|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
| |
|
|
อีกปีหนึ่งของพ่อ
บทความนี้ ได้ไปอ่านเจอในเว็บรักลูก สมัยที่ท้องประมาณซัก 4-5 เดือน ช่วงนั้นรู้สึกกังวลมาก ว่าจะเลี้ยงลูกไม่ได้ เลี้ยงลูกยังไง ไม่มีใครมาช่วยเลี้ยง เลี้ยงไม่เป็น จะเลี้ยงเองได้ยังไง ไม่เคยเลี้ยงเด็ก แล้วจะมีที่ฝากรับเลี้ยงมั๊ย ถ้าถึงวันที่กลับมาทำงาน
แต่พอมาอ่านเจอบทความนี้เข้า เราอ่านแล้วร้องไห้ เรารู้สึกว่าเราผิดกับลูก เราไม่น่าคิดแบบนั้น แม่ขอโทษ แล้วความรู้สึก กลัวแบบนั้น ก็หายไปจากชีวิตทันที ตั้งแต่วันนั้น
อีกปีหนึ่งของพ่อ โดย: ชนะ เสวิกุล คนเรานี่ใช้ปีเปลืองดีเหมือนกันนะครับ ปีเก่ายังใช้ได้ไม่ทันคุ้มสักเท่าไรเลย เผลอแป๊บเดียวนี่ก็เปลี่ยนปีเสียอีกแล้ว ก็ตกใจอยู่ เพราะมานึกๆ ดูแล้วพบว่า ผมมานั่งเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังอยู่ตรงนี้ปีหนึ่งเข้าให้แล้ว ระยะเวลาหนึ่งปีนี่มีความหมายสำหรับหลายๆคนแตกต่างกันไปนะครับ หนึ่งปีสำหรับคนเราทุกคน ก็คืออายุที่เพิ่มขึ้น หนึ่งปีสำหรับนักเรียน ก็คือเวลาแห่งการสอบ จะสอบปลายภาคหรือเอนทรานซ์ก็ตามแต่ หนึ่งปีสำหรับคนทำงาน ก็คือเวลาที่จะได้รับโบนัสให้ชื่นใจหลังจากที่คร่ำเคร่งเหน็ดเหนื่อยกับงานกันมา และหนึ่งปีสำหรับคุณพ่อมือใหม่ (ตอนนี้เพิ่งเทิร์นโปรมาหมาดๆ) อย่างผม ที่มีหน้าที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณๆอยู่ตรงนี้ประจำทุกเดือน ก็คือเวลาที่มีความสุขมากๆ มีความสุขตรงที่ได้เล่าถึงเรื่องของเจ้าตัวเล็ก และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเพราะเขาให้คุณๆได้ฟังตามประสาของคุณพ่อขี้เห่อ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเห่อไม่เสร็จ แต่บวกอาการคันเพิ่มไปด้วย คือคันไม้คันมืออยากจะตีเข้าให้สักที ค่าที่ว่าเจ้าตัวเล็กตอนนี้ซนเป็นลิงเลยทีเดียว ซนไม่ซนเปล่า เดี๋ยวนี้ยังเถียงเก่งเสียอีกด้วย ห้ามอะไรเข้าหน่อย แม่ตัวดีก็เงยหน้าทำตาแป๋ว .....อ้าว ไมอ่ะ..... น่าหมั่นไส้จริงๆ...
จะว่ากันไปแล้ว ปีหนึ่งๆในสมัยที่ยังเป็นโสด หรือยังไม่มีลูกนั้น เป็นปีที่มักจะสนุกสนานในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ จะคิดทำคิดเที่ยวอะไรก็เป็นเรื่องตัวเองทั้งนั้น แต่พอมาเป็นคุณพ่อแล้ว ช่วงเวลาในแต่ละปีก็กลายเป็นเรื่องของลูกไป เอาง่ายๆแบบเห็นภาพชัดๆกันเลยก็คือ ข้อแรก พอมีลูกปุ๊บผมก็ต้องหยุดพักกิจกรรมต่างๆที่เคยทำก่อนหน้านี้ไว้ทั้งหมดเคยไปเที่ยวสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนก็ต้องงด เคยไปตีกอล์ฟกับพรรคพวกก็ต้องเลิก ขนาดเรื่องไปดูหนังตามโรงหนังที่เคยชอบยังต้องพักไว้ก่อนเลยด้วยซ้ำ ก็ไม่มีใครมาบังคับหรอกนะครับ แต่ใจมันอยากจะงดจะเลิกเสียเอง เพราะอยากจะใช้เวลากับลูกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วอีกอย่าง ผมคิดของผมว่าไอ้เรื่องไปดูหนังฟังเพลง ไปเล่นกีฬาอะไรต่อมิอะไรนั้น อีกสักหลายๆปี พอลูกโต ค่อยไปทำไปเล่นก็ยังทัน แต่เรื่องลูก ถ้าพลาดโอกาสอยู่กับเขาตอนที่เขายังอยากอยู่ใกล้ๆเรา แล้วคิดหวังจะไปคลุกคลีกับเขาตอนเขาโตก็คงหมดสิทธิ์ เพราะถึงตอนนั้นเขาก็คงจะอยากมีสังคม มีเวลาส่วนตัวกับเพื่อนกับฝูงตามประสาของเขาเองมากกว่า
ข้อต่อมา พอมีลูกแล้ว คนเป็นพ่อแม่มักอยากใช้เวลาสังเกตสังกาเฝ้าดูขั้นตอนพัฒนาการในช่วงต่างๆของลูกมากกว่าพัฒนาการ (ขาลง) ของตัวเอง
นั่นคือ คอยห่วงแต่ลูกว่าถึงอายุนี้วัยนี้แล้วลูกเป็นอย่างไรบ้าง ถึงเวลาฉีดวัคซีนหรือยัง หิวหรือยัง ง่วงหรือยัง ใกล้ถึงเวลาที่เขาจะเข้าอนุบาลแล้ว ก็รีบไปติดต่อโรงเรียนที่เล็งๆเอาไว้ว่าจะดีจะเหมาะกับลูก ฯลฯ ทั้งหมดนี้โดยไม่ได้ยุ่งกับตัวเองเท่าไร ตัวเองจะหิวจะง่วงจะโทรมจะอะไรยังไงไม่ทันมีเวลาไปสนใจ เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับลูก เวลาไปที่ห้างสรรพสินค้า ก็จะคอยมองแต่ของของลูก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น ฯลฯ ไปถึงก็อดไม่ได้ที่จะตรงไปแผนกเด็กก่อน แผนกอื่นๆที่ตัวเองเคยชอบไปเป็นอันว่าหมดความหมายไปโดยปริยาย
เพราะฉะนั้นปีที่ผ่านมาของผม จึงเป็นอีกปีหนึ่งที่มีแต่เรื่องลูกเข้ามาเกี่ยวข้องแบบเต็มๆ โดยแทบจะไม่มีช่องว่างให้กับเรื่องของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตสดชื่นดีเหลือเกิน...
จำได้ว่าปีที่ผ่านมานั้น เป็นปีที่ลูกสาวผมเริ่มพูดเป็นวลีได้แล้ว เช่น อยากกินน้ำ อยากไปโน่นไปนี่ ฯลฯ และก็เรียกชื่อสิ่งของต่างๆ รวมทั้งชื่อของสมาชิกในบ้านได้หมด รวมทั้งเจ้าหมาแก่สามตัวที่บ้านด้วย ซึ่งอย่างหลังนี่นอกจากจะเรียกชื่อแล้วยังชอบสั่งมันให้มาหาอีกต่างหาก เช่น มาเร็วๆ..มาเร็วๆ บางทีพอได้ยินมันเห่าก็ทำเสียงเห่าตาม เริ่มเดินเองได้ หลังจากที่เล็งๆยงโย่ยงหยกกลัวๆกล้าๆมานาน และก็คงจะอัดอั้นที่เสียเวลาเตรียมตัวอยู่นาน พอเดินได้ก็เลยแทบจะวิ่ง ผลก็คือหกล้มได้แผลที่หัวเข่าประจำ จนผมเลิกตื่นเต้นเมื่อเห็นลูกมีแผลถลอกไปแล้ว เป็นปีที่ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างครั้งใหญ่ จากเด็กทารกกลายเป็นเด็กเล็ก เริ่มทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เริ่มใช้ช้อนกินข้าวได้ เริ่มดื่มน้ำจากกระบอกได้ เริ่มสื่อสารกับพ่อแม่กับคนอื่นๆได้มากขึ้น และก็เป็นปีที่ผมรู้สึกว่าเขาเริ่มกลายเป็นเพื่อนกับผมมากกว่าเป็นลูก... เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมนั่งเล่นอยู่กับเขา ดูเขาเดินไปเดินมาจับโน่นเล่นนี่อยู่ในบ้าน แล้วก็นึกในใจว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วเสียจริงๆ รู้สึกเหมือนไม่นานมานี้ เจ้าตัวเล็กที่กำลังเดินซนอยู่ทั่วบ้านนั้นเพิ่งจะนอนร้องไห้เสียงดังอยู่ในเปลพลาสติกที่ห้องเด็กอ่อนของโรงพยาบาลอยู่เลย
รู้สึกเหมือนเพิ่งจะอุ้มเขาพาดไว้กับบ่า เพื่อทำให้เขาเรอหลังทานนม รู้สึกเหมือนเพิ่งจะต้องตื่นทุกสามชั่วโมงเพื่อมาป้อนนมเขา ตอนนั้นก็คิดว่าเวลามันก็ดำเนินไปตามปกติอย่างที่เคยล่ะนะครับ แต่พอมารู้สึกตัวอีกที เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่น่าเชื่อว่าวันเวลาเหล่านั้นผ่านไปเกือบจะสองปีแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวเล็กเดินได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มเขาพาดบ่าเพื่อให้เรอ แถมตัวก็สูงเกือบจะเมตรหนึ่ง
ดูเขาตอนนี้เทียบกับรูปถ่ายเมื่อตอนเดือนแรกๆแล้วก็ใจหาย... ใจหายเมื่อคิดว่าอีกไม่กี่ปี เขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีชีวิตส่วนตัวของเขา มีครอบครัวมีภาระมีหน้าที่การงานของเขาเอง อีกไม่กี่ปี เขาก็จะไม่ใช่ลูกเล็กที่ชอบเดินเตาะแตะมาเกาะขาผม ไม่ใช่ลูกเล็กที่ร้องอ้อนให้พ่ออุ้ม ขอให้พ่อป้อนข้าวป้อนน้ำป้อนขนม และก็จะไม่ใช่ลูกเล็กที่ผมจะนอนกอดโอ๋ๆ เขาในตอนเข้านอนได้อีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้น ผมก็คงจะมีเวลาว่างในแต่ละปีอีกครั้ง เหมือนเมื่อก่อนมีลูก คงมีเวลาไปเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลง ไปตีกอล์ฟหรือทำอะไรต่อมิอะไร ตามใจของผมอย่างที่เคย อย่างที่คิดว่าอยากจะทำ แต่คงจะเป็นปีที่แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเหงาเหลือเกิน จาก: รักลูก
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็มาอ่านตรงย่อหน้าสุดท้ายนี่ แล้วคิดว่า ช่วงเวลาที่ลูกต้องการเรานั้น มันช่างเป็นเวลาน้อยนิด ถ้าเทียบกับช่วงชีวิตของเราและของลูก แม่จะจดจำเวลานั้น และเก็บเกี่ยวมันให้มากที่สุด ก่อนที่ลูกของแม่จะเติบโต แข็งแรง และโบยบินออกสู่โลกภายนอก โดยที่แม่ยืนมองอยู่ข้างหลัง
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2554 |
|
1 comments |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2554 13:55:08 น. |
Counter : 2784 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
|