..Fight All Night..

Past running fast.. aftering me

..
วันนี้เป็นวันที่ดูจะอ่อนไหวผิดปกติ
ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศมันผิดปกติ ความเป็นไปมันผิดปกติ หรือเพราะเจ้าตัวมันผิดปกติอยู่แล้วกันแน่ (มีแนวโน้มว่าจะเป็นอันหลังสุดซะมากกว่า)

ระหว่างที่เดินกินโอรีโอบลิสซาร์ด (มันถูกดี แต่สะเออะไปเพิ่มอัลมอนด์ทั้งปี จาก 15 บาท เลยกลายเป็น 23 บาท เดี๋ยวนี้อะไรแม่งก็แพง แม้แต่ถั่ว เสือกจะแดกถั่วไฮโซ) ก็คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเอง
พบว่าชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยเดินหน้าไปที่ไหนเลย เหมือนอะไรมันอยู่ที่เดิมไปหมด
แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าเพราะตัวเองนั่นแหละ ถึงเป็นแบบนี้

การคิดวิถีทางที่จะเดินต่อไปมันดูง่ายฉิบ
แต่ในขณะที่จะต้องลงมือทำจริง ๆ สิ่งที่ง่ายก็ดูจะยากขึ้นมา
ตรงนี้คงจะเป็นกำแพงของความสามารถของเรา
แต่ถ้าจะทิ้งตัวเองให้ตีบตันอย่างนี้ต่อไป มันก็คงติดอยู่ที่นี่อย่างเดียวละมั้ง
ด้วยความที่เป็นคนชอบการเปลี่ยนแปลงมากเป็นพิเศษ ก็คงจะลงมือทำอะไรห่าม ๆ เร็ว ๆ นี้

พอหม่ำ ๆ ไอติมหมดถ้วยแล้ว กูก็เดินสะโหลสะเหลเถลไถลไปมาอยู่แถวที่ทำงานนั่นแหละ (อยู่แถวสยาม) ด้วยความที่วันนี้มาก่อนเวลาอีกแล้ว มันก็เหลือเวลาให้ดูโน่นดูนี่ตามเคย (แต่แม่งก็ดูจนไม่มีอะไรจะดูแล้วล่ะวะ)

ในตอนที่กำลังมองหาหนังสือที่หามาตั้งนานแล้ว (จำชื่อหนังสือก็ไม่ได้ จำปกก็ไม่ได้ ราคาก็จำไม่ได้ จำได้แต่สำนักพิมพ์ แถมมันอยู่หมวดไหน ก็จัดไม่ค่อยถูก แต่ยังเชื่อว่าถ้ามองเห็นปกซักทีนึงก็คงจำได้ เหมือนบ้า แต่กูมีความเชื่อมั่นแรงกล้ามาก เพราะทำบ่อย) แต่หายังไงก็ไม่เจอซักที ก็มีสายเข้ามาในโทรศัพท์โนเกียรุ่นถูกสุดชีวิตของกู (บนโลกนี้จะมีใครสักกี่คนที่ใช้ Nokia 1112 ด้วยความตั้งใจและศรัทธาอย่างแรงกล้าอย่างกูบ้าง โทรเข้าได้ โทรออกได้ เม็มเบอร์ได้ ตั้งปลุกได้ รับส่ง sms ได้ แค่นี้พอใจแล้ว ชีวิตกู)

เฮ้ย..
กูเกือบลืมไปแล้วนะ ว่ายังมีมันยู่ในชีวิตกู

กูพบว่า..
กูยังอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของความคิดมัน
ในขณะเดียวกัน กูยอมรับเลย ว่าเดี๋ยวนี้ วัน ๆ กูไม่ได้คิดถึงเค้าซักเท่าไหร่
แต่ในเวลาเดียวกันกับที่กูรู้ตัวในเรื่องนี้น่ะนะ เวลาที่ได้ยินเสียงเดิม เสียงนั้น
ก็เหมือนกับว่ากูจะถูกดึงเข้าไปในอดีตเก่า ๆ ความรู้สึกเก่า ๆ ที่มีอย่างเยอะ (ฉิบหายเลย) ที่ให้แก่คนคนเดียว คนนั้น แค่คนเดียวเท่านั้น

..เหมือนกับถูกสะกด..

และสิ่งนี้ทำให้กูเจ็บ
เพราะกู(และมันด้วย)รู้ว่าไม่มีทางเลยที่จะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้
แต่กูก็สามารถพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ได้

จากเมื่อก่อนที่ใช้เวลาพร่ำเพรื่อฟุ่มเฟือย ก็ดูเหมือนจะไม่พอสักที
ในตอนนี้ แค่ได้พูดและฟังสักสิบนาที ก็พบว่าเวลาดี ๆ ครั้งนี้มันยาวนานเพียงพอ

เรื่องของเรามันไม่เก่าไม่ใหม่ ไม่ได้เริ่ม และยังไม่ได้จบ
สิบนาทีกว่านี้เป็นการกระตุ้นให้กูคิดถึง ให้กูโหยหา และทำให้กูอ่อนลง
กูไม่แน่ใจเลยในตอนนี้ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันคืออ่อนไหว หรือว่าอ่อนแอกันแน่
แต่กูรู้ว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับชีวิตประจำวันของกู

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้ยินเสียง
คราวก่อนหน้ามีการสัญญาเล็กน้อยด้วยวาจาว่า.. จะโทรมาหาทุกสัปดาห์ในวันหยุด
กูฟังคำพูดนั้นแล้วก็ปล่อยมันลอยไปกับอากาศโดยไม่ได้สนใจอะไร
กูนึกเรื่องนี้ออก ก็ตอนที่เห็นชื่อคนที่กำลังโทรเข้ามาในโทรศัพท์กูนี่แหละ
มันจะรักษาคำพูดทำเหี้..อะไรวะ (กูจะโดนแบนเข้าสักวันกับความหยาบคายของกู)

อย่าทำให้กูการ์ดตก อย่าทำให้อ่อนแอ อย่าทำให้กูรู้สึกได้มั้ยวะ
กูอุตส่าห์พยายามแล้ว ให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อย่างที่มึงหรีือกูอยากให้เป็น

ความจริงกูไม่รู้หรอกว่ามึงคิดอะไรอยู่ กูเป็นคนเข้าใจเก่งได้แต่สิ่งของ กูไม่รู้จักมนุษย์นักหรอก

เอาเป็นว่า มึงทำให้กูรู้สึกว่ากูเป็นคนพิเศษ กูขอบคุณในเรื่องนั้น
แต่สิ่งที่มึงกำลังให้กู (ซึ่งมึงให้กูตลอดตอนอยู่ใกล้ ๆ กัน) รู้มั้ยว่า..
สิ่งนี้มันกำลังทำอันตรายกับกู เพราะกูไม่รู้ว่าตัวกูเป็นยังไงต่อไป และกูไม่รู้เกี่ยวกับตัวมึงเหมือนกัน

มึงเคยเห็นคนตาบอดเดินในห้องที่มีแก้วแตกเต็มไปหมดมั้ย

กูไม่อยากยอมรับเลย แต่ว่า..
กูคิดถึง กูอยากได้

กูเดาได้เลย (เดาไปเอง) ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป
อย่าขุดหลุมฝังกูได้มั้ย

อย่าทำให้กูตกลงไปในนั้นอีกได้มั้ย
..




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2549    
Last Update : 18 ธันวาคม 2549 2:07:27 น.
Counter : 255 Pageviews.  

ปรัชญาตีสาม

มีอยู่คืนนึงได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน
แต่จะเรียกว่าหนังสือก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
มันเป็นเศษกระดาษที่กูมักจะ print จาก internet แล้วก็เอามาเย็บรวม ๆ กัน
เก็บไว้อ่านเวลาเซ็ง ๆ ไม่มีอะไรทำ

ก็ได้เจอข้อความกล่าวไว้ในทำนองที่ว่า..

"ตัวตนของสิ่งสิ่งหนึ่ง คือสิ่งที่ตามองเห็นและสัมผัสได้
แต่ประโยชน์แท้จริงนั้น อยู่ที่ความว่างเปล่าของแต่ละสิ่ง"


ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น แก้วน้ำใบหนึ่ง มีตัวตนที่จับต้องได้
แต่ประโยชน์ของมันอยู่ที่ช่องว่างที่มีตัวตนของแก้วน้ำนั้นล้อมรอบ
น้ำได้ถูกใส่ลงไปในช่องว่างที่ถูกล้อมกรอบด้วยตัวตนของแก้วน้ำ
ฉะนั้นประโยชน์ที่แท้จริงของมันนั้นก็คือความว่างเปล่า

ตัวตนของมันนั้นสวยงามก็จริง
แต่ความมีประโยชน์แท้จริงของมันไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
สิ่งที่จับต้องได้มันก็เพียงเท่านั้น แค่จับต้องได้
แต่สิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ต่างหากที่สำคัญ

ในตอนนั้นมองไปที่นาฬิกา ก็ประมาณตีสามกว่าแล้ว

แม่งลึกเหมือนกันนะ..
ลองคิดดู ไอ้ข้อความพวกนี้มันมีคนคิดมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีที่แล้ว
ส่วนกูล่ะ แล้วคนอื่น ๆ รอบข้างล่ะ
วัน ๆ คิดอะไรมีความหมายแบบนี้ได้บ้างรึเปล่าวะ


เวลาที่ปล่อยความคิดให้แล่นไป
บางทีก็เกิดความอยากขึ้นมา
บางทีกูก็อยากไปอยู่ในโลกที่ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย
ปล่อยให้ความคิดเป็นอิสระ นึกได้ทำได้
อยู่นอกกรอบของสังคมและสภาวะแวดล้อมที่ปิดกั้นตัวตนและบีบบังคับให้คนเราแม่งคิดอะไรเหมือน ๆ กัน

ความจริงน่ะ การที่คนเรามีความคิดที่ไปในทางเดียวกันมันก็ดี
การคล้อยตามทำให้เรามีสมัครพรรคพวก
แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราคิดมันถูก สิ่งที่เราเห็นมันใช่
หรือว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ ก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่ก็อย่างว่า ความเป็นจริงทุกอย่างบนโลกนี้มันก็ต่างมีแง่มีมุม
ถ้าใคร ๆ คิด ใคร ๆ เห็นอะไรแบบเราซะทุกคน แล้วส่วนที่ไม่มีใครเห็นล่ะ
หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความถูกต้อง มันก็อาจจะไม่ได้ถูกต้องในทุกแง่มุมก็ได้นะ


เฮ้อ แม่งเพ้อแล้วว่ะ
เหมือนพูดอะไรไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน
(ซักวันคงจะชินกันไปเอง)
ไปแล้วนะ เจอกัน




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2549    
Last Update : 16 ธันวาคม 2549 1:16:48 น.
Counter : 191 Pageviews.  


ตันหยี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




I'll be here, praying for you
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ตันหยี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.