ไปเที่ยวมัลดีฟมา ขอแนะนำ Anantara Veli Resort (ตอนที่ 2)
( ตอนที่ 2 )
มีคนถามเข้ามา เรื่องราคา หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ รบกวนช่วยไปอ่านใน "ไปเที่ยวมัลดีฟมา ขอแนะนำ Anantara Vali Resort (ตอนที่ 1) เพราะได้เขียนบอกเรื่องราคาไว้ที่ตอนต้น ของตอนที่ 1 แล้วนะจ๊ะ ไม่อยากเขียนบ่อยๆ กรุณาอย่าโกรธกันนะตัวเอง 
เริ่มต้นกับเช้าวันใหม่ ที่สดใส


วันนี้ เราจะไปเที่ยว Anantara Dhigu Resort กัน รีสอร์ทแห่งนี้คือเกาะที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใกล้ๆนี่เองค่ะ 

เราต้องโทรแจ้งที่ Reception ให้เค้าส่งเรือมารับเรา ภายในกี่นาทีก็ว่าไป แล้วเราก็เดินไปรอเรือที่สะพานไม้ เรือ Shuttle นี้เราขึ้นได้ฟรีค่ะ จะไปมากี่เที่ยวก็ได้ เปิดให้บริการตั้งแต่เช้า จนกระทั่งถึงก่อนเที่ยงคืนแน่ะค่ะ



ที่ตรงท่าเรือ มีประตูของอีกรีสอร์ทนึงคือ Naladhu Resort ประตูถูกล็อคเอาไว้ไม่ให้คนนอกเข้า เพราะเค้าบอกว่ารีสอร์ทแห่งนี้เป็น 6 ดาว Private สุดๆ อนุญาตให้เฉพาะแขกของเขาเองเท่านั้น คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้านะจ๊ะ ขอบอกให้รู้เอาไว้ แต่ก็ไม่ง้อหรอกจ้ะ เพราะดูหน้าตาแล้วเราว่าบ้านของเราสวยกว่า และบรรยากาศไม่น่าเบื่อ เหมือนรีสอร์ทอันนี้


ท่าเรือของเกาะ ดีกู น่ารักดีค่ะ

วิวจากท่าเรือดีกู มองไปยัง Anantara Veli 

โดนัทยักษ์ (สำหรับปีนขึ้นไปเด้งดึ๋งกลางน้ำค่ะ)


แผนที่ของเกาะดีกู จะได้รู้ว่าอะไร อยู่ตรงไหนไงคะ 

เกาะดีกู เป็นเกาะยาวนิดหน่อย และแคบกำลังดี ถ้ายืนจากฝั่งนึง สามารถมองทะลุไปเห็นอีกฝั่งนึงได้อย่างสบาย น่าไว้เล่นซ่อนแอบ


กรุ๊ปทัวร์ V I P 

จุดหมายแรกที่เราจะไปคือ ตรงดิ่งไปที่ Spa 



ตัวสปา ตั้งอยู่กลางทะเล บรรยากาศเริ่ด เหมือนอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า พนักงานทุกคนที่ทำงานอยู่ที่สปาแห่งนี้เป็นคนไทยทั้งหมด มีอยู่ด้วยกันประมาณ 20 กว่าคน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้บริการ ลูกค้าแน่นมาก ต้องจองล่วงหน้าเป็นวัน อย่าได้หวัง Walk in ซะให้ยาก





บรรยากาศในห้องนวด 


มีคนเขียนเข้ามาถามเรื่องราคา Spa ตอนแรกว่าจะข้ามไป ไม่พูดถึง เดี๋ยวจะหาว่าพูดแต่เรื่องตัวเลข เอ้า!!! รับทราบไว้เป็นข้อมูลก็แล้วกันนะคะ เรื่องแพงกว่าบ้านเรานั้นไม่ต้องคิด เพราะมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับตามร้านนวดหรือว่าสปาทั่วไปตามท้องถนน แต่ถ้าเทียบกับราคาสปาตามโรงแรมหรูบ้านเรา อาจจะราคาพอๆกันนะค่ะ อิฉันเลือกแบบนวดไทย 1 ช.ม.ราคาประมาณ 70$ (ประมาณ 2,500 บาท) ส่วนเพื่อนเลือกนวดน้ำมันมะพร้าว 1 ช.ม. ราคาประมาณ 120$ (ประมาณ 4,000 บาท) ที่นวดแค่ชั่วโมงเดียวเพราะคิวเต็ม แน่นมาก ไม่มีเวลาว่างเลยค่ะ (ห้องเต็ม) ถ้าใครจะไปนวดที่นั่น ขอแนะนำให้ไปจองนวดตอนประมาณ 4 โมงเย็น เพราะบรรยากาศและวิวจะดีมาก เป็นช่วง Magic Hour ค่ะ (ฟ้าเปลี่ยนสีไง) ส่วนคุณภาพของการนวด ขอบอกว่าเกิน 100 นวดเสร็จเดินออกมาก็ตัวเบาหวิว ส่วนเส้นที่ยึดอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ (อิฉันเป็นโรคปวดหลังค่ะ ต้องนวดอยู่เป็นประจำทุกอาทิตย์เลยค่ะ เพราะแก่แล้ว)

ที่ด้านหลังของสปา เป็นห้อง Sauna และบ่อน้ำร้อน น้ำเย็น เอาไว้ให้เราแช่เพื่อสุขภาพ น้องๆที่สปาโฆษณาชวนเชื่อสุดฤทธิ์ให้ไปใช้บริการ น้องๆเค้าบอกว่าให้เล่นฟรี นอนอยู่ตรงนี้เลยก็ได้ เพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน เยี่ยม!!! อิฉันเลยไปลองดู ก่อนอื่นก็ ชอบที่วิวสวยดี แถมไม่มีใครเลยซักคน เลยถือโอกาสนั่งเล่น นอนเล่น อ่านหนังสือ สิงสถิตอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ๆเลยทีเดียวเชียว

บ่อน้ำร้อน น้ำเย็นเจ้า 


ชักหิวอีกแล๊ะ เดินไปหาอะไรกินกันดีฝ่า 
แล้วอิฉัน ก็เดินตะล็อกต็อกแต็ก มาตามชายหาด 

จากสปาที่อยู่ทางซ้ายมือในรูป มายัง Aqua Bar ตรงสระว่ายน้ำ ที่อยู่ทางขวามือของรูปค่ะ




สระว่ายน้ำของ Anantara Dhigu Resort สวยและไฮโซกว่าสระที่ Veli ตั้งเยอะแน่ะ (ก็ที่นี่มันแพงกว่านี่จ๊ะ)




>
 วันแรก กินมื้อกลางวันที่ Aqua Bar จ้ะ


ส่วนวันที่สอง ลองมาชิมอาหารอิตาเลี่ยนที่ร้าน Fuddan






น้ำทะเลของที่นี่ เรียกว่าใสของจริง ไม่มีฝุ่น ผง ตะกอน หรือว่าละอองใดๆเลย แล้วก็ไม่มีตัวแมลงเล็กๆอะไรในน้ำ ที่คอยกัดเจ็บๆ จี๊ด จ๊าด เหมือนในทะเลบ้านเราเลยค่ะ (ถือว่าเป็นสุดยอดทะเลคุณภาพจริงๆค่ะ) 




อิ่มแล้ว ไปเดินเล่น แอบดูบ้านที่รีสอร์ทแห่งนี้กันดีกว่า (อย่าถามเรื่องราคาของที่นี่นะคะ ไม่ทราบจริงๆ รู้แต่ว่าแพงค่ะ)
บ้านแบบ Beach Front Bungalow ค่ะ

Over Water Suit ค่ะ 

แล้วก็กลับไป hang ๆ อยู่ที่สระว่ายน้ำ จนค่ำ 








ที่พื้นสระว่ายน้ำตอนกลางคืน จะมีเหมือนประกายเพรช ส่องแสงระยิบระยับ ขึ้นมาจากก้นสระ เหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว ที่ส่องลงมาจากสรวงสวรรค์ ปานนั้นกันเลยจริงๆ ไม่ได้โม้นะคะ (แต่อาจจะเมานิดหน่อยน่ะค่ะ)


มืดแล้ว กลับที่พักเราดีกว่า 
ท่าเรือของ Anantara Dhigu ยามค่ำคืน 


ลูกปลาฉลาม ว่ายมาเล่นไฟ แก้เหงา 

เรือแน่นเป็นปลากระป๋อง เพราะต่างคน ต่างไปเปลี่ยนบรรยากาศ รับประทาน Dinner กันตามร้านอาหารต่างๆ

ผู้ช่วยกัปตัน 

วันสุดท้าย อิฉันเลือกออกจากเกาะตอน 5 โมงเย็น เพื่อที่จะได้ไป City Tour ที่มาเล่ ก่อนขึ้นเครื่องบางกอกแอร์เวย์กลับตอน 5 ทุ่มค่ะ




ลาก่อนนะ Veli ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ 


พอมาถึงที่สนามบิน ก็ต้องเอากระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บไว้ที่ Locker ก่อน (เสียตังส์นะจ๊ะ ประมาณ 5$ ถ้าจำไม่ผิด) แล้วค่อยข้ามเรือข้ามฟาก ไปเที่ยวที่ตัวมาเล่ ทางรีสอร์ทเค้าจัดไกด์ท้องถิ่น ไว้คอยบริการพาเราไปเที่ยวตามที่ต่างๆบนมาเล่ ฟรี (แต่เราก็ต้อง tip เค้าเป็นสินน้ำใจหน่อย ใช่ไม๊คะ) ที่ตัวเมืองมาเล่ก็ไม่มีอะไร งั๊นๆ เหมือนที่เขียนไว้ในหนังสือท่องเที่ยว (ขอบอกว่าของราคาแพงกว่าบนรีสอร์ทเสียอีก ไม่รู้ทำไม???) 2 ทุ่มกว่าๆ ก็ข้ามเรือข้ามฟาก (ราคา 1$ / เที่ยว) กลับมาเอากระเป๋าที่ Locker แล้วก็เข้าไป Check in เดินทางกลับเมืองไทย เครื่องบินมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ เมื่อเวลา 5 นาฬิกา ของวันใหม่

The End. หวังว่า Blog นี้ จะเป็นประโยชน์กับคนทั่วไป ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มัลดีฟ แต่ถ้าหากว่าใครยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวในเร็ววันนี้ ก็หวังว่ารูปภาพใน Blog นี้จะทำให้ทุกท่านมีความสุข,มีความฝัน และเพลิดเพลินกับภาพวิวที่สวยงามบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

( จงอย่าหยุดฝัน ถึงแม้ว่าวันนั้นจะยังมาไม่ถึง )
Create Date : 18 กันยายน 2551 |
|
19 comments |
Last Update : 19 กันยายน 2551 20:20:17 น. |
Counter : 12174 Pageviews. |
|
 |
|