การเอาแต่มองแง่ร้ายของโลกทั้งวันทั้งคืน
จัดเป็นโรคทางใจชนิดหนึ่ง
เหมือนขังตัวเองอยู่ในคุกมืด
ไม่ยอมเปิดหน้าต่างรับแสงสวยๆบ้าง
ไม่มีทางลัดในการรักษา
ถ้าอยากช่วย ก็ต้องทำใจช่วยในระยะยาว
และต้องช่วยอย่างมีศิลปะ
ช่วยอย่างมีความเข้าใจภาพรวมทั้งหมด
ทุกคนมีโทสะ คุณเองก็เช่นกัน
และโทสะก็คือพื้นฐานของการมองโลกในแง่ร้าย
ฉะนั้น การนำเสนอโลกแง่ดี
ต้องมีความนุ่มนวลเป็นตรงข้ามกับโทสะ
ถ้าเขาเสียงแข็งมา คุณต้องเสียงอ่อนไป
ถ้าเขาเลือกคำร้อน คุณต้องเลือกคำเย็น
ถ้าเขาคิดแตกหัก คุณต้องคิดประสาน
ถ้าเขาพูดใส่สีตีไข่ให้เกลียดกัน คุณต้องพูดตรงไปตรงมาให้รักกัน
ถ้าเขาพร่ำพูดยืดยาว คุณต้องกระชับคำพูดให้สั้น
ถ้าเขาเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้จุดหมาย คุณต้องคัดประเด็นสรุปให้จับใจ
ถ้าในหัวเขาเต็มไปด้วยเสียงด่า ในหัวคุณต้องเต็มไปด้วยเสียงชม
เมื่อตั้งความเชื่อไว้ว่าทุกสิ่งมี อีกด้านให้เห็น
และพยายามฝึกที่จะเห็น คุณจะเห็นเสมอ
กับทั้งคิดได้ พูดได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ช่วยเขาแต่ละครั้ง ก็คือฝึกคุณไปในตัว
ตอนแรกอาจเหมือนเตี้ยอุ้มค่อม
เพราะมุมมองร้ายๆของเขา
จะแพร่มากระตุ้นอารมณ์ร้ายๆในคุณไปด้วย
แต่ยิ่งฝึกนานไป ใจคุณจะยิ่งชินกับการคิดเป็นตรงข้าม
รู้เองว่าพูดด้วยน้ำเสียงแบบใด มองเขาด้วยแววตาแบบไหน
จะช่วยให้รู้สึกว่าไม่ได้ถกเถียงหรือทะเลาะกัน
แต่เป็นการนำเสนอที่ชวนให้เต็มใจสนอง
มุมมองโลกแง่ดีสักร้อยสักพัน
ขอเพียงมีหนึ่งเดียวที่ช่วยให้เขาคลิก
จุดชนวนให้รู้จักหัดมองโลกแง่ดี
รู้สึกดีกับการมองด้านดี
ไม่รู้จะมองด้านร้ายให้รู้สึกร้ายไปทำไม
ครั้งต่อๆไปจะเริ่มง่ายขึ้น
คุณจะสัมผัสใจที่ดีขึ้นได้จากเสียงที่อ่อนลง
ตลอดจนบรรยากาศความสว่างที่ต่างไป
ส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหน
ถึงจะเปลี่ยนคนมองโลกแง่ร้ายมาเป็นคนมองโลกแง่ดีเต็มตัว
คำตอบคือ นานหน่อย
คนเราตกมาอยู่ในหลุมมืดให้เห็นโลกด้านร้ายได้ทั้งชีวิต
ก็ควรต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการเอาตัวออกมามิใช่หรือ?
คิดอย่างนี้ เผื่อใจอย่างนี้ ใจเย็นอย่างนี้
แล้วในที่สุดจะพบว่า คุณทำสำเร็จเร็วกว่าที่คิดมาก
-------------------------------------------------------------------------------------
#Mudjarin #Kharabut #Mudjarinkharabut #มุจรินทร์ #ฆะระบุตร