|
คิดต่าง ค่านิยมใหม่
ช่วงนี้เห็นหลายๆคนชอบพูดถึงมากเรื่ยองการคิดต่าง
ในความคิดเห็นของผม "การคิดต่าง" ผมเห็นว่าเป็นเรื่องของค่านิยมในช่วงเวลานี้ของคนในสังคมมากกว่า เมื่อก่อนเราอาจจะมีค่านิยมอย่างการสูบบุหรี่ การแต่งกาย ทรงผม ฯลฯ ซึ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ช่วงหลังนี้จะเห็นได้ว่าวัยรุ่นหรือไม่รุ่นหลายๆคนมีความคิดต่างและกล้าที่จะแสดงความคิดต่างให้สังคมรับรู้มากขึ้น และมันก็กลายเป็นค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบัน ในบางแง่มุมมันก็ทำให้เราได้ความคิดแปลกใหม่ที่เป็นความคิดดีๆและสร้างสรร แต่บางครั้งมันเหมือนกับเป็นความไร้สาระและเกรียนถ้าความคิดต่างเหล่านั้นมันไม่ได้ออกมาจากคนที่มีความคิดดีๆจริง คนบางคนก็พยายามจะคิดต่างในหลายๆหรือทุกๆเรื่องและพร้อมที่จะป่าวประกาศออกมาเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ว่า ข้านั้นเก่ง ข้ามีความคิดเป็นของตัวเอง และอาจจะถึงขั้นอยากให้คนอื่นมีความคิดแบบตนเองหรือมองคนอื่นที่คิดเห็นแบบเดียวกับคนส่วนใหญ่เป็นพวกไร้ความคิด บุคคลเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆในสังคมไทยหาดูได้ง่ายๆจากการตอบกระทู้ในพันทิพนี่เอง ผมคิดว่าเมื่อก่อนนี้คนที่จะเสนอแนวคิดแปลกใหม่มักเป็นคนมีความรู้ และมีความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่ปัจจุบันบางคนก็แสดงความคิดเห็นแตกต่างจากคนอื่นเพื่อที่จะให้มันเป็นความคิดต่างก็เท่านั้นเอง
ผมเองก็มีความคิดต่าง เยอะมากๆโดยเฉพาะช่วงที่ยังเรียนอยู่ อาจเพราะมีเวลาว่างมาคิดฟุ้งซ่านมากก็เป็นได้ จำได้ว่าตอนนั้นผมจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งสำหรับบันทึก "สิ่งหรือเรื่องต่างๆที่คิดได้ด้วยตัวเอง ไม่เคยได้ยินได้ฟังหรืออ่านจากที่ไหนมาก่อน" มันก็สนุกดีที่ได้เขียนสิ่งต่างๆที่เราคิดได้เองลงไป ผมไม่ได้เผยแพร่ความคิดนั้นหรือบอกความคิดนั้นกับใครเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องมาป่าวประกาศออกไปให้คนอื่นได้รับรู้ ถ้ามันเป็นเรื่องดีที่พิสูจน์ได้ก็สมควรป่าวประกาศแต่นี้มันเป็นแค่ความเห็นเท่านั้นเอง อีกสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ป่าวประกาศความคิดตัวเองก็เพราะไม่คิดว่าความคิดตัวเองนั้นถูกต้องเสมอไป ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเรากลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเองสมัยเด็กๆก็คงจะเจอกับบางอย่างที่เราในวันนี้คิดว่า ทำไปใด้ไงวะ หรือคิดไปได้อย่างไรวะ หนังสือความคิดต่างของผมเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ในวันนี้ความคิดเราเปลี่ยนแปลงไป หลายๆเรื่องในนั้นเราก็คิดอย่างนั้นจนถึงวันนี้ แต่หลายๆความคิดก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ตัวอย่างการคิดต่างของผม หนึ่งเรื่องจากสมุดบันทึก (แบบย่อ) เขียนเมื่อปี 47 (ยังละอ่อน) ใครๆก็สอนให้เราเลือกคบคนดี จนมีคำที่ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิดพาไปหาผล แต่สำหรับผมผมยินดีที่จะคบทั้งคนเลวและบัณฑิต คนเลว คุณก็รู้อยู้แล้วว่าเป็นคนเลว อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าเค้าเป็นคนเลวแบบไหน เวลาคบกัน คุณก็มีความระมัดระวังตัวและรู้จักการวางตัวให้เหมาะสม คบคน(ที่คิดว่า)ดี เพราะคิดว่าเป็นคนดีจึงขาดความระมัดระวังตัว หลายๆคนจึงถูกคนดีหลอก เอารัดเอาเปรียบ สรุปว่า คนดีคนเลวก็คบได้ทั้งนั้นถ้าคบอย่างมีสติ
มันเป็นแค่มุมมองเดียว แต่จนถึงวันนี้มาอ่านอีกครั้งความคิดนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และเวลานี้ ผมก็พร้อมที่จะบอกให้คนอื่นได้รับรู้
คืออยากจะบอกว่าคิดต่างได้ แต่เวลาจะป่าวประกาศไห้คนอื่นได้รับรู้ก็ควรจะคิดทบทวนให้รอบคอบ
Create Date : 23 พฤษภาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 12:06:11 น. |
| |
Counter : 763 Pageviews. |
| |
 |
|
|
อยากกลับบ้านแล้ว
คิดอยู่นานว่าจะอยู่ทำงานหรือกลับดี
กลับบ้านดีกว่า
กลับบ้านเรา...รักคอยอยู๋ กลับบ้านเรา...รักรออยู่
เบื่อๆเมืองไทยแล้วจะกลับมาใหม่นะ USA
Create Date : 09 เมษายน 2553 |
| |
|
Last Update : 9 เมษายน 2553 9:31:14 น. |
| |
Counter : 345 Pageviews. |
| |
|
|
|
เราจะไป เมกา
ชึ้นต้นหัวข้อว่าเราเพราะไม่ได้มาคนเดียว แต่ขอละเว้นไว้ไม่เล่าถึงนะครับ
เริ่มเรี่อง...
หลังจากมหาลัยตอบรับก็เป็นอันแน่นอนแล้วว่ามีที่เรียน แล้ว... ที่อยู่ล่ะ ไม่ได้มาตายดาบหน้าคนเดียวซะด้วย
ปํญหาเล็กๆที่กลายเป็นปัญหาใหญ่เมื่อ 1. ไม่มีญาติอยู่แถวนั้น 2. ไมเคยมีรุ่นพี่ไปเรียนที่นั่นมาก่อน 3. ตัวคณะไม่ได้อยู่ในมหาลัย คณะของผมแยกมาจากตัวมหาลัย ห่างกันแค่ 100 ไมล์เอง พึ่งมหาลัยคงไม่ได้ ตั้งแต่เรียนที่นี่เคยไปมหาลัย 2 ครั้งเอง ปฐมนิเทศน์กับประชุม
เอาล่ะสิตู จะอยู่อย่างไร
เริ่มต้นดวยการพึ่งอากู่หาคนไทยที่อยู่ในเมืองที่จะไป ปรากฏว่าไม่มีคำตอบ
ถ้างั้นลองหาร้านอาหารไทยก็แล้วกัน ในที่สุดฟ้าก็ปราณีส่งคูรพี่เจ้าของร้านอาหารมาให้รู้จัก แต่ขอบอก พี่เขาเป็นคนลาว 100% ครับ (มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก) ด้วยความที่เป็นลาวภาคกลาง ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง และพี่เขาก็ใจดีมากๆครับ ช่วยเหลือผมหลายๆอย่าง ถ้าไม่มีพี่คนนี้ก็คงลำบากเอาการอยู่
และแล้วก็มาถึง อเมริกา ได้พบเรื่องราวดีๆตามมาเป็นพรวนเลยเชียว
เรื่องแรก มาถึง LA (รัฐที่อยู่) พี่เจ้าของร้านอาหารเค้าก็มารับถึงสนามบิน และก็ให้เช่าห้องกับรถที่บ้านไปก่อน เลยรอดตัวไปไม่ต้องฉุกละหุก เนื่องจากอยู่กับร้านอาหาร ผมเลยได้ทานอาหารไทยตั้งแต่มื้อแรกที่มาที่นี่ครับ ค่าเช่าก็ OK ตกลงกันว่าค่าเช่า+ค่าอาหาร ผมสามารถทานอาหารที่ร้านได้ทุกอย่าง ทุกมื้อ แต่ต้องเป็นอาหารรทั่งไปในเมนูที่ไม่ใช่ sea food ซึ่งแค่นี้ก็ดีถมถืดแล้วครับ เฉพาะข้าวผัดก็เกือบ 10 เหรียญแล้ว หรือถ้าอยากจะโชว์ฝีมือเองก็ทำได้ มาอยู่แล้วถึงได้รู้ว่าทั้งเมืองมีร้านอาหารไทยแค่สองร้าน อีกร้านเจ้าของเป็นอินโด วันแรกที่มาถึงยังจัดข้าวของยังไม่เสร็จเลย professor (ต่อไปขอเรียกว่าจารย์นะครับ) โทรมาบอกว่าจะพาไปดูคณะ โอ้แม่เจ้า..ใจดีชะมัด จารย์ขับรถมารับถึงบ้าน image สุดยอดประทับใจ ดอกเตอร์อาจารย์เรา มากับเสื้อโปโล กางเกงขาสั้น รองเท้ากีฬา กะ toyota colora เก่าๆ ไม่รู้จารย์ท่านจะพอเพียงไปถึงไหน (สายอาชีพนี้ถ้าออกไปทำงานข้างนอกไม่มีต่ำกว่า 10000$ ต่อเดือน แล้วประสบการณ์ขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึง) แต่ก็เหมาะดีนะครับ อากาศที่นี่ร้อนพอๆกับเดือนเมษาเมืองไทยเลย
ขับรถ 18 ไมล์ไปถึงคณะ คณะผมตั้งอยู่ใน NASA space cennter ครับ ดูดีใช่มั้ยล่า อยากบอกว่าสาขาที่เรียนนี่แทบไม่เกี่ยวกับอวกาศเลย การจะเข้าไปได้ก็ต้องทำบัตรผ่าน กรอกรายละเอียดยันรุ่นก๋งกันเลยทีเดียว(คนจีนจะรู้) จนถึงทุกวันนี้แฟนผมยังไม่เคยเข้าไปที่คณะผมเลย จารย์ต้องขับรถไปกลับอีกเที่ยวเพราะเอกสารไม่ครบ(เกรงใจสุดๆเจือกความจำสั้น) บุญคุณจารย์ท่านนี้มีหลายเรื่องครับ ทั้งเรื่องการติดต่อกับมหาลัย ประสานงาน แถมยังเคยมาเข็นรถไห้ด้วยตอนสตาร์ทไม่ติด แดดก็ร้อน (เกรงใจโคตรๆอีกแล้ว) อีกเรื่องที่สุดยอดคือว่าปกติแล้วหลักสูตรที่มาเรียนจะเรียนแค่ปีเดียว อัดๆๆๆๆๆๆ ความรู้ไม่มีปิดเทอม กะว่าเรียนแบบนี้ศพไม่สวยแน่ผมเลยขอเรียน 2 ปี>>>ได้ ได้ใจขออีก จารย์ รัฐบาลให้เงินมาไม่ค่อยพอใช้เลยขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ได้หรือเปล่า (กะได้เงินเดือนมาใช่จ่ายเพิ่มนิดหน่อยก็ยังดี)>>>จัดให้ ฟรีค่าเทอมแถมค่าใช้จ่ายรายเดือน เท่าไหร่ไม่บอกแต่ใบ้ไห้ว่ามากกว่ารายเดือนจากรัฐบาล หวานเลยเราทุน 2 ทาง win win อีกแล้ว รัฐก็ไม่ต้องเสียค่าเทอม ตั้งแต่เรียนมาจนถึงตอนนี้จารย์เคยให้งานมาทำแค่ชิ้นเดียวเอง ทำไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ (เกรงใจอีกแล้ว) ตอนนี้ก็น่าเสียดายว่าจารย์ท่านกลับ Canada ไปแล้ว แต่ทุนยังอยู่ เฮ้อ..โล่งอก
ปล. ฝากถึงจารย์ที่เคารพ ถ้าภาษาผมดีขึ้นผมสัญญาว่าจะใจกล้าหน้าด้านขอทุนต่อเอกกับจารย์ที่ Canada ครับ
แต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะมีแต่ความสุข
บอกแล้วใช่มั้ยครับว่าที่เรียนอยู่ห่างจากบ้าน 18 ไมล์ ไม่มีรถรับส่งหรือบริการใดๆทั้งสิ้น สรุปว่าผมต้องขับรถไปเรียนเอง และต้องทำให้ได้ในวันถัดไปหลังจากมาถึง งานเข้าอีกแล้ว เปลียนจากขับขวามาซ้าย เหยียบ 120 บน highway (ปกติ 90-100) จำทางให้ได้ เงื่อนไขนี้สำเร็จได้โดย
จารย์พาไปกลับ 2 รอบ พอจำทางได้เย็นนั้นพี่ที่ร้านอาหารให้ยืมรถขับ ไม่ต้องมีการหัดออกถนนไปมหาลัยกันเลยโดยที่พี่เค้านั่งไปด้วย 1 เที่ยวไปกลับ จบ
วันรุ่งขึ้นขับคุณแก่ไปเรียนคนเดียว อยู่เมืองไทยใช้แต่ ออโต้ มาเจอเกียร์กระปุกก็คุณแก่นี่แหละครับ (mazda 6 ปี 90 กว่าๆมั้ง) ทางใหม่ รถคันใหม่(แต่เก่า) คนใหม่ สถานที่ใหม่ ไม่รู้รอดวันแรกมาได้ไง
มาอยู่ไม่ถึงเดือนผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับของขึ้นชื่อของ LA ครั้งนี้มันมาในชื่อว่า Gustav
ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าเราจะต้องมาหนี hurricane ถึงเมืองนอก 
แล้วเราจะไปไหนดี อยู่ยังไม่ถึงเดือนเลย เพื่อนๆก็ยังไม่ค่อยสนิท (ทั้งห้องมีอยู่ 9 คน) คนไทยคนอื่นก็ไม่รู้จัก คนไทยที่เมืองนี้น้อยมากนับได้ไม่ถึง 10 คน
ญาติเราไม่มีก็อาศัยญาติคนอื่นละกัน หนีตามคนอื่น(น้องเจ้าของร้าน)ไปอยู่กับญาติคนอื่นถึง Nashville ได้หยุดเรียนอาทิตย์เต็ม กลับมาก็เละเทะนิดหน่อย นึกว่าต้องหาบ้านใหม่ซะแล้ว นี่เป็นประสบการณ์ขับรถทางไกลครั้งแรกในอเมริกา กับรถเก่าๆ ไม่มี GPS ไม่รู้ทาง ไม่รู้จักที่หมาย ขับตามไปอย่างเดียว.......(ขับ 8 ชม คนเดียว)
ปล. รถคันนี้พัง(ต้องซ่อมใหญ่)หลังจากที่ผมซื้อรถคันใหม่ในเวลาแค่ข้ามคืน หลังจากทริปนี้ ไม่กี่เดือน ขอบพระคุณคุณแก่มากๆที่ทนอยู่กับผมจนได้รถคันใหม่มาก่อน ไม่งั้นไม่มีรถไปเรียนแน่เลย (หรือสงสัยว่ามันงอนที่ผมซื้อรถใหม่)
จบช่วงข้าวใหม่ปลามันแล้วครับ เรื่องหน้าคาดว่าน่าจะเป็นการใช้ชีวิตเรื่อยๆที่นี่
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน รบกวนผู้อ่านทุกท่านช่วยติติงด้วยนะครับถ้าพบว่ามีการเขียนผิด
Create Date : 26 กรกฎาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 12:17:17 น. |
| |
Counter : 318 Pageviews. |
| |
|
|
|
ได้ทุนเรียนต่อแล้วครับ
ใครๆก็คงจะดีใจที่ได้ทุนมาเรียนต่อต่างประเทศ ผมเองก็ดีใจมากเมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองได้รับทุนมาเรียนต่อโทที่อเมริกา แต่ทว่า...มันยังไม่จบแค่ได้รับทุน
หลังจากที่ได้รับทุนจากทร.แล้ว ผมก็จะต้องทำการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเองครับ ย้ำ ด้วยตัวเอง ซึ่งหมายถึงการ 1. สอบ โทเฟล และ GRE ให้ผ่าน 2. หาและสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่ระบุไว้ตามทุนให้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งสองข้อนี้ต้องทำไห้สำเร็จในระยะเวลา 2 ปี
การสอบ Toefl อาจจะง่ายสำหรับคนบางคน สำหรับนักเรียนมหาลัยทั่วไปผมไม่ทราบว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นเรียนกันลึกถึงขั้นไหน แต่ความรู้ภาษาอังกฤษที่สอนใน รร.ทหารนั้น การจะเอาไปใช้กับ Toefl มีโอกาสผ่านแทบจะเป็น 0 ดั้งนั้นหลังจากได้รับทุน สิ่งที่ผมต้องทำอันดับแรกก็คือการเรียน(กวดวิชา)ภาษาอังกฤษเพื่อให้ผ่าน Toefl ครับ...หลังจากที่มาทำงาน 1 ปี ผมต้องกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง ต้องแหกตาตื่นตั้งแต่ 0530 ทั้งๆที่ตอนไปทำงานตื่น 7 โมงก็ทัน ตอนทำงานใหม่ๆไอ้เราก็มองการณ์ไกลว่าไม่ย้ายหน่วยไปไหนแน่แล้วซื้อคอนโดมันซะเลย ตอนนี้มันกลับตาลปัตรจะย้ายไปเช่าหออยู่ใกล้รร. สอนภาษาก็ไม่ได้ ต้องมาผ่อนคอนโด
หลังจากเรียนภาษาอยู่ 1 ปี ในที่สุดผมก็สอบผ่าน Toefl (สอบผ่านนี่หมายถึงได้คะแนนนสูงพอที่จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้ครับ) ปัจจุบันการสอบเป็นแบบ internet base สอบผ่านคอมพิวเตอร์ ผมสอบผ่านในการสอบครั้งแรก (ค่าสอบ 150$) ดีใจมากแต่ไม่ปลื้มเท่าไหร่ รู้ตัวว่าผ่านเพราะดวงดี (reading มั่วถูกเยอะมาก 29/30) บอกได้เลยว่าครั้งนี้เป็นการสอบครังแรกที่ผมรู้สึกเครียด สอบ 1600-2000 พัก 10 นาที สอบเสร็จนั่งรถเมล์กลับบ้าน ท้องไส่ปั่นป่วนเหมือนจะอ้.. เลย ทั้งจากความเครียดกะไม่ได้กินข้าวเย็น
หลังจากรอดจากการสอบไปได้ก็มาที่การสมัครเข้ามหาวิทยาลัย เงื่อนไขมีอยู่ว่าผมต้องสมัครเข้าเรียนในคณะที่มีชื่อสาขาตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น ค้นใน google
ทั่ว อเมริกา มี 1 มหาลัยที่ชื่อตรง ทั่ว อังกฤษ มี 1 มหาลัยที่ชื่อตรง
สมัครเรียนที่อังกฤษ มันจะเอาคะแนน IELTS จะใช้คะแนน Toefl ก็ได้แต่มันเทียบคะแนนให้ต่ำมาก คะแนนไม่ถึงเกณฑ์สมัครเข้าได้
สำหรับผมแล้ว สรุปว่าตอนนี้...ทั้งโลก เหลือแค่ตัวเลือกเดียว ความจริงก็มีมหาวิทยาลัยอื่นที่เปิดสอนในสาขาเดียวกัน เนื้อหาเดียวกันแต่ชื่อสาขาต่างกับที่ระบุไว้ในสัญญาก็เลยสมัครไม่ได้ (ความจริงก็สมัครได้ครับแต่จะยุ่งยากเพราะต้องเปลี่ยนชื่อสาขาในสัญญาอีก)
มีใครบ้างถูกชะตากำหนดให้เช่นนี้ ขอบคุณพรหมลิขิตมากมาย(คอยอ่านต่อไปว่าฟ้าจะทำอะไรต่อไป)
เทคนิคการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย(ส่วนตัว) 1. ติดต่อมหาลัยล่วงหน้า 1 ปี ส่งเมลคุยกับคนที่เป็น professor ในคณะ คนไหนก็ได้ครับ ลองเข้าไปเชคประวัติดูในเนตว่าคนไหนทำ research เรื่องอะไร ถ้าเป็นแนวเราก็ติดต่อหาคนนั้นเลย บอกว่าเราสนใจด้านนี้ บลาๆๆ ถ้าเค้าสนใจเราเค้าจะเป็นคนช่วยคุยกับคณะให้ด้วยครับ 2. การเข้ามหาลัยต่างประเทศต้องคุยทั้ง 2 ทาง คือ กับคณะ และ กับ มหาลัย คุยกับคณะเพื่อไห้รู้ว่าเราต้องการเรียนที่คณะนี้ คุยกับมหาลัยเพื่อการสมัครเรียน เราต้อง co ทั้ง 2 ทางเอง 3. ยื่นใบสมัครปลายปีถึงต้นปี แล้วแต่มหาลัย ส่วนใหญ่ปิดรับสมัครช่วงเดือน 3 หรือ 4 มหาลัยส่วนใหญ่เปิดเทอมช่วง fall (สิงหา)
การได้มาเรียนรู้เอง สมัครเอง ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง 1. การมาเข้ามหาลัยต่างประเทศไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่ได้ทุนแล้วจบกัน ต้องมีการติดต่อและเตรียมการล่วงหน้าที่ดี 2. ถ้าเห็นคนรู้จักมาเรียนต่างประเทศแบบอยากมาตอนไหนก็มา อย่าไปอิจฉา รู้มาว่าบางคนอาจไม่ได่มาเรียนเอาปริญญา แค่มาเรียนภาษากะเที่ยวเฉยๆ(เพราะไม่ผ่านเกณฑ์การรับสมัคร)
โอกาส ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ได้มาเพราะความสามารถ+โชค ทุนมีมากมาย=โอกาสมีมากมาย บางทีคุณสามารถคว้าโอกาสนั้นมาไว้ในมือได้ เพียงแค่ใช้ความสามารถ
จบละครับ
Create Date : 20 กรกฎาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 11:19:29 น. |
| |
Counter : 394 Pageviews. |
| |
|
|
|
แรกเริ่ม ประเดิมBlog
เรื่องที่ผมเขียนทั้งหมดในBlogนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่เล่าสู่กันฟัง ขอให้ผู้อ่านโปรดอย่าได้ซีเรียส ชอบก็ชม ไม่ชอบก็เลิกอ่าน เนื้อหาที่เขียนก็จะเป็นประเภทประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาทั้งสนุกบ้างและบางทีก็ไม่
ผมเองจะพยายามใส่ข้อมูลและเขียนเท่าที่จำได้
ประเดิมตอนแรกก็ขอเขียนเกี่ยวกับตัวเองสักหน่อย 1. ไม่บอกประวัตินะครับ แต่ถ้าอยากรู้ ข้อมูลผมหาง่ายมาก ค้นในอากู๋ก็เจอ ทั้งชื่อไทย อังกฤษ มีหมด
2. เรื่องที่คุณจะได้อ่านใน blog นี้ อาจไม่สมบูรณืสวยงามในลักษณะของงานเขียนเนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่....(อ่านข้อ3)
3. ถ้าเปรียบผมเป็นคอมพิวเตอร์ ผมจะเหป็นคอมพิวเตอรที่มี CPU กับ RAM สูง แต่ความจุ hard dise จะต่ำมาก ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะทำให้เรื่องต่างๆที่ผมจะเขียนใน blogนี้มันดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง
ปล. นึกอะไรได้จะมาเขียนเพิ่ม
Create Date : 20 กรกฎาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 9:40:28 น. |
| |
Counter : 362 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
chaos_ats |
|
 |
|
|