให้แม่ดู แม่ปลาบปลื้มมาก ลูกสาวช้านนนน ทำกับข้าวเป็นด้วยอันนี้คือ แกงกะหรี่หม้อแรกในชีวิต
นี่มันตึกเรียนหรือว่าตึกนอนของแฮรี่ พอตเตอร์
แวบแรกที่เห็น มันช่างหมือนตึกนอนของฮอกวอต์ตในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ซะจริง แต่ก็นั่นแหละ ตึกในประเทศนี้ส่วนใหญ่ก็จะหน้าตาไปในแนวนี้กันหมด บางคนชอบก็จะมองว่าสวย คนที่ไม่ชอบก็อาจจะคิดว่าดูทึมๆ น่ากลัว แต่สำหรับตัวเราแล้วไม่ว่าจะรักเกลียดยังไง ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกไม่ต่ำกว่า 1056 วัน (หักวันเสาร์-อาทิตย์แล้ว)เห็นหน้าตาโบราณอย่างนี้ ข้างในอัดแน่นไปด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์อันทรงคุณภาพและทันสมัย ประตูแต่ละห้องใช้ระบบ key card และคาดว่าอีกไม่เกิน 10 ปี อาจพัฒนาไปสู่การสแกนภาพจากจอประสาทตา(อันนี้โม้ให้เวอร์ไปงั้น )