เราทุกคนเดินทางไปที่ไหนซักแห่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินทางจริงๆ เดินทางด้วยความคิด(กลับไปในโลกแห่งความทรงจำบ้าง ก้าวเข้าไปในโลกของจินตนาการบ้าง) หรือเดินทางเพื่อนำชีวิตไปสู่จุดหมายอะไรบางอย่าง...
ช่วงเวลาที่ผ่านมามีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ Up in the air แล้วทำให้นึกถึงภาพยนตร์อีกเรื่องที่เคยได้ดู Julie & Julia ความรู้สึกส่วนตัวคือดูแล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ให้แง่คิดคล้ายๆ กัน แต่รวมๆ แล้วหนังทั้ง 2 เรื่อง ล้วนเป็นหนังที่ดูแล้ว Feel Good แม้เรื่องแรกจะแทรกอารมณ์หดหู่ไว้บ้างบางขณะก็ตาม
Up in the air เป็นเรื่องราวของ Ryan Bingham (แสดงโดยหนุ่มใหญ่หล่อเนี๊ยบ- George Clooney) ชีวิตของ Ryan คือ การเดินทาง ในที่นี้คือ การเดินทางจริงๆ และหากดูตามชื่อเรื่องแล้ว พาหนะที่เขาใช้ก็คงหนีไม่พ้นเครื่องบิน การเดินทางของเขาเป็นการเดินทางเพื่อไปทำงานล้วนๆ ไปมันแทบทุกมลรัฐในอเมริกา ที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งเดียวของเขาจึงเป็นเครื่องบินนี่แหละ ฉากส่วนใหญ่ในเรื่องที่เห็นก็จะเป็น Top View ของรัฐต่างๆ สนามบิน ออฟฟิส และโรงแรม
เพราะความที่ต้องเดินทางตลอดเวลานี่เอง ทำให้ Ryan มีการเดินทางอีกอันในชีวิต เป็นการเดินทางที่มีไมล์เลข 10 ล้านเป็นเป้าหมาย สิ่งที่เขาต้องการจากการสะสมไมล์ มีเพียงเพื่อให้ได้พบกับหัวหน้านักบิน ได้เป็นลูกค้า exclusive และได้มีชื่ออยู่ข้างๆ เครื่องบิน ..แค่นี้ แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่าเนื้อหาของหนังที่เล่าถึงงานของเขาในการเป็นตัวแทนของบริษัทเพื่อบอกเลิกจ้างพนักงาน และ Job อีกอันคือการพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยทฤษฎีในการดำเนินชีวิตของตัวเขาเอง
“What’s in your Backpack?” เป็นคำถามที่เขาหยิบยกขึ้นมาระหว่างการบรรยาย
คนเราใส่ทุกอย่างลงในเป้ แล้วก็หนักจนแบกเป้นั้นไม่ไหว..ในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ยิ่งเยอะก็ยิ่งทำให้เราเคลื่อนไหวได้ช้า ยิ่งเราเคลื่อนไหวช้าเท่าไหร่ เราก็ตายเร็วขึ้น Ryan จึงแนะนำให้ไม่ต้องเอาอะไรหรือใครใส่ลงไปในเป้เลย เพราะมันคือ ภาระและพันธนาการ ในการเดินทางของชีวิต
ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลย มันย่อมมีชีวิตชีวากว่า
Ryan ให้คำจำกัดความแนวคิดของเขาว่า “Simple life choice” ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ปฏิบัติตามส่ิงที่เขาเชื่อมาโดยตลอด เขาไม่มีใครในชีวิต เขาอยู่โดยลำพังอย่างแท้จริง ไม่มีครอบครัว ไม่ผูกมัดกับใคร (ไม่มีแฟนจริงจัง) และไม่คิดที่จะแต่งงานมีลูก...
“เราทุกคนต้องตายเพียงลำพังอยู่แล้ว...” เขาว่างั้น
แล้วเรื่องราวก็ผกผันเมื่อการเดินทางทำให้เขาได้รู้จักกับ Alex หญิงสาวพราวเสน่ห์วัยไล่เลี่ยกันและมี Lifestyle ที่ต้องกันมากๆ กับอีกเรื่องคือแทนที่เขาจะต้องเดินทางคนเดียวเหมือนเคย คราวนี้เขาต้องเดินทางไปทำงานเป็นคู่กับเพื่อนร่วมงานใหม่ พร้อมกับภารกิจใหม่ระหว่างการเดินทางที่ต้องถ่ายรูปกลับไปให้น้องสาวที่กำลังจะแต่งงานด้วย
เรื่องราวทั้งหมดถูกดำเนินไปด้วยการเริ่มต้นจากเป้ที่ว่างเปล่าของ Ryan ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เริ่มใส่ของลงในเป้..ในที่สุดเขาก็อยากมีภาระที่ยอมแบก Ryan ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า..ลำพังหนาวมากกก
บางครั้งคนเราควรทำเป้ให้โล่งก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจะใส่อะไรลงไปในนั้นบ้าง
Ryan เร่ิมสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ กลับเข้าไปในชีวิต เร่ิมจากครอบครัวที่เหลืออยู่ เพื่อนร่วมงาน และ... Alex อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้วคนที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้คงคิดว่าเรื่องราวจะจบแบบ Happy Ending ล่ะสิ ช่ายยย...มันจะจบแบบชื่นมื่นทันที ถ้า Ryan ไม่พบว่า Alex นั้นได้แต่งงานและมีลูกเสียแล้ว
ในขณะที่เขาคิดจะลงหลักปักฐาน เขาก็พบว่าตัวเองถูกทิ้งขวางให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
ระหว่างเดินทางกลับจากไปพบ Alex นอกจากจะได้ความผิดหวังติดกระเป๋ากลับมาด้วยแล้ว เขายังสะสมไมล์ได้ครบ 10 ล้านพอดี...แล้วทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนกับที่เขาเคยคิดมาโดยตลอด ...ทางสายการบินมี Card ลูกค้า exclusive ที่ทำจากกราไฟท์มอบให้ แถมมีหัวหน้านักบินมานั่งกับเขาด้วย แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจอะไรเลย ทุกอย่างกลับดูไม่มีความหมาย
ชีวิตจะดีกว่านี้ถ้ามีใครอยู่กับเรา ...ทุกคนต้องมี Co-Pilot
ตอนนี้ต่อให้หัวหน้านักบินมานั่งคุยด้วย ส่ิงที่ Ryan ต้องการมากที่สุด ก็คือ นักบินร่วม ของตัวเอง
ก่อนจบยังมีส่วนหนึ่งของคำพูดจากพนักงานบริษัทที่ถูกไล่ออก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายมาได้ ก็เพราะครอบครัว สามี ภรรยา และเพื่อนฝูง... Co-Pilot ของการเดินทางในชีวิตของแต่ละคน ส่วนคนที่ไม่มีใครอย่าง Ryan ก็ต้องเท้งเต้งอยู่บนฟ้าแต่เพียงผู้เดียว
ตรงนี้แหละ! ตรง Co-Pilot นี่ล่ะ ที่ฉันเห็นว่าเหมือนกับเรื่อง Julie & Julia (ส่วนที่ต้องเท้งเต้งอยู่บนฟ้าแต่เพียงผู้เดียว จะเหมือนกับฉันมากกว่า...555 หัวเราะร่าน้ำตาริน) หากดูตามชื่อหนังก็จะรู้ว่าเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของคน 2 คนอย่างแน่นอน คือ Julie และ Julia ซึ่งทั้งคู่มี Co-Pilot หรือ supporter ที่ดีอย่างสามีนั่นเอง
หนังเปิดเรื่องด้วยการเดินทางสู่ชีวิตใหม่ในสถานที่ใหม่ของคนทั้งคู่ เนื้อหาของหนังเป็นเรื่องของการเดินทางไปสู่หนทางที่ต้องผ่านอุปสรรคนานา เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในงานที่ตัวเองรัก โดยที่ Julie มี Julia เป็นแรงบันดาลใจ
Julia (แสดงโดย Meryl Streep) ย้ายตามสามีมาอยู่ที่ฝรั่งเศส เดิมที Julia เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาก่อนพอแต่งงานมาอยู่ฝรั่งเศสก็กลายมาเป็นแม่บ้านแบบ Full Time สุดท้ายก็คิดว่าตัวเองควรจะหาอะไรอย่างอื่นทำด้วย จึงเริ่มจากการไปอบรมโน่นนี่แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ วันหนึ่งระหว่างกินข้าวกับสามีและปรึกษากันเรื่องนี้ สามีจึงยิงคำถามง่ายๆ ว่า
“แล้วคุณชอบทำอะไรล่ะ?”
“ชอบกิน...” Julia ตอบ และนั่นเป็นที่มาของการไปเรียนทำอาหารที่ Le Cordon Bleu ในที่สุด
หลักๆ ก็คือ เธอจะได้มาเปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร รองๆ ก็คือ เธอจะได้ทำอาหารให้คนที่ตัวเองรักกิน ระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายในการเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารนี้เอง Julia ก็ได้มีโอกาสเขียนหนังสือ Cooking Book ขึ้นมา และโอกาสในครั้งนี้ทำให้เกิดการเดินทางในเส้นทางสายใหม่ที่เธอไม่ได้คาดฝัน แต่เธอคาดหวังและทุ่มเทอย่างมากที่จะทำหนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ แล้วความพยายามก็สัมฤทธิ์ผลในที่สุด...หนังสือเล่มนั้นได้ถูกตีพิมพ์ออกมา จนได้เป็นคู่มือในการทำอาหารให้ใครหลายๆ คน ที่สำคัญยังเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตให้กับ Julie ด้วย
Julie (แสดงโดย Amy Adams) ย้ายตามสามีจากบลู๊คลินมาอยู่ย่านควีนส์ บนชั้น 2 ของร้าน Pizza เธอไม่ชอบหรอก แต่เพราะที่อยู่ใหม่นี่มันใกล้ที่ทำงานของสามีนี่เอง ก็เลยต้องจำทน นอกจากนี้แล้วในชีวิตเธอยังมีสิ่งที่ต้องจำทนอีก 2 เรื่อง คือ
เรื่องแรก Julie ต้องทนดูความสำเร็จของเพื่อน เพราะด้วยวัยเหยียบ 30 ปี Julie ไม่มีอะไรที่ทำสำเร็จซักอย่าง ขณะที่เพื่อนๆ ในวัยเดียวกันล้วนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและแซงโค้งปาดหน้าเค้กเธอไปหลายขุม ถึง Julie จะเคยเป็นถึงนักเขียนและเป็นบก.นิตยสารวรรณกรรม แต่ก็ทำแบบก๊อกแก๊กๆ อยู่ 8 ปี เขียนนิยายก็เป็นประเภท Half a novel คือ นิยายที่ไม่มีใครตีพิมพ์ สุดท้ายก็ผกผันตัวเองมาทำงานปัจจุบันอันแสนน่าเบื่อ
เรื่องที่สอง ต้องทนงานน่าเบื่อที่ว่า คือ การเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับกลางของสำนักงานปรับปรุงแมนฮัตตัน ในช่วงหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่วันๆ ต้องมานั่งรับโทรศัพท์ร้องเรียนต่างๆ ต้องนั่งรับฟังปัญหาของคนที่โทร.เข้ามา และรองรับอารมณ์ต่างๆนานา จากปลายสาย เล่นเอาเพลียเฮด เพลียใจ ทำให้ต้องบำบัดตัวเองหลังเลิกงานด้วยการทำอาหาร และกอบกู้ความสำเร็จของตัวเองคืนมาด้วยการเขียน Blog
สำหรับ Julie การทำอาหารและเขียน Blog ก็เพื่อหลบจากงานที่ทำมาทั้งวัน ...เข้าครัวก็เพื่อลืมงาน...ประมาณนั้น แล้วเธอก็ตั้งเป้าการเดินทางสู่ความสำเร็จอย่างแรกของตัวเอง ด้วยภารกิจหลังเลิกงานเป็นเวลา 365 วัน กับ 524 เมนูจาก หนังสือสอนทำอาหารของ Julia ตามด้วยเขียนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นลงใน Blog
การดำเนินเรื่องในหนังตัดสลับกันไปมาระหว่างเรื่องราวของคนทั้ง 2 ที่มีอะไรคล้ายๆ กัน ฉากส่วนใหญ่จะอยู่บนโต๊ะอาหารและในครัวเป็นหลัก นอกจากความสนุกที่ได้จากหนังแล้ว หนังยังเรียกน้ำย่อย และให้เคล็ดลับในการทำอาหารนิดๆ หน่อยๆ สำหรับคนชอบทำอาหารด้วย
เรื่องราวของการเดินทางไปสู่เป้าหมายในชีวิตของทั้ง Julie และ Julia นั้น กว่าจะไปถึงความสำเร็จสุดท้าย ย่อมเจออุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา...ไม่มีชีวิตของใครที่สวยหรูตลอดเวลาหรอก แต่ระหว่างการเดินทางที่ล้มลุกคลุกคลานนั้น สิ่งที่สำคัญ คือ กำลังใจจากคนรอบข้าง-นักบินร่วมในชีวิตต่างหาก
เมื่อหนังสือของ Julia ถูกปฏิเสธที่จะตีพิมพ์ สามีของเธอกลับบอกกับเธอว่า
“Your book is the work of genius, your book is going to change the world...”
บางทีในฐานะคนเขียน แม้หนังสือจะไม่ได้ถูกตีพิมพ์ แต่มีคนที่เข้าใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ (แม้จะอวยกันเองก็ตาม) เรามักจะรู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างประหลาด ที่สำคัญไม่ใช่แค่นี้นะ เพราะอีตาสามีคิดไปคิดมาชักยิ่งฉุน หนังสือดีๆ ..แม่ง ทำไมไม่รู้จักพิมพ์กันวะ...
“Fuck them!!” ย่ิงถ้ามีคนเคืองเรื่องของเรายิ่งกว่าเราเอง เราจะยิ่งรู้สึกดีไปกันใหญ่ 555
Julie เองก็เช่นกัน ขณะที่เธอมีสุขอยู่กับการทำอาหาร สามีก็จะร่วมเสพ (ความอร่อย) อยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ตอนที่เธอจิตตกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือวีนเหวี่ยงเพราะอะไรๆ มันไม่เป็นดั่งใจ สามีสุดที่รักก็จะยังคงอยู่เคียงข้าง
“You are the butter in my bread and the breath in my life”
เธอกล่าวกับสามีเมื่อสิ้นสุดเมนูสุดท้ายของภารกิจ The Julie/Julia Project ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่สามีของ Julia กล่าวกับเธอในวันวาเลนไทน์..ช่างเปรียบเทียบได้อย่างคมคายบาดจานบาดใจฉันเป็นอย่างมาก
ชีวิตเป็นเหมือนการเดินทาง มันเต็มไปด้วยโอกาสที่เราไม่ทันจะมองเห็นหรือบางครั้งเราก็จงใจมองข้าม แต่ชีวิตเดียวกันนี้มักจะมีห้วงยามสั้นๆ แห่งความสุขเบียดแทรกอยู่ด้วยเสมอ แน่นอนสุดท้ายคนเราทุกคนย่อมตายไปโดยลำพัง แต่หากลองเดินทางย้อนกลับไปทบทวนในความทรงจำดู เราจะพบว่าช่วงเวลาที่สำคัญและช่วงเวลาที่เราช่ื่นชอบ เรามักจะไม่ได้อยู่คนเดียว....หรือหากคุณชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า อย่างน้อยคุณคงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคุณมักจะแอบมีความเหงาเจืออยู่ด้วยเสมอ
ดูหนังทั้งสองนี้เรื่องจบ นอกจากจะ Feel Good อย่างที่บอกแล้ว ยังทำเอาฉันอยากจะออกไปหาเนยของตัวเองบ้างเลยทีเดียว ..ขนมปังเปล่าๆ ไหนเลยจะหอมอร่อยเท่าขนมปังทาเนยล่ะ จริงมะ?
*** อ่านแล้วถูกใจ ช่วยคลิ๊กที่แถบ Banner โฆษณาด้านขวามือให้ด้วยนะคะ***