ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ ม.68 หรือไม่ อย่างไร เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ๆ นักลงทุนให้ความสนใจประเด็นนี้พอสมควร ผมจึงอยากเสนอความเห็นทางกฎหมายเพื่อเป็นประเด็นพิจารณาต่อไปครับ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ ม.68 หรือไม่ อย่างไร ( ซึ่งผู้เขียนจะไม่กล่าวถึงหลักการทางรัฐธรรมนูญนะครับ เนื่องจากเป็นปัญหาในกรณีนี้ค่อนข้างน้อย และมีหลายฝ่ายกล่าวถึงอยู่แล้ว หรืออีกนัยหนึ่ง ขี้เกียจนั่นเอง 555+) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 68 บัญญัติว่า...ผู้ทราบการกระทำมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย...
เรื่องที่จะพิจารณาเป็นประการแรกคือ การตีความรัฐธรรมนูญ
ในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับของไทย ไม่ได้บัญญัติว่าจะตีความตามหลักเกณฑ์อย่างไร หลักเกณฑ์ที่น่าจะนำใช้มาเป็นหลักในการตีความ จึงควรเป็นหลักทั่วไปอันมีบัญญัติไว้ใน ปพพ. ซึ่งมีหลักว่าให้ตีความตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ (ย้ำว่าไม่ใช่การเอาหลักกฎหมายแพ่งมาใช้ตีความรัฐธรรมนูญนะครับ และความเห็นนี้ก็มีมาตั้งแต่ ยังไม่ถึง พ.ศ.2510 ด้วยครับ)
ในเรื่องนี้ เคยมีผู้ให้ความเห็นว่า ปัญหาในการตีความรัฐธรรมนูญเป็นปัญหาคำพูดยิ่งกว่าปัญหาในทางกฎหมาย นักปราชญ์ในทางภาษาดูเหมือนจะพูดได้ดีกว่านักกฎหมาย ถ้อยคำภาษาทั้งหลายในโลกนี้ย่อมมีบางคำที่มีความหมายได้สองทางต่างกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จำต้องล้วงลึกถึงความตั้งใจของผู้เขียนแห่งเอกสารนั้นๆ เพื่อที่จะได้เห็นแสงแห่งความหมายที่ตั้งใจไว้( รายงานการประชุมของคณะกรรมการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎร ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2498)
การที่มีการกล่าวว่ากรณีนี้เทียบกับกรณีที่นำเอาความหมายในพจนานุกรม ทำไมกรณีนี้ไม่ใช้วิธีการเดียวกันล่ะ กรณีนี้ต้องบอกว่า การนำความหมายในพจนานุกรมมาใช้ในการตีความเป็นเพียงวิธีการหลังจาก หาความหมายเฉพาะตามบทกฎหมายนั้นๆ หรือกฎหมายฉบับนั้น กล่าวอีกนัยคือไม่ได้มีความหมายที่เป็นความมุ่งหมายเฉพาะตามบทบัญญัตินั้นๆครับ
จากหลักการตีความกฎหมายดังกล่าวข้างต้น นำมาสู่ประเด็นที่มีความเห็นต่างกัน คือ ผู้ทราบการกระทำมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 หรือไม่ หรือศาลมีอำนาจรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่นั่นเอง ซึ่งการตีความบทบัญญัติมาตรานี้ ควรพิจารณาเรียงเดียวกันในกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้(ซึ่งเรื่องนี้ก็มีกล่าวกันไว้แล้วจากทั้งสองฝ่าย คงไม่เขียนอีกนะครับ) แต่ที่มีการพูดถึงน้อยคือ การกลับไปดูรายงานประชุมร่างกฎหมายมาตรานี้ครับ ว่าจะค้นหาความมุ่งหมายได้หรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ กรณีนี้ ผู้เขียนเห็นว่า หลักที่น่าจะนำมาเทียบเคียงได้ คือ หลักการดำเนินคดีอาญา ซึ่งถือเป็นกฎหมายเพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยของส่วนรวม เช่นเดียวกัน
บางท่าน อาจคุ้นเคย กับการที่เมื่อมีคดีอาญาเกิดขึ้น แล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งส่งสำนวนต่อไปยังพนักงานอัยการ ส่งฟ้องศาลต่อไป แต่แท้จริงแล้ว ช่องทางผ่านไปทางตำรวจหรือพนักงานอัยการเป็นเพียงช่องทางหนึ่งซึ่งประสงค์จะช่วยเหลือผู้เสียหายและเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น ผู้เสียหายในคดีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาต่อศาลเองได้ครับ (ป.วิ.อ. มาตรา 28) หรือที่ชัดเจนหน่อยคือ มาตรา 34 ป.วิ.อ. ซึ่งบัญญัติว่า คำสั่งไม่ฟ้องคดี (ของอัยการ) หาตัดสิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีโดยตนเองไม่ หรือกรณีของการตรวจสอบของ ปปช. ซึ่งต้องส่งสำนวนให้อัยการฟ้องต่อไป แม้อัยการจะไม่เห็นควรฟ้อง ปปช.ก็ยังคงมีอำนาจฟ้องเอง(แต่กรณีนี้อาจเทียบเคียงได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกัน) เป็นต้น ซึ่งจากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายมุ่งประสงค์ที่จะการการนำคดีไปฟ้องร้อง เพื่อพิจารณาในศาล สามารถทำได้ หลายช่องทาง มิใช่ทางพนักงานอัยการเพียงเส้นทางเดียว
ประเด็นที่เห็นควรนำมาพิจารณาต่อมาคือ เรื่องมาตรฐานการพิสูจน์ ซึ่งแบ่งได้หลายระดับ ดังนี้
1. proof beyond reasonable doubt คือการพิสูจน์ของโจทก์ให้เห็นว่าเหตุเป็นไปดังคำฟ้องโดยไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หากเทียบเป็นเปอร์เซนก็น่าจะประมาณ 80% ขึ้นไป โดยมาตรฐานนี้ จะใช้ในคดีอาญาครับ ทั้งนี้ มิใช่ proof beyond any doubt หรือ 100% ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงครับ
2. proof by clear and convincing evidence มาตรฐานการพิสูจน์จะต่ำกว่าคดีอาญาเล็กน้อย คือราวๆ 60-80%
3. proof on the balance of probability หรือเกิน 50% ซึ่งใช้ในคดีแพ่งทั่วไป
4. proof of prima facie case or probable cause ซึ่งเป็นมาตรฐานการพิสูจน์ในระดับต่ำสุด คือมีเหตุให้เชื่อว่ามีมูลเป็นจริงเช่นนั้น กล่าวคือ อาจจะเป็นไปแต่ ไม่จำต้องถึงขนาด 50% ซึ่งจะใช้ในกรณีการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา การขอออกหมายจับผู้ต้องหา เป็นต้น เมื่อแบ่งมาตรฐานการพิสูจน์ดังนี้แล้ว ปัญหาที่ควรนำมาพิจารณาประการต่อไปคือ พนักงานอัยการใช้มาตรฐานการพิสูจน์ในระดับใด ในการพิจารณาสั่งคดี ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากพิจารณา ขั้นตอนการเรียกผู้เกี่ยวข้องมาเบิกความไต่สวนก่อนสั่งคดีของพนักงานอัยการ จะเห็นได้ว่า มาตรฐานการพิสูจน์น่าจะต่ำกว่าระดับ 3. แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า จะสูงกว่าระดับ 4 หรือไม่ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การที่ให้คดีสำคัญๆ เป็นยุติเพียงชั้นพนักงานอัยการจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ประเด็นต่อมา ศาลในคดีนี้ มีอำนาจรับคำร้อง หรือไม่ หรือควรรับคำร้องหรือไม่
จากความเห็นของผู้เขียนดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าศาลควรรับคำร้องไว้พิจารณา อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญมีหลักว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร คำว่าทุกองค์กร จึงไม่ควรยกเว้น ศาลรัฐธรรมนูญเองด้วย จึงจำต้องตรวจสอบว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิฉัยประเด็นนี้ไว้หรือไม่ ซึ่งมีหลักว่า ข้อเท็จจริงเดียวกันควรวินิจฉัยเป็นอย่างเดียว แต่หากข้อเท็จจริง คนละอย่างก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน ซึ่งกรณีนี้มีผู้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยประเด็นนี้มาแล้วในกรณีขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์(ถ้าเข้าใจไม่ผิด) กรณีนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็น หัวหน้าพรรค ได้ให้ความเป็นว่าเป็นกรณีขอให้ยุบพรรค ซึ่งเป็นคนละกรณีกับคดีนี้ เนื่องจากผู้เขียนยังไม่เห็นคำวินิจฉัยดังกล่าว (ขี้เกียจค้น อิอิ) แต่ก็ไม่สนิทใจนักหากจะกล่าวว่าข้อเท็จจริงเป็นคนละประเด็นกัน เพียงพิจารณาจากคำขอแห่งคำร้องนั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเด็นแห่งคำวินิจฉัยดังกล่าว ว่าเป็นกรณีเช่นเดียวหรือไม่ ถ้าเป็นก็ควรที่จะวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกัน หากไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย เป็นอย่างเดียวกันครับ
ประเด็นที่ผู้เขียนเห็นควรพิจารณาประการสุดท้าย คือ หากศาลรับคำร้องไว้วินิจฉัยแล้ว ศาลสามารถพิจารณาได้แค่ไหน เพียงไร
ขอวางเป็นหลักการที่ศาลปฎิบัติมาตลอดตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ดังนี้ครับ หากเป็นเรื่อง ที่เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะว่าควรหรือไม่ อย่างไร ศาลจะไม่เข้าไปวินิจฉัยถึงความควรหรือไม่ดังกล่าว เว้นแต่จะขัดหลักเหตุผลโดยชัดแจ้ง(แบบใครๆก็รู้นั่นแหล่ะครับ) ศาลมีเพียงอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น เช่น มีอำนาจตรวจสอบว่าดุลพินิจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เท่านั้นครับ
ส่วนที่ว่าใครจะมุ่งหมายเอาชนะกันหรือไม่ อย่างไร ถ้าอยู่ในกรอบหลักการ แล้ว ผู้เขียนยังเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ ทั้งนี้ การกระทำจะแสดงให้เห็นเจตนาของผู้นั้นเอง และเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมจะชัดเจนขึ้นครับ เหมือนกราฟหุ้นน่ะแหล่ะครับ เวลาผ่านไปแล้ว แม่นอย่างกับจับวาง รู้งี้ๆ... อิอิ
ผู้เขียนยินดีน้อมรับ ทุกความเห็นและทุกคำวิจารณ์ครับ คิดเห็นอย่างไร ว่ากันด้วยเหตุแลผลครับ ^^ อ
v
สวัสดีคร้าบคุณดาว สาวน้อยคนโปรดผมน่ะคับ อิอิ
แต่คุณดาวไม่ยอมแพ้ใช่มะค้าบบ เรื่องความสวยยยย โดย: tonmai08 วันที่: 14 มิถุนายน 2555 เวลา:19:22:31 น.
ปัญหาคือในปัจจุบันประเทศเราไม่ได้มีกระบวนการตรวจสอบศาลที่ดีครับ
ศาลรัฐธรรมนูญ (และศาลต่าง ๆ) ไม่กลัวการทำผิด เพราะว่าถึงทำผิดจริงก็ไม่ได้มีบทลงโทษ อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่โดนถอดจากตำแหน่ง ซึ่งก็ต้องใช้เสียง ส.ว. ถึง 3 ใน 4 และรัฐธรรมนูญปี 50 ก็เตรียมการไว้เสร็จสรรพแล้ว ต่อไปถ้ามีกำหนดบทลงโทษมากขึ้น เช่นให้จำคุกศาลถ้าปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญหรือวินิจฉัยผิดพลาดโดยไม่รอบคอบก็น่าจะช่วยให้ประเทศนี้ดีขึ้นครับ แต่คงยากแหละครับ อำมาตย์ครองเมือง โดย: dark IP: 10.151.85.133, 1.20.1.133 วันที่: 14 มิถุนายน 2555 เวลา:23:51:01 น.
ด้วยความเคารพ คุณ dark น่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปนิดนะครับ
อันที่จริงศาลถือเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กระบวนการยุติธรรมครับ กระบวนการตรวจสอบที่สามารถให้ถอดถอนจากตำแหน่งโดย ส.ว. เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งครับ หากศาลทำผิดจริงก็มิได้พ้นจากความผิดทางอาญาซึ่งมีโทษจำคุกครับ และโทษก็หนักกว่าเจ้าพนักงานทั่วไปด้วยครับ นอกจากนี้หากการทำผิดนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย ก็สามารถฟ้องร้องทางแพ่งได้ครับ ที่สำคัญการตรวจสอบว่าศาลกระทำผิดหรือไม่ การตรวจสอบเบื้องต้นง่ายมาก เพราะมันอยู่ในสิ่งที่เขียนนั่นแหล่ะครับ การวินิจฉัยพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย มันมีหลักวิชาอยู่ครับ อย่างเช่น การตีความรัฐธรรมนูญ ก็มีการกล่าวถึงเรี่องนี้มาตั้งแต่ที่ผมนำมาลงแหล่ะครับ 2498 ส่วนสภาพสังคมปัจจุบันมีเหตุต้องเปลี่ยนแปลงการตีความหรือไม่ ก็ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่น หรือเพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากกว่าครับ สำคัญอยู่ที่ถูกหลักวิชาครับ มิใช่ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ก็ทำนองเดียวกับ การใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง เช่น การวินิจฉัยสั่งการต่างๆ เช่น บริหารจัดการเรื่องน้ำท่วมไม่ดี ก็อาจโดนฟ้องร้องได้เช่นกันครับ แต่จะต้องรับผิดหรือไม่ ต้องไปพิจารณาในรายละเอียดว่า จงใจหรือไม่ ประมาทหรือไม่ โดยปกติถ้าไม่มีเจตนาก็จะไม่มีความผิดทางอาญาครับ โดย: tonmai08 วันที่: 15 มิถุนายน 2555 เวลา:7:27:39 น.
ถ้าผมเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ผมคงอยากให้การพิทักษ์รัฐธรรมนูญมีช่องทางเลือกได้ คือ ถ้าผู้พิทักษ์ฯ เห็นว่ามีข้อมูลสามารถส่งอัยการ ถ้าอัยการละเลย ก็ส่งศาล ในกรณีของอัยการ ถ้าเห็นว่ามีมูลก็นำส่งศาล ถ้าไม่เห็นด้วย ก็จบไป ในกรณีของศาล มีสิทธิรับเป็นคดีหรือไม่ก็ส่งให้อัยการ
ผมคงไม่อยากให้อัยการเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญแต่เพียงผู้เดียว หรือ ท่านๆอยากให้เป็นเช่นนั้น ? โดย: หนึ่งความเห็น IP: 10.0.101.171, 118.175.5.167 วันที่: 15 มิถุนายน 2555 เวลา:8:17:11 น.
โดยกระบวนการควรเป็นเช่นนั้นครับ อัยการกับศาลทำหน้าที่ต่างกัน มาตรฐานการพิสูจน์ต่างกัน อัยการจริงๆ แล้วก็คือทนายความของรัฐ ซึ่งโดยหลักแล้วไม่ใช่ผู้ตัดสินครับ หากจะวางหน้าที่ให้ซ้ำซ้อนกัน ก็ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดในรูปแบบกระบวนการครับ
โดย: tonmai08 วันที่: 15 มิถุนายน 2555 เวลา:18:10:33 น.
"แม่" คำนี้ที่ยิ่งใหญ่
"แม่" คำนี้มีแต่ให้ "แม่" คำนี้ที่คอยห่วงใย "แม่" คือกำลังใจที่..... ลูกๆ หาได้ตลอดเวลา.... ขอให้ ...คุณแม่ และ คุณทนายต้นไม้ ...มีความสุข และ ครอบครัว ทุกคนนะคะ โดย: dawreung51 วันที่: 11 สิงหาคม 2555 เวลา:21:50:48 น.
ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ไม่มีอะไร มาขวางกั้น ความจงรักภัคดี ของคนไทย ทุกคน โดย: dawreung51 วันที่: 5 ธันวาคม 2555 เวลา:10:06:19 น.
โดย: dawreung51 วันที่: 25 ธันวาคม 2555 เวลา:13:58:42 น.
ดาว ขอ ให้ ปีใหม่นี้ เป็นปีที่วิเศษสุด ของคุณและครอบครัวทุกคน และ อิ่มเอมด้วยบุญบารมี มีความสุขตลอดกาล นะคะ
โดย: dawreung51 วันที่: 1 มกราคม 2556 เวลา:1:47:03 น.
新正如意 新年发财
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปีนะคะ โดย: dawreung51 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:19:41:50 น.
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ
มีความสุขมาก มาก เงินทองไหลมาเทมา นะครับ โดย: ตากลมอมตังค์ วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:04:23 น.
ขอพร อันประเสริฐ ทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลก คุ้มครอง ให้...คุณทนายต้นไม้..... รวมทั้งครอบครัว ทุกคน มีแต่สิ่งดีดี เข้ามาในชีวิต พบแต่ ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกิจการงาน และ หน้าที่การงาน รวมทั้ง สรรพสิ่ง ต่างๆ ที่อันอาจจะเกิดขึ้น ในอนาคตต่อไป ให้ รุ่งเรือง โชติช่วง ตลอด ปีใหม่ไทย นี้ และ ตลอดไป ค่ะ โดย: dawreung51 วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:21:13:20 น.
สวัสดีค่ะ
โดย: ป้ายแดง IP: 27.55.96.117 วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:10:24:34 น.
|
tonmai08
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog | ||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
สวัสดีค่ะ คุณต้นไม้
ดาวเห็นว่า สวยดีค่ะ สาว ใน เฮด นะคะ