วีธีการเลือกซื้อ Televisions
เดี๋ยวนี้ TV มีให้เลือกหลากหลายเทคโนโลยี มากมายหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็ออกมากันหลายรุ่น แต่ละรุ่นก็มีอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ ถ้าเราไม่มีความรู้หรือศึกษามาก่อนว่าอะไรคืออะไร แล้วเดินเข้าไปในร้านขายทีวีที่มีทีวีตั้งเรียงรายอยู่รายสิบรายร้อย ดูป้ายราคา ดูรายละเอียดแต่ละรุ่่น ฟังคนขายเชียร์เครื่องนู้นเครื่องนี้ เดินไปเดินมาก็อาจจะเกิดอาการมึนเมาได้ทั้งๆที่ไม่ได้กินเหล้าแล้วสักจิ๊บ วันนี้ผมจะมาให้ข้อมูลและแนะนำวิธีเลือกซื้อเป็นขั้นตอนง่ายๆครับ ขั้นตอนการเลือกซื้อ 1. เลือกขนาดหน้าจอ: การที่นั่งดูทีวีไกลไปคุณจะไม่เห็นรายละเอียดของภาพในทีวีแสนแพงอย่างเต็มที่จากเงินที่คุณเสียไป ส่วนการที่นั่งใกล้ไปแทนที่จะเห็นรายละเอียดเรากลับเห็นภาพเป็นจุดสี่เหลี่ยมๆแทน (เห็น pixel นั่นเอง) แถมดูแล้วยังอาจจะมึนได้เพราะภาพขนาดใหญ่เกินไป ขนาดของทีวีเราควรจะเลือกให้เหมาะสมกับระยะห่างระหว่างเรากับทีวี ถ้าห้องเราเล็ก ซื้อทีวีใหญ่ๆก็ไม่เป็นผลดี แล้วขนาดเท่าไหร่ละดี ตามนี้เลยเลือกเอา ถ้าดูแล้วขี้เกียจจำ ให้คำนวนเอาครับ หลักการมีอยู่ว่า ระยะดู TV ที่ดีควรจะอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 2.5 เท่าของขนาดหน้าจอทีวี เช่น ทีวีขนาด 42 นิ้ว ควรดูในระยะ 42×1.5 = 63 นิ้ว(1.5เมตร) ถึง 42×2.5 = 105 นิ้ว (2.6 เมตร) 2. เลือกเทคโนโลยี LCD, Plasma หรือ Projector โปรเจคเตอร์: ณ เวลานี้ผมคิดว่าคุณมีแค่ 3 ตัวเลือก ถ้าคุณจะซื้อทีวีสักเครื่องไว้ดูในห้องนั่งเล่น, คุณคงไม่มานั่งหาบทความอ่านหรอกถ้าคุณจะต้องการซื้อ CRT แล้วผมว่าคนธรรมก็คงยังไม่มีใครบ้าพอที่จะซื้อ OLED TV ตอนนี้ด้วย Front Projection TV หรือบ้านเราเรียกว่า Projector: ข้อดี: - ได้ภาพใหญ่สะใจเหมือนดูในโรงหนัง ดูได้ใหญ่ถึง 100 นิ้ว(วางProjector ไกลๆจากฉาก) คุณภาพดี contrastเยี่ยม ข้อเสีย: - ไม่มี TV tuner อยู่ในตัว, หมายถึง Projector เป็นตัวแสดงภาพอย่างเดียว ถ้าไม่มีแหล่งกำเนิดภาพให้มัน เช่น Computer, เครื่องเล่น DVD, Blue Ray หรือ TV tuner มันก็แสดงภาพอะไรไม่ได้ - ต้องดูในห้องมืดอย่างเดียว ถ้าดูในห้องนั่งเล่นมีแสงหน้าต่างประตูเข้ามาอย่าหวังจะเห็นภาพดีๆ - ส่วนใหญ่ไม่มีเสียงในตัว - ห้องต้องใหญ่พอประมาณ เพื่อให้ได้ระยะขนาดภาพใหญ่ๆ - หลอดไฟมีอายุไม่นาน (ประมาณ 2000 ชมเท่านั้น) ถ้าดูวันละ 4 ชม ปีกว่าๆก็ต้องเปลี่ยนหลอดแล้ว Plasma: ข้อดี: - ราคาถูก ได้ภาพสวย สีสดใส constast สุดยอด - มุมในการดูกว้่าง เห็นภาพในสีสันเดียวกันในทุกๆมุมที่ดู - อายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 60,000 ชม ถ้าดูวันละ 4 ชม ก็ดูได้กว่า 40 ปี (จะตายก่อนไหมเนี๊ย) ข้อเสีย: - หน้าจอสะท้อนแสงเหลือเกิน - ขนาดหนากว่า LCD/LED - กินไฟกว่า LCD - ไม่มีจอเล็ก จอเล็กสุดก็ 42 นิ้ว - จอไม่ได้ใหญ่เท่า Projector , ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็ประมาณ 60 นิ้ว - ไม่เหมาะสมสำหรับการนำเอามาเล่นเกมส์หรือต่อกับ Computer เพราะจะทำให้หน้าจอไหม้ (ทำไม? อ่านข้างล่างน่ะ) LCD: ข้อดี: - ด้วยขนาดหน้าจอที่เท่ากัน ตัวทีวีจะบางกว่า - ประหยัดไฟกว่า Plasma - อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยพอกันกับ Plasma 60,000 ชม ถ้าดูวันละ 4 ชม ก็ดูได้กว่า 40 ปี ข้อเสีย - ราคาจะแพงกว่า Plasma - contrast แย่กว่า - มุมในการมองแคบกว่า - ภาพเบลอเมื่อเปลี่ยนภาพไวๆ เช่น ตอนดูหนัง action, ดูกีฬา - จอไม่ได้ใหญ่เท่า Projector , ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็ประมาณ 60 นิ้ว LED: ไม่อยากจะเรียกเลยว่า LED ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องควรจะเรียกว่า LCD ที่ใช้ Back light เป็น LED มากกว่า (งง? ไปอ่านรายละเอียดด้านล่างน่ะ) - ข้อดีข้อเสียเหมือน LCD แต่่จะประหยัดไฟกว่า จะมีขนาดที่บางกว่า , Contrast ดีกว่า
และแพงกว่า ปล. ทีวีในตลาดตอนนี้ที่คนเรียกๆกันว่า LED จริงๆแล้วมันคือ LCD ที่ใช้ Back light เป็น LED ทั้งหมดๆๆๆ ยังไม่ต้องหวังว่าจะเจอ LED ของจริง และก็ถ้าจะเป็น LED ของจริงเค้าจะเรียกว่า OLED หรือ AMOLED 3. เลือกยี่ห้อ ยี่ห้อนี่แนะนำกันยากแล้วแต่ความชอบ บางคนชอบดีไซน์ยี่ห้อนูนยี่ห้อนี้ บางคนชอบเพราะมันถูก บางคนติด Brand ผมให้ข้อมูลบางอย่างไว้ตัดสินใจละกัน เรื่อง Reliability (ความน่าเชื่อถือ ความยาวนานและความคงทนในการใช้งานทีวี) เรื่องนี้ไม่สามารถดูได้ด้วยหน้าตา หรือคำพูดของคนขายหรือใครต่อใคร ข้อมูลที่แท้จริงเท่านั้นครับที่จะบอกได้
เว็บ Consumer report ได้ทำการเก็บสถิติระหว่างปี 2007 ถึง 2011 กว่า 200,000 ข้อมูลจากคนใช้ทีวีจริงๆว่าใครใช้ยี่ห้ออะไร แล้วทีวีมีปัญหาหนักๆ หรือต้องส่งซ่อมบ้าง จอ Plasma: ยี่ห้อ LG มีประวัติเสียมากที่สุด, Panasonic มีประวัติเสียน้อยที่สุด จอ LCD/LED: ยี่ห้อ Mitsubishi มีประวัติเสียมากที่สุด แต่บ้านเราไม่มีขาย รองๆลงมาคือ Philips , และ Panasonic แต่นแต๊น
มีประวัติเสียน้อยที่สุดเช่นกันครับ
LG , Samsung อยู่กลางๆน่ะ ใครอยากรู้รายละเอียดกรุณาสมัครสมาชิก Consumer report แล้วจะได้ข้อมูลลึกว่านี้ แถมเค้ายังจัดลำดับให้คะแนน TV แต่ละรุ่นอย่างละเอียด //www.consumerreports.org/ ข่าวสำคัญ Sony ไม่ได้จะเลิกทำ TV ตามข่าวลือ Hitachi มีแผนจะเลิกทำ TV สิ้นเดือนกันยาปีนี้ Samsung มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในโลก โดยครองตลาดประมาณ 22.8% Q32011 4. เลือกว่าจะเอาทีวีแบบ 3มิติรึเปล่า ทีวีแบบ 3มิติ( 3D) - ลูกเล่นที่ผู้ผลิตทีวีพยายามจะยัดเยียดให้ลูกค้าเหลือเกิน ส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบ 3D เพราะดูทีไรแล้วมึนทุกที, และโอกาสการใช้งานน้อยเพราะDVD, Blueray ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะให้เป็น 3D ก็ยังน้อยอยู่, ถ้าใครอยากได้ทีวีดีๆราคาถูกก็ตัดตัวเลือกที่เป็น 3D ออกได้เลยครับ, ทีวีแบบ 3D ทุกวันนี้ใช้เทคโนโลยีอยู่ 2 แบบ 1. Active หรือ Active Glass หรือ Shutter glasses ข้อดี: - ได้ภาพแบบ full HD (ไม่จริง
.อ่านต่อไปเดี๋ยวบอก) ข้อเสีย: - แว่นตาจะใหญ่และหนักเพราะต้องใส่แบตเตอรี่ และมีวงจรไว้ควบคุมการปิดเปิดของเลนส์และส่งสัญญาณ Syn กับทีวี - ตาเราจะล้าหรือมึนจากกับปิดเปิดเลนส์ของแว่นตาหรือเรียกภาพแบบนี้ว่า flicker - ความสว่างของจอลดลงกว่าครึ่ง เพราะว่าใน 1 ช่วงเวลา เราเห็นภาพจากตาข้างเดียว - ภาพเบลอเพราะ cross talk (การที่เราเห็นภาพสลับตาซ้ายและขวา ทำให้เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดของภาพจริงๆได้) 2. Passive หรือ FPR ย่อมาจาก Film Patterned Retarder ข้อดี: - แว่นตาบางเบา ราคาถูก เพราะแว่นตาแค่ถูกเคลือบด้วย circular polarized filer บนเลนส์เท่านั้น นอกจากนั้นยังสามารถแว่นตาเป็น Clip เพื่อติดกับแว่นสายตาสำหรับคนสายตาสั้นยาวได้ - ตาไม่เกิดความล้าเพราะภาพไม่สั่น ไม่มีการสลับภาพระหว่างตาซ้ายและขวา - ไม่มี cross talk - ดูได้ในมุมที่กว้างกว่า - ดูได้หลายคนมากกว่าเพราะมุมในการดูที่กว้างกว่า และแว่นตาไม่ต้อง Syn กับทีวี( ทีวี แบบ Active glass จะจำกัดจำนวนคนดู) - ได้ภาพแบบ full HD , ข้อนี้อาจมีคนเถียง เพราะจริงๆแล้วตาเราหนึ่งข้างเห็นภาพที่ความละเอียดครึ่งนึงเท่านั้น เช่นตาซ้ายเห็นเส้นภาพที่ 2,4,6,
และตาขวาเห็นภาพที่เส้น 1,3,5,
ดังนั้นความละเอียดภาพที่ตาเราเห็นจริงๆ(ต่อข้าง)ควรจะเป็นครึ่งนึงสิ!!!
ดร.เรมอนด์ โซเนยรา (Dr. Raymond Soneira) ผู้เชี่ยวชาญด้านทีวี ทำการทดลองและทดสอบออกมาแล้วว่ามันไม่จริง เรายังคงเห็นภาพแบบ full HD อยู่เพราะสมองเราทำการรวมภาพระหว่างตาซ้ายและตาขวา ใครสงสัยรายละเอียดไปอ่านได้ที่นี่ ดังนั้นใครอยากได้ทีวี 3D ดีๆ ผมแนะนำให้ซื้อแบบ Passive หรือ FPR
ทุกวันนี้มี 3 บริษัทที่ทำทีวีแบบนี้ออกมาแล้ว - LG ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ มีชื่อทางการค้าว่า Cinema 3D , Vizio, Philips (มี 2 แบบให้เลือกรุ่น Easy 3D) - Samsung, Sony 3D TV ยังคงมีแต่แบบ Active glass อยู่ 5. เลือก Spec และ Feature ต่างๆ ความละเอียดหน้าจอ (Resolution) - ยิ่งตัวเลขมากก็ยิ่งได้ภาพละเอียด HD: HD คือ High Definition มีอยู่ 2 อย่างคือ HD แท้ หรือ Full HD 1080p กับ HD ปลอม 720p (แล้วจะเรียก HD ทำไมฟระ)
1080p คือ ความละเอียด 1920 x 1080 pixel แบบ progressive scan 720p คือ ความละเอียดแบบ 1280 x 720 pixel แบบ progressive scan ปล. ถึงแม้ทีวีคุณจะเป็น HD แต่ว่าถ้าต่อกับแหล่งกำเนิดภาพที่ให้ภาพละเอียดน้อยกว่า ภาพที่เราเห็นที่หน้าจอก็ไม่ได้ละเอียดน่ะ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดภาพด้วย ความละเอียดของแหล่งกำเนิดภาพ - VCD: ระบบ Pal ความละเอียดอยู่ที่ 352 x 288pixel, ระบบ NTSC 352 x 240 pixel - DVD: ระบบ 25 fps ขนาดภาพละเอียดสุดอยู่ที่ 720 x 576 pixel, ระบบ 29.97 fps ขนาดภาพละเอียดสุดอยู่ที่ 720 x 480 pixel (หรือที่บางคนเรียกว่า 480p) - HD-DVD หรือ Blueray: รองรับภาพ HD ตั้งแต่ 720p ถึง 1080p , ดูดีๆเวลาซื้อว่ามันเป็น HD ความละเอียดเท่าไหร่ - cable-UBC มีแบบ HD1080i แล้ว ดูรายละเอียดได้ที่นี่ ช่องเชื่อมต่อสัญญาณ(Port) - เพื่อเอาสัญญาณจากแหล่งกำเนิดภาพภายนอกเข้าสู่ทีวี - นอกจากคุณภาพภาพจะขึ้นอยู่กับทีวีและแหล่งกำเนิดภาพแล้ว คุณภาพภาพยังขึ้นอยู่กับช่องเชื่อมต่อหรือสายเชื่อมต่อด้วย HDMI คือ Port ยอดนิยมที่ให้คุณภาพภาพและเสียงดีที่สุดอยู่ในเวลานี้ , สาย HDMI จะส่งข้อมูลภาพและเสียงในระบบ Digital ในสายเส้นเดียว ได้คุณภาพภาพสูงสุด 1080p หรือมากกว่า DVI คือ Port ที่มาก่อนหน้า HDMI ส่งภาพอย่างเดียวในระบบ Digital ภาพที่ได้จาก DVI จะมีคุณภาพเช่นเดียวกับ HDMI เพียงแต่สายสัญญาณ DVI จะไม่มีการส่งสัญญาณเสียงเท่านั้นเอง VGA คือการส่งสัญญาณภาพแบบ Analog , สามารถส่งสัญญาณภาพได้ละเอียดสูงสุดเพียง 640×480 pixel(แบบ 16สี), หรือ 320×200(แบบ 256 สี) Contrast Ratio - ความเปรียบต่างความสว่างของแสงระหว่างสีขาวและสีดำ ยิ่งค่ามากยิ่งให้ภาพดูดี (สีขาวขาวจริงและสีดำมึดจริงๆ) ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานใดๆออกมาอย่างทางการในการวัดค่านี้ แต่มีวิธีวัดแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือแบบ Static Contrast Ratio และ Dynamic Contrast Ratio Static คือวัดที่ภาพๆเดียว(เวลา = 0) , Dynamic คือวัดการวัดภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่ย่างไรก็ตาม วิธีวัดของแต่ผู้ผลิตก็ไม่เหมือนกัน(โดยมากจะพยายามวัดกันให้ได้มากๆ) ดังนั้นค่า Contrast Ratio นั้นไม่สามารถใช้เปรียบเทียบกันได้ระหว่างผู้ผลิต แต่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างรุ่นของผู้ผลิตเดียวกันได้ Refresh Rate - ความเร็วในการเปลี่ยนภาพต่อ 1 วินาที ยิ่งค่ามากยิ่งดี ยิ่งได้ภาพที่นิ่งมากขึ้น เกิดการ Distort ของน้อยลงเมื่อทีวีต้องแสดงภาพที่เคลื่อนไหวเร็วๆ(เช่น ภาพกีฬา หนัง Action) อัตรา Refresh Rate มากๆเลยดีไหม? เช่น เดี๋ยวนี้มีถึง 600, 800, 1200Hz แล้ว, ผมว่ามันก็ดีอยู่ครับถ้ามันไม่แพง แต่ว่ามันแพงกว่าเยอะนี่สิ ตัวผมเองดูไม่ออกว่าไอ้ทีวี 200 Hz กับ 800Hz มันต่างกันตรงไหน? มันคงต่างกันแหละถ้าดูภาพชัดที่เคลื่อนไหวเร็วๆแล้วนั่งจับผิดมันน่ะ โอกาสที่จะได้ดูภาพแบบนั้นมันมีบ่อยแค่ไหนกัน คุ้มกับเงินที่ต้องเพื่อรึเปล่า? Smart TV - หมายถึง TV ที่ต่อกับ Internet ได้ไม่ว่าจะต่อผ่านสาย RJ45(LAN) หรือ ผ่าน Wifi ได้โดยตรง เมื่อต่อ Internet มันก็จะทำพวกนี้ได้ 1. มี Browser ไว้เข้าเว็บได้ อาจจะจำเป็นสำหรับคน IT ทุกวันนี้ แต่คำเตือนคือ กรุณาอย่าหวังว่าการเล่นเว็บบนทีวีจะดีพอๆกันกับการเล่นเว็บจากคอมพิวเตอร์ การเข้าเว็บบนทีวีอาจจะไม่ได้เร็วเหมือนกันการที่เราใช้คอมพิวเตอร์เข้าเว็บ เพราะHardwareที่ใช้ในทีวีไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบนี้โดยเฉพาะ Browserก็ไม่ได้ดีเหมือนกับในคอมพิวเตอร์ที่มีตัวเลือกมากมายอย่าง Firefox, Chrome, Opera, Safari อีกอย่างคือการใส่URL , พิมพ์ได้ลำบากมาก เพราะรีโมททีวีไม่ได้มีแป้นพิมพ์เหมือนคีย์บอร์ดบนคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นรีโมทที่เน้นการเปลี่ยนช่อง (แบบตัวเลข 1, 2, 3) ถ้าต้องการซื้อทีวีและเน้นการใช้งานส่วนนี้ ขอดูรีโมทให้แน่ใจก่อนว่าเป็นรีโมทที่มีแป้นพิมพ์ตัวอักษรแบบ QWERTY (เหมือนคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์) บางรุ่นบางยี่ห้อจะบอกว่ามี iPhone, Android App
แต่ก็อีกนั่นแหละ ใน App นั้นไม่มีคีย์บอร์แบบ QWERTY 2. มี App ให้เล่น เช่น ดู Youtube ได้, ดู Facebook ได้, ดู Twitter, ดู picasa ได้ แต่คำเตือนก็เหมือนกันคือ ทำใจไว้เลยว่ามันทำได้ไม่ดีเท่ากับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ และการใช้ App พวกนี้จำเป็นจะต้องพิมพ์ตัวอักษรค่อนข้างเยอะ เช่น username, password, การค้นหาต่างๆ ดังนั้นถ้ารีโมททีวีไม่ได้เป็นแบบ QWERTY ชีวิตคุณจะลำบากมากกับการใช้งานพวกนี้ บางรุ่นสามารถโหลด App เพิ่มเติมได้ บางรุ่นไม่สามารถโหลดได้ DLNA สั้นๆ มันคือ Airplay ของ Apple ที่ไม่จำกัดเฉพาะการใช้งานกับอุปกรณ์ของ Apple , ยาวๆคือ มันเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถส่งข้อมูลจากอุปกรณ์อิเลคโทรนิคอะไรก็ได้ที่มี WiFi ไปแสดงผลในอีกอุปกรณ์นึง(ในที่นี้ ผมหมายถึงทีวี) เช่น ส่งเพลง รูป หนังจากมือถือไปเปิดดูเปิดฟังบนทีวีได้ , การส่งเพลง รูป หนังจากคอมพิวเตอร์ไปเปิดดูเปิดฟังบนทีวีได้ ถ้าคุณมีทีวีที่รองรับDLNA คุณสามารถหาโหลด App พวก DLNA บน iPhone, Android หรือ Software บนคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลที่ต้องการไปยังทีวีได้เลย มี App เยอะแยะ หรือกลับกัน สามารถส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์มาใช้มาดูมาฟังบนมือถือหรือ Tablet ได้ การใช้งานที่ DLNA จะมี 2 แบบคือ เครื่องที่เป็น DLNA server และเครื่องที่เป็น DLNA client , ตัว Server จะเป็นตัวที่แชร์ข้อมูลให้ตัว Client เอาไปแสดงผล(รูป วีดีโอ เพลง) ตัวทีีวีเองนั้นเป็น DLNA client , ดังนั้นถ้าเราต้องการส่งรูป เพลง หนังไปเปิดบนทีวี เราต้องหาโหลด App จำพวก DLNA server
. แล้วก็กลับกัน ถ้าเราต้องการให้มือถือแสดงผล เล่นเพลง ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เราต้องหาโหลด Software ที่ทำให้คอมพิวเตอร์เป็น DLNA Sever , และ DLNA App ที่เป็นพวก DLNA client ในมือถือ ส่วนตัวแล้วผมว่าเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างมากมาย เพราะทุกวันนี้คนเราต้องมีมือถือ ต้องถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ด้วยมือถือพวกนั้นอยู่แล้ว การที่ทำให้ทีวีแสดงภาพวีดีโอ ภาพ หรือ เล่นเพลงจากมือถือได้ตรงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น , นอกจากนั้น App บางอันยังสามารถเปิดดู Youtube บนมือถือแบบส่งข้อมูล Youtube นี้ไปเปิดบนทีวีได้ด้วย 6. สุดท้าย
.ดูราคา ถ้าเลือกได้แล้วทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินจะจ่ายค่าทีวีเค้า ก็แนะนำให้ไปเริ่มทำข้อ1 ใหม่ แล้วปลงๆซะบ้าง ไม่ได้โคตรทีวีหรอก - จอใหญ่ แพงกว่า จอเล็ก - LED แพงกว่า LCD แพงกว่า Plasma , Projector คนละพวก - มี3D แพงกว่า ไม่มี 3D
- Sony แพง , LG ถูก , อื่นๆดูเอา แพงไม่ได้หมายถึง Reliability เสมอไปน่ะ - เครื่องเสียง
ไว้ปีหน้าก็ได้ ปล. จำไว้เลย ทีวียิ่งบาง เสียงยิ่งห่วย!!! เพราะมันไม่มีที่ให้ใส่ลำโพงดีๆน่ะสิครับ เพราะฉะนั้น ถ้าต้องดูหนังแล้วอยากได้เสียงกระหึ่มแบบ 5.1 Channel , doubly surround หรือจะเอาไว้ฟังเพลง แนะนำให้ซื้อเครื่องเสียงแยกต่างหาก อย่าคิดจะหาทีวีจอแบนแสนสวยแล้วเสียงดี เบื้องหลังเทคโนโลยี
ใครอยากรู้รายละเอียดว่าแต่และเทคโนโลยีทำงานอยู่ไรอ่านนี่เลย เทคโนโลยีทีวี CRT ( Cathode Ray Tube)TV: ฟังดูยากแต่พูดภาษาชาวบ้านก็ทีวีสมัยเก่าอันอ้วนๆจอโค้งๆนั่นเอง(หลังๆทำจอแบนได้ แต่ก็ยังอ้วนอยู่ดี) สาเหตุที่มันอ้วนก็เป็นเพราะเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดภาพของมัน หลักการสร้างภาพในทีวี CRT ก็คือ ปืนยิงอิเลคตรอนที่ด้านท้ายของจอยิงอิเลคตรอนไปโดนสารฟอสเฟอร์ที่เคลือบอยู่ที่หน้าจอทีวีนั่นเอง Plasma TV: หลักการทำงานของพลาสม่าทีวี ก็เหมือนกับหลักการทำงานของหลอดฟลูออเรสเซนท์ (Fluorescent) ก๊าซที่อยู่ในหลอดฟลูออเรสเซนท์ที่คือก๊าซผสมระหว่างก๊าซซีนอน(Xenon) และก๊าซนีออน(Neon) เมื่อเราจ่ายไฟให้มัน มันก็จะเปล่งแสงออกมา แต่แสงที่ได้นั้นมันเป็นแสงอัลตราไวโอเลต (แสง ultraviolet คือแสง UV) ซึ่งเรามองไม่เห็น การที่จะให้ได้แสงที่เรามองเห็น ผิวภายในของหลอดจะถูกเคลือบด้วยสารฟอสเฟอร์ (Phosphors) เมื่อแสง UV ถูกปล่อยออกมากระทบกับสารฟอสเฟอร์ สารฟอสเฟอร์ก็จะปล่อยแสงขาวที่เรามองเห็นออกมาแทน ด้วยหลักการเดียวกัน ในพลาสม่าทีวีก็จะประกอบไปด้วยช่องเล็กๆจำนวนมากที่บรรจุก๊าซผสมซีนอนและนีออน(ดูรูปประกอบด้านล่าง) โดยแต่ละช่องจะถูกวางพาดด้านบนด้วยชั้นป้องกันทำด้วยแมกนีเซียมออกไซด์(MgO) และตามด้วยแผ่นขั้วไฟฟ้า(electrode)แบบโปร่งใสในแนวนอน ส่วนด้านล่างมีแผ่นขั้วไฟฟ้า (electrode) แบบแนวขวางประกบอยู่ ส่วนผิวด้านในแต่ละช่องเล็กๆก็จะถูกเคลือบด้วยสารฟอสเฟอร์ หลังจากนั้นก็จะถูกประกบอีกชั้นด้วยแผ่นแก้วขนาดใหญ่ทั้งด้านบน(แก้วแผ่นหน้าของทีวี)และด้านล่าง(แก้วแผ่นหลัง) แต่ละช่องเล็กๆนี้จะเปล่งแสงได้ก็ต่อเมื่อเราจ่ายไฟให้แผ่นขั้วไฟฟ้าด้านบนและด้านล่างตรงกัน ส่วนจะได้แสงสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของสารฟอสเฟอร์ที่เคลือบของที่ช่องนั้น ซึ่งจะมีเพียง 3 สี คือ แดง เขียว น้ำเงิน การที่จะให้ได้สีที่หลากหลายเหมือนจริงมากขึ้น มันก็จะเกิดจากการที่เค้าผสมสี แดง เขียว น้ำเงิน นี่แหละ เช่นผสมแดงกับเขียวก็จะได้เหลือง, พื้นที่ที่ประกอบไปด้วย 3 ช่องเล็กๆ(แดง เขียว น้ำเงิน)นี้เค้าจะเรียกว่า 1 พิกเซล หน้าจอพลาสม่านั้น ถ้าถูกทำให้แสดงภาพเดิมเป็นเวลานานๆ สารฟอสเฟอร์จะก็ถูกจ่ายไฟแบบนั้นนานๆและก็จะเกิดอาการร้อนเกินไปจนไหม้ ไม่สามารถให้แสงได้เท่าเดิม อาการนี้จะทำให้เราเห็นหน้าจอทีวีเหมือนมีเงาของภาพนั้นค้างอยู่ ดังนั้นเราไม่ควรเอาทีวีพลาสม่าไปเล่นเกมส์หรือต่อกับคอมพิวเตอร์มักจะต้องแสดงภาพเดียวกันนานๆ (ส่วน menu หรือหน้าจอ desktop) LCD และ LED TV: ทีวีแบบ LCD ทำงานโดยใช้คุณสมบัติของสาร Liquid Crystal เป็นพื้นฐาน, ทีวีเริ่มทำงานโดยอุปกรณ์แรกคือ Backlight (light, หรือ unpolarized light ในรูป) ทำการเปล่งแสงสีขาวตลอดเวลา แสงสีขาวที่เปล่งออกมานี้จะเป็นแบบไม่มีทิศทาง และจะผ่านอุปกรณ์ชิ้นต่อไปที่เรียกว่า Polarizing filters โดยมันจะกรองแสงขาวที่ไม่มีทิศทางนี้ให้เป็นแสงขาวที่มีทิศทางในแนวตั้ง เสร็จแล้วแสงขาวนี้จะผ่านไปยังอุปกรณ์ต่อไปชื่อว่า Liquid Crystal ซื่งมีความสามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางของแสงขาวจากแนวตั้งให้หมุนเป็นแนวนอนหรือมุมต่างๆได้ขึ้นอยู่กับ Voltage ที่เราจ่ายให้กับ Liquid Crystal, และแสงก็จะผ่านไปยัง Polarizing filter อันต่อไปที่จะกรองให้เฉพาะแสงแนวนอนผ่านได้
ดังนั้นถ้าเราจ่าย Voltage ให้ Liquid Crystal แล้ว Liquid Crystal หมุนแสงแนวตั้งให้เป็นแนวนอน แสงก็จะผ่านออกมาได้ แต่ถ้าเราไม่จ่าย Voltage ให้ Liquid Crystal มันก็จะไม่หมุนให้ทิิศทางของแสงเป็นแนวนอน ทิศทางของแสงก็ยังเป็นแนวตั้งอยู่ และแสงแนวตั้งก็จะไม่สามารถผ่าน Polarizing filter แบบแนวนอนได้ เมื่อแสงผ่านออกมาก็จะผ่านไปยัง Color filer ก็เปลี่ยนแสงสีขาวให้เป็นแสงสีต่างๆ, Color filter จะมี 3 สีคือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน
และ 1 pixel ก็จะประกอบไปด้วย 3 สีนี้เหมือนกับทีวีอื่นๆ ข้อแตกต่างระหว่างทีวี LCD และทีวี LED ก็คือ ทีวี LCD จะใช้ Backlight เป็นหลอดฟลูออเรสเซส(ทีวีแบบนี้มันถึงหนาไง) ส่วนทีวีแบบ LED ก็คือทีวีที่ใช้ Backlight เป็นหลอด LED สีขาว (สาเหตุที่มันประหยัดไฟกว่าและมีขนาดบางกว่าก็เพราะเหตุนี้) ทีวีในวีดีโอนี้คือ LED หรือ LCD TV ที่ใช้ Backlight เป็น LED OLED TV: ทีวีแบบ OLED ถือเป็นทีวี LED อย่างแท้จริงเพราะหน้าจอแต่ละ pixel สามารถทำการส่องแสงและปิดแสงด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่ใช้การกั้นแสงไม่ให้ลอดออกมาอย่างหน้าจอ LCD, ทำให้มันประหยัดไฟมากกว่า LCD TV มาก และก็ทำให้ได้ Contrast ที่ดีกว่ามากด้วย (เพราะ Pixel ที่มืดนั้น มืดสนิทจริง) OLED จะมีอยู่ 2 แบบ 1. PMOLED ย่อมาจาก Passive Matrix Organic Light Emitting Diode ประกอบด้วยชั้น Anode ชั้น วัสดุ Organic และ ชั้น Cathode ที่วางตัวในแนวตัดกับชั้น Anode, เมื่อเราจากกระแสไฟให้กับชั้นวัสดุ Organic ผ่าน Anode และ Cathode แล้ว วัสดุ Organic นั้นก็จะเปล่งแสงออกมาก
จุด Pixel ที่จะส่องแสงนั้นจะเกิดขึ้นที่ Pixel ที่เป็นจุดตัดระหว่างเส้น Anode และเส้น Cathode ที่เราจ่ายไฟให้มัน PMOLEDจะกินไฟมากกว่า AMOLED เพราะต้องอาศัยตัวจ่ายไฟภายนอก(แต่ก็น้อยกว่า LCD) แต่ก็สามารถผลิตได้ง่ายกว่า 2. AMOLED ย่อมาจาก Active Matrix Light Emitting Diode , จะแตกต่างกับแบบ PMOLED ตรงที่ ชั้น Cathode จะเป็นผืนเดียว ลองลงมาเป็นชั้นวัสดุ Organic และมีชั้นตาราง TFT (Thin Film Transistor) ชั้นตาราง TFT จะเป็นตัวกำหนดว่า Pixel ไหนจะเปล่งแสง สุดท้ายเป็นชั้น Anode
การใช้ TFT ทำให้ AMOLED ทำงานได้เร็วกว่า และประหยัดไฟกว่า PMOLED ปล. สาเหตุที่ยังทำให้ทีวีแบบ OLED นั้นยังไม่แพร่หลาย เพราะความแพงในการผลิต และ ความท้าทายของเทคโนโลยีที่วัสดุ Organic ที่ให้สีเขียวและสีน้ำเงินมีอายุสั้นอยู่ เทคโนโลยีทีวีแบบ 3 มิติ ทฤษฏีหลักที่ทำให้คนเรามองเห็นภาพสามมิติก็คือ การที่คนเรามีตา 2 ตา และตา 2 ข้างเห็นภาพเหลื่อมกันอยู่นิดหน่อย แล้วสมองเราก็ประมวลผลความตื้นความลึก(ภาพ 3 มิติ)จากภาพที่เหลื่อมกันนั่นแหละ
ถ้าไม่เชื่อก็ลองปิดตาลงตานึง แล้วลองมองสิ่งของรอบๆตัวดู พยายามกะระยะแล้วจับสิ่งของนั้นดูจะรู้สึกได้ว่าเราทำได้ยากขึ้น จริงๆเรายังกะระยะได้อยู่เพราะเรายังพอจำได้ว่าสิ่งของพวกนั้นมันอยู่ตำแหน่งไหนกัน ห่างกันเท่าไหร่ , แต่ถ้าเราลองมองในสิ่งที่เราไม่ได้เห็นหรือคุ้นเคยมาก่อน, พอเปิดตาขึ้นมาตาเดียวก็เห็นของพวกนั้นเลย, เราจะกะระยะลำบากมาก การที่จะทำให้ทีวีแสดงภาพ 3 มิติให้เราเห็นก็คือการที่จะทำยังไงก็ได้ให้ตาซ้ายและตาขวาของคนดูเห็นภาพต่างกัน ตาซ้ายเห็นภาพนึง ส่วนตาขวาเห็นอีกภาพนึง(ภาพเดียวกันแต่ด้วยมุมมองของตาขวา) , ลองนึกดูตอนเด็กๆที่เราดูภาพ 3 มิติที่เป็นลายเส้นสีฟ้ากับสีแดงเหลื่อมๆกัน แล้วเราจะเห็นเป็น 3มิติได้ เราต้องใส่แว่นตาที่ข้างนึงเป็นสีฟ้า อีกข้างนึงเป็นสีแดงก่อน, เมื่อใส่แล้วตาเราที่อยู่หลังเลนส์สีฟ้าก็จะไม่เห็นเส้นสีฟ้าแต่จะเห็นเส้นสีแดงอย่างเดียว, ส่วนอีกตานึงที่อยู่หลังเลนส์สีแดงก็จะไม่เห็นเส้นสีแดงเห็นแต่เส้นสีฟ้า พอตาเราสองข้างเห็นภาพ 2 ภาพที่ต่างมุมมองกัน สมองเราก็จะสร้างภาพ 3มิติขึ้นมาทันที เทคโนโลยีสีแดงกันสีน้ำเงินนั้นทำให้เราเห็นภาพ 3 มิติจริง แต่มันก็ทำให้สีผิดเพี้ยนไปด้วย ทีวีทุกวันนี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่า มีอยู่ 2 แบบ 1. Active หรือ Active Glasses หรือ Shutter glasses คือแว่นตาที่เราใส่จะทำการเปิดตานึงและปิดตานึงอยู่เสมอ เช่น แว่นตาจะเปิดตาซ้ายและปิดตาขวาของเรา ในเวลาเดียวกันนั้นภาพที่จอทีวีก็จะแสดงภาพที่1 , เสร็จแล้วแว่นตาก็จะปิดตาซ้ายและเปิดตาขวา พร้อมๆที่ทีวีแสดงภาพที่2 (ภาพที่1 ในมุมมองของตาขวา), แล้วก็สลับปิดตาขวาและซ้ายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ข้อดีคือเราเห็นภาพแบบเต็มจอ แต่ข้อเสียคือภาพมันจะสลับไปสลับมา(flicker)และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เรามึน ข้อเสียอีกอย่างคือแว่นตามันจะหนักและใหญ่เพราะมันต้องใส่แบตเตอรี่ เพื่อทำหน้าที่เป็นชัตเตอร์คอยเปิดปิดตาซ้ายและขวาของเรา และมันต้องเปิดปิดในเวลาที่ตรงกับการแสดงภาพของหน้าจอทีวีดังนั้นมันก็ต้องมีส่วนวงจรในการรับส่งสัญญาณกับทีวี บางยี่ห้อใช้ Infrared บางยี่ห้อใช้ RF 2. Passive หรือ FPR ย่อมาจาก Film Patterned Retarder โดยเทคโนโลยี FPR นี้จะใช้เทคนิค circular polarization คือแว่นตาเราจะถูกเคลือบด้วย circular polarized filter ที่ต่างกันระหว่างเลนส์ตาซ้ายและเลนส์ตาขวา , ส่วนทีวีก็จะส่งภาพ 2 ภาพในเวลาเดียวกัน โดยเส้นภาพในแนวนอนเส้นคู่ (pixel ภาพในแนวนอนเส้นที่ 2,4,6,
)จะส่งภาพให้ตานึงโดยการส่งแสงแบบ circular polarized ทิศทางนึง และเส้นภาพในแนวนอนเส้นคี่(pixel ภาพในแนวนอนเส้นที่ 1,3,5,
)จะส่งภาพให้อีกตานีงโดยการส่งแสงแบบ circular polarized ในอีกทิศทางนึง วีดีโออธิบาย Passive vs Active 3D TV DLNA ดูวีดีโอสาธิตกันเลย อ้างอิง: //electronics.howstuffworks.com/plasma-display2.htm //computer.howstuffworks.com/monitor7.htm //www.crutchfield.com/S-lTBqM77aZbS/learn/learningcenter/home/TV_placement.html //www.crutchfield.com/Learn/learningcenter/home/front_projection_TVs.html?page=3#screen refresh rate make sense https://www.youtube.com/watch?v=lRR7Fh4Q62o [https://www.youtube.com/watch?v=x2DO_iNjt-k&feature=relmfu] [https://www.youtube.com/watch?v=LpR4JnXXznU&feature=relmfu] //en.wikipedia.org/wiki/Plasma_display //reviews.cnet.com/lcd-tvs-plasma-tvs/ //cln-online.org/index.php?option=com_content&view=article&id=2223:lcd-tv-sales-up&catid=38:research&Itemid=100 //www.retailinasia.com/article/tech/consumer-electronics/2012/01/hitachi-stop-making-televisions //online.wsj.com/article/SB10001424053111903454504576487620654211898.html //en.wikipedia.org/wiki/Video_CD //en.wikipedia.org/wiki/DVD-Video //en.wikipedia.org/wiki/HD_DVD //en.wikipedia.org/wiki/Blu-ray_Disc //en.wikipedia.org/wiki/Video_Graphics_Array [https://www.youtube.com/watch?v=imIYTbE5D7A] //www.dlna.org/ //electronics.howstuffworks.com/oled3.htm อ้างอิงรูป //www.oknation.net/blog/print.php?id=52024 //justjared.buzznet.com/photo-gallery/2402821/gwen-stefani-tv-test-pattern-06/ //tv09.org/ //qxwujoey.tripod.com/lcd.htm ขอบคุณข้อมูล //www.techz500.com ข้อมูลเพิ่มเติม //antiagingexpos.com How To Upload Videos Online - Video Uploader Methods That Work - personal health, video marketing campaign, shooting fireworks needs, video marketing info
- best 32 lcd tv, plasma vs lcd, phone plans, flat panel tv
- dating sites, laptop sales
- tv listings, play. tv
- laptop vs desktop, apple laptops apple, karbonn tablet known
- flat panel tvs, flat screen, flat screen eliminates
- trimming trees, chicken ranches, find simple plans
- simple carpal, apple laptops, dell desktop, karbonn smartab
- cheap lcd tv, lcd vs plasma, samsung lcd tv
- first laptop, prevent laptop overheating, mac laptops
improvement success, best home, small safes for the home what is the best lcd tvs, 1080p hdtv quality hand, quality steel visit actual chicken, friendly hand tool, best home, chicken ranches small mobile internet, karbonn smartbook, dell computers usa green energy ideas, laptop battery energy efficient, selling laptops camera measure, focus fireworks, premium compact camera, fireworks bursting fireworks display, htc one s, injury case, youtube videos personal-injury lawyers, injury case effectively power tools, doing trimming close lcd vs plasma, plasma television, samsung ln52a750 lcd tv video sharing site, fireworks photography camera assembly, fireworks photography, sony 3d camera, business networking tablets price list, tablets price, internet modem, notebook computer ratings best tablets, cable internet something similar online, played online, dating internet websites doing trimming, power hand tools, improvement project, home improvement success fireworks display, video streaming, personal injury lawyer video streaming, fireworks blast camera modes, skilled personal injury, personal injury, video marketing sites level plans, improvement jobs easily, complete home improvement adult dating internet, dating sites laptop battery, dating sites green energy, internet sites, dating websites cheap mobile, lg phones, best 32 lcd tv personal injury, video marketing info, video clear laptop collection, simple carpal, laptop vs desktop, dell computers commercial basic tools, improvement beat, amazing home improvement laptop vs desktop, apple laptops apple, tablets emporium cyber dating websites, power energy, help save energy cable internet needs, carpal tunnel energy bill, internet based dating doing trimming, improvement stores television properly regardless, 1080p tv flat screen television, television stands, panel tvs carpal tunnel syndrome, simple carpal, apple laptops amazing home, home improvement project, power hand tools, best home lcd hdtv, samsung lcd tv
Create Date : 31 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2557 16:44:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3139 Pageviews. |
|
|